ตอนที่ 269
รอยนี่มาจากไหน
“ลู่เจี้ยเจ้าต้องการให้ข้าเสียใจปางตายอย่างนั้นหรือ” เจียงหลีเกือบใจสลายเพราะคำพูดของเขา
นางจับไปที่แก้มของเขาและมองหน้าเขาด้วยรอยยิ้ม แล้วจูบประทับด้วยริมฝีปากของตน ซึ่งริมฝีปาก ของเขาเย็นเยือกและไม่มีความรู้สึกใดๆ แต่กลับทำให้นางอาลัยอาวรณ์ไม่อยากเดินจากไป
ครั้งนี้เขาไม่ได้ขัดขืน แต่ตอบสนองอย่างเงียบๆ ลิ้มรสความงามของนาง
หลังจากนั้น กลับปรากฏร่องรอยแห่งความเจ็บปวดในดวงตาสีเขียวครามที่เยือกเย็น ประสาทสัมผัส ทั้งห้าของเขากำลังหายไปช้าๆ ประสาทตาเริ่มพร่ามัว ประสาทสัมผัสเริ่มช้าลง ประสาทรับรสใช้ไม่ได้ อีกต่อไป ประสาทรับกลิ่น….เหลือเพียงประสาทการได้ยินเท่านั้นที่ยังคงทำงานและสามารถได้ยิน เสียงของเจียงหลี
จูบสุดท้ายของชีวิต ไม่ว่าจะอาลัยอาวรณ์แค่ไหน ก็ต้องจบลง
แต่เจียงหลีกลับไม่รู้ว่าขณะที่นางขยับตัวออกจากลู่เจี้ยนั้น โลกของเขาได้กลายเป็นความมืดมิด เขาอยากจะมองหน้านางอีกสักครู่ ก็ทำไม่ได้แล้วหรือ
นี่คือการลงโทษเขาหรือ ลงโทษเขาที่จัดการทุกอย่างโดยมิได้ถามถึงความต้องการก่อน!
ลู่เจี้ยกลืนความขมขื่นในใจและยังคงปล่อยให้เจียงหลีซบอกตนอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้นางสังเกตเห็น สิ่งที่ผิดปกติไป และไม่ควรทำให้นางต้องเสียใจอีก
ยังดี ยังดีที่อย่างน้อยเขาก็ยังได้ยินเสียงของนาง
“ลู่เจี้ย เจ้าไปเถิด” เจียงหลีซบอกเขาและนํ้าตาไหลรินอย่างเงียบๆ นางพูดประโยคนี้เป็นครั้งที่สอง ของวันนี้แล้ว
“อีกนิด ขออีกนิด” ลู่เจี้ยทำตัวเหมือนเด็กและออดอ้อนนาง
“อย่ากลัวเลย ข้าหาเจ้าเจอ หาเจ้าเจอแน่นอน! ข้าเคยบอกแล้วว่าเจ้าเป็นของข้า ฟ้าดินก็มาพรากไป ไม่ได้!” เจียงหลีจับมือเขาแบบสอดประสานนิ้วเข้าด้วยกัน
ลู่เจี้ยยิ้ม ยิ้มอย่างมืดวามสุขและไร้เดียงสาอย่างมาก “ใช่ ข้าเป็นของเจ้าและจะเป็นของเจ้าคนเดียว ตลอดไป”
“หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ไปเถิด รีบไป จะได้รีบกลับมา” เจียงหลีฝืนยิ้ม “อาณาจักรจยาเซียนเป็นของเรา ข้าจะช่วยเจ้าดูแล และข้าจะรอเจ้ากลับมา เมื่อเจ้ากลับมา เราแต่งงานกันดีหรือไม่”
“ได้ เจ้าว่าอย่างไร ข้าก็ว่าอย่างนั้น” มุมปากของลู่เจี้ยโค้งขึ้นเล็กน้อย หลีเอ๋อร์ของเขาพูดว่าต้องการ แต่งงานกับเขา
“หลีเอ๋อร์” เขาเรียกด้วยเสียงเบา
“อืม” เจียงหลีตอบอย่างแผ่วเบา
“ในห้องนอนของข้า ข้าเก็บบางอย่างไว้ให้กับเจ้า อย่าลืมไปดูล่ะ” ลู่เจี้ยกำชับ เดิมทีของเหล่านี้จะถูก ส่งไปให้เจียงหลีหลังจากที่เขาเสียชีวิตแล้ว
แต่ตอนนี้นางได้กลับมาแล้ว
“ได้” เจียงหลีตอบรับ เพียงเพื่อให้เขารู้สึกสบายใจ
“หลีเอ๋อร์ของข้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ เป็นผู้มีเนตรญาณดวงเก้าแต่เพียงผู้เดียว และเป็นหลิงไซว่ที่อายุ ไม่ถึงสิบหกปี หลีเอ๋อร์ ข้าง่วงแล้ว…” เสียงของลู่เจี้ยเริ่มอ่อนแอลงทันที
เจียงหลีรู้สึกเจ็บปวดใจราวกับว่าคนที่กำลังจะตายคือตัวนางเอง “หากเจ้าง่วง ก็นอนเถิด ข้าจะนอน เป็นเพื่อนเจ้า”
“อืม” ลู่เจี้ยตอบเสียงเบา
“ลู่เจี้ย เจ้ารักข้าไหม” เจียงหลีถามขึ้นทันที
คำถามนี้ทำให้เปลือกตาที่หนักของลู่เจี้ยค่อยๆ เปิดขึ้นอีกครั้ง เขายกมือขึ้นอย่างยากลำบากและ ค่อยๆเลื่อนขึ้นไปตามเส้นผม และในที่สุดก็แตะไปที่บนศีรษะของนาง “รัก รักมาก รักมาก รักจน ควบคุมตัวเองไม่อยู่”
เจียงหลีหัวเราะ ทั้งร้องไห้และหัวเราะ นางด่าทอเสียงทุ้มต่ำ “ไอ้คนบ้า!”
“อีม ข้าคือไอ้คนบ้า คนบ้าของเจ้าคนเดียว” ลู่เจี้ยพึมพำด้วยรอยยิ้ม
แสงสุดท้ายในดวงตาของเขาดับลงและเปลือกตาของเขาก็ค่อยๆ ปิดลงเช่นกัน
“รอเจ้ากลับมา แล้วเราจะออกเดินทางท่องเที่ยว ไปผจญภัย ไปดูวิวทิวทัศน์ที่สวยงามกัน…” เจียง หลีไม่สามารถพูดอะไรต่อไปได้อีก โดยอดกลั้นการสั่นสะเทือนและความเจ็บปวดของร่างกายที่มิอาจ อธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ซึ่งทำให้นํ้าตาของนางหยุดไหลไม่ได้
เปรี๊ยะๆ…
รอยแตกบนร่างกายที่ลู่เจี้ยอดกลั้นไว้ได้เปล่งประกายลำแสงออกมา
เจียงหลีเงยหน้าขึ้นและมองเขาด้วยรอยยิ้มราวกับว่าเขากำลังหลับอยู่ และหัวใจของนางก็ยิ่งเจ็บปวด มากขึ้น ซึ่งในรอยแตกนั้นปรากฏลำแสงออกมา ทำให้นางรู้สึกทำตัวไม่ถูกและทำได้เพียงกอดร่างของลู่เจี้ยไว้ ความหวาดกลัวนี้ทำให้นางกลัว “อย่า…! อย่า…! ลู่เจี้ย… อย่าทำเช่นนี้กับข้า อย่าทำกับข้าที่ แม้แต่ความคิดถึงก็เก็บไว้ไม่ได้”
เปรี๊ยะ!
ทันใดนั้น ร่างกายของลู่เจี้ยก็แตกสลายกลายเป็นแสงดาวที่งดงาม และสลายไปจากมือของเจียงหลี และคล้ายกับว่าได้กลายเป็นดวงดาวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
“ไม่…!”
เสียงกรีดร้องที่ทำให้หัวใจของเจียงหลีแตกสลายดังมาจากเขาฝูถูซาน
ณ บริเวณไหล่เขา เงาหันหลังกลับและมองดูดาวบนท้องฟ้า ดวงตาเผยให้เห็นถึงความเจ็บปวด เขา คุกเข่าข้างหนึ่ง กำหมัดแน่น และในใจตะโกนเสียงดัง
อ้ากกก!
เจียงหลีล้มตัวคุกเข่าท่ามกลางดอกตู้เจวียน แล้วเงยหน้าตะโกนด้วยเสียงร้องกึกก้องไปทั่วเขาฝูถู ชานและไม่หยุดเป็นเวลานาน
ดอกตู้เจวียนเหล่านั้นแตกสลายจากพลังวิญญาณที่รั่วไหลออกมาจากร่างกายของนาง และกลีบ ดอกไม้โปรยปรายลงทั่วยอดเขาฝูถูซาน
…………………..
ไม่…!
ไม่…
ไม่…เอา…
เสียงสิ้นหวังและเจ็บปวดของผู้หญิงผู้นี้มาพร้อมๆ กับแสงดาวสีฟ้าจางๆ และลอยขึ้นสูงเรื่อยๆ
ไม่รู้ว่ามันลอยสูงแค่ไหนแล้ว แสงดาวเหล่านี้ถูกกระแสนํ้าวนที่ไม่มีที่สิ้นสุดดูดซึมและโยนลงไปใน ทะเลดาว ในทะเลดาวอันกว้างใหญ่ แสงดาวรวมตัวกันและค่อยๆ เผยให้เห็นร่างของมบุษย์
ร่างเป็นประกายสวยงามนั้น จากเลือนรางไปสู่ความชัดเจนและนั้นคือลู่เจี้ย
เพียงแค่ ขณะนี้เขาหลับตาแน่นราวกับว่าเขากำลังหลับอยู่ และมุ่งหน้าไปยังสถานที่บางแห่งของ ทะเลดาวราวกับว่ามีบางอย่างกำลังเรียกเขาอยู่
ในชั้นอากาศธาตุอันว่างเปล่า บางครั้งก็มีความว่างเปล่าที่อยากจะกลืนกินรวมอยู่ด้วย แต่เมื่อเข้าใกล้ กลับกรีดร้องด้วยความตกใจและหายไปอย่างล่องหน
เขาได้กลายเป็นแสงสว่างไสวและหายไปในทะเลดาวอย่างรวดเร็ว
………………
ณ ทะเลดาวอันกว้างใหญ่ ห้วงเวลาของสถานที่แห่งหนึ่ง ทั้งเมืองถูกปกคลุมไปด้วยพื้นดินที่ไกลจน สุดลูกหูลูกตาและลอยอยูในอากาศ
ท่ามกลางเมืองที่ลอยอยู่นี้ แสงดาวเปรียบเสมือนนํ้าตกที่รินไหลไม่ขาดสาย และหายไปในความมืดที่ ไม่มีที่สิ้นสุด รอบๆ สระของเมืองแห่งนี้ ปกคถูมไปด้วยก้อนเมฆและหมอก ศักดิ์สิทธิ์และลึกลับนัก
สระนํ้าของเมืองแห่งนี้ มีสถานที่สูงมากตั้งอยู่ ด้านบนมีดวามวิจิตรงดงามเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึง สถานะและเกียรติยศที่มิอาจครอบครองได้
ท่ามกลางความงดงามตระการตา มีพระราชวังแห่งหนึ่งทอดยาวจากด้านในไปด้านนอกถึงสิบลี้ โดยมี ผ้าปักอวิ๋นจิ่นเป็นชุดคลุม องครักษ์พิทักษ์ดวงดาวมีหินดาวเป็นเกราะป้องกันซึ่งคุกเข่าข้างเดียวรอนาย ของพวกเขาตื่นนอนอย่างภักดี
เวลานี้ แสงพราวจากท้องฟ้าตกกระทบไปยังส่วนลึกของพระราชวัง
องครักษ์พิทักษ์ดวงดาวทั้งหลายเงยหน้าขึ้นทีละนายด้วยใบหน้าที่ยินดีและตะโกนพร้อมเพรียงกัน “ขอน้อมต้อนรับการคืนสู่บัลลังก์ขององค์จักรพรรดิ…\”
“ขอน้อมต้อนรับการคืนสู่บัลลังก์ขององค์จักรพรรดิ…!”
เสียงดังกึกก้องและสั่นสะเทือนราวกับคลื่นยักษ์ ลอยเข้ามาทีละชั้นจนผ่านเข้ามาถึงส่วนลึกของพระราชวัง
ณ ส่วนลึกของพระราชวัง มีร่างยาวนอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ และแสงดาวจากภายนอกของท้องฟ้า ตกกระทบมายังกลางคิ้วของเขา ทำให้เกิดลำแสงที่เปล่งประกายปรากฏออกมานอกร่างกายของเขา
ชายรูปงามทั้งสองที่เฝ้ารออยู่หน้าเตียง สีหน้าปรากฏความยินดีพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย และชำเสืองมองกัน จากนั้นทั้งสองสะบัดมุมของเสื้อคลุมและคุกเข่าข้างหนึ่งแล้วพูดพร้อมเพรียงกัน “ขอน้อมต้อนรับองค์จักรพรรดิ!”
ชายที่นอนอยู่บนเตียงค่อยๆ ลืมตาขึ้น รูปร่างหน้าตาอันสง่างาม หล่อเหลาดุจเทพ และมีเสน่ห์ประดุจมาร ราวกับว่าครอบคลุมคำเยินยอไว้ทั้งหมดแล้ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือใบหน้าของเขาเหมือนกับลู่เจี้ยทุกประการ แต่แตกต่างตรงที่ดวงตาของเขาเย็น เยือกกว่า และมีราศีของจักรพรรดิอยู่ในร่างกายของเขา
เขาค่อยๆ ลุกขึ้น และไม่ได้มองไปที่เหล่าทหารที่กำลังคุกเข่าอยู่ แต่กลับถอดเสื้อของตนและมองดู รอยฟันสีแดงประดุจไฟบนไหปลาร้าของตน
“รอยนี่มาจากไหน” เขาขมวดคิ้ว
ขณะที่ยกมืออยู่นั้น มีลูกเรืองแสงลอยอยู่บนฝ่ามือของเขา ซึ่งรวบรวมความทรงจำทั้งหมดในภพก่อน ไว้และนั่นคือ…ความทรงจำที่เป็นของลู่เจี้ย