บทที่ 118
งดงามจนไร้สหาย…
เกรงว่าคงไม่ได้ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายขวาผู้นั้นขึ้นชื่อลือชา เรื่องความยุติธรรมไม่เห็นแก่ผู้ใดทั้งสิ้น คดีที่เขารับผิดชอบเกรงว่าจะผ่อนผันไม่ได้แม้แต่น้อย…
ขณะที่จักรพรรดิซวนกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจหลายตลบนั้น ด้านนอกก็มีเสียงเด็กรับใช้กล่าวรายงานเสียงใส “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายขวามาถึงแล้ว”
ภายในอาคารที่เดิมทีมีเสียงจ้อกแจ้กจอแจอยู่บ้าง ยามนี้เงียบลงทันที คนทั้งหลายลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียง โดยมิได้นัดหมาย…
บันไดตรงนั้นมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นแผ่วเบา นักพรตน้อยสองตนถือแส้ปัดธุลีเดินเข้ามาก่อน นักพรตน้อยแยกกันอยู่สองฝั่งประตู ต่างคนต่างยืนตัวตรง ขณะที่ฝูงชนประทับใจอยู่นั้น บุรุษผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น
ทั้งร่างสวมเสื้อคลุมตัวยาวสีดำดุจนํ้าหมึก บนศีรษะตรึงปิ่นหยกดำเรียบง่ายด้ามหนึ่งไว้สีหน้าเผือดขาวเล็กน้อย คิ้วยาวจรดจอนผม นัยน์ตามืดมิดดั่งรัตติกาล ส่องประกายดุจดวงดาราริมฝีปากสีอ่อนจาง เฉกเช่นดวงจันทราอันหม่นหมองที่แขวนลอยอยู่ ณ ขอบฟ้า หว่างคิ้วมีไฝแดงชาดเม็ดหนึ่ง แดงสดใสคล้ายแสงอัสดง เรือนกายสูงสง่าเสมือนต้นอวี้[2] รูปโฉมงดงามจนไม่อาจใช้คำง่ายๆ เช่นคำว่าหล่อเหลามาเปรียบเปรยได้
เขาเยื้องย่างเข้ามาอย่างเชื่องช้า เดิมทีภายในหอไม่มีลม แต่เสื้อคลุมบนร่างเขากลับพลิ้วไหวดุจระลอกคลื่น
งดงาม!
ในสมองของทุกคนมีเพียงคำนี้ผุดขึ้นมา มีรัศมีบางอย่างแผ่ออกมาจากร่างคนผู้นี้ เขายืนอยู่ตรงนั้นกวาดสายตามองเล็กน้อย คนทั้งหลายรู้สึกเหมือนถูกผลักลงไปในธารนํ้าแข็ง แม้แต่ลมหายใจก็แทบจะหยุดชะงัก กู้ซีจิ่วใจสั่นเล็กน้อย อาณาจักรเฟยซิงแห่งนี้ราวกับเป็นแหล่งผลิตหนุ่มหล่อ หนุ่มรูปงามที่โผล่ออกมายิ่งงดงามขึ้นเรื่อยๆ!
ในบรรดาหนุ่มรูปงามทั้งหมดที่เธอเคยพบเห็นมา ผู้ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านี้คือสุดยอดของสุดยอดอีกที น่าจะเป็นคนที่รูปงามที่สุดแล้ว
ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด รูปสลักหยกที่เคยเห็นในถํ้าบนภูเขาชิ้นนั้นถึงแวบขึ้นมาในสมองเธอ รูปสลักหยกนั้นงดงามจนทำให้อกสั่นขวัญกระเจิงได้ หากรูปสลักหยกนั้นเป็นคนจริงๆ คงจะเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งในใต้หล้ากระมัง? คงจะงดงามจนไร้สหาย[3]เลยทีเดียว…
เธอส่ายหัวเล็กน้อย รูปโฉมที่มีอยู่ของรูปสลักหยกนั้นแทบเป็นการละเมิดสวรรค์แล้ว ไม่น่าจะมีมนุษย์จริงๆ เติบโตมาเป็นเช่นนั้นได้ มิอย่างนั้นสตรีบนโลกนี้ไม่พากันคลั่งไคล้เขาเสียหมดหรือ?
‘เสี่ยวชาง ทูตสวรรค์ฝ่ายขวาคนนี้ชื่ออะไร?’ กู้ซีจิ่วใช้กระแสจิตสื่อสารกับหยกนภาที่อยู่บนข้อมือ
‘เทียนจี้เยวี่ย’
นามนี้ดี! แถมยังให้ความรู้สึกเยือกเย็นด้วย ช่างสอดคล้องกับบุคลิกของท่านทูตสวรรค์ที่อยู่เบื้องหน้านี้ยิ่งนัก กู้ซีจิ่วชมเชยอยู่ในใจเล็กน้อย
“ข้ามีเรื่องที่ทำให้ล่าช้านิดหน่อย มาสายแล้ว” เทียนจี้เยวี่ยประสานมือคำนับจักรพรรดิซวนพลางเอ่ยเรียบๆ นํ้า เสียงทุ้มต่ำเล็กน้อย กระจ่างชัดเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง ดุจเคาะหยกเหมันต์
การคารวะของเขาเป็นการคารวะแบบผู้ที่มีฐานะเสมอกัน ไม่เหมือนพสกนิกรคนอื่นที่พบเห็นจักรพรรดิแล้วต้องกราบสามคำนับเก้า[4]แบบนั้น
เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิซวนเคยชินแล้ว หัวเราะดังฮ่าๆ “ไม่สาย ไม่สาย ท่านทูตสวรรค์เชิญนั่ง”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เทียนจี้เยวี่ยผงกศีรษะเล็กน้อย แล้วนั่งลงบนที่นั่งลำดับแรกที่เป็นตำแหน่งของประธานในพิธี
เขาไม่เสียเวลาเลยสักนิด ไม่ทักทายปราศรัยกับผู้คน ยกแขนเสื้อขึ้น บนโต๊ะเล็กเบื้องหน้าเขามีกระดาษพู่กันและจานฝนหมึกอยู่ชุดหนึ่ง
เด็กรับใช้กางกระดาษให้เขา ฝนหมึกให้เรียบร้อย เขาถึงหยิบพู่กันขึ้นมา สายตาหยุดอยู่ที่ร่างองค์รัชทายาทหรงเจียหลัว “องค์รัชทายาทเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดหรือไม่? ท่านช่วยเล่าสาเหตุของเรื่องราวที่เกิดขึ้นหน่อย เดิมพันอย่างไร?”
พลางกวาดตามองฝูงชน “หากสิ่งที่เขาพูดไม่ครบถ้วน และไม่เป็นความจริงตรงไหน พวกเจ้าทั้งหมดค่อยแย้งออกมา”
เดิมทีองค์ชายหรงฉู่และคนอื่นๆ ไม่พอใจนิดหน่อย แต่พอได้ยินประโยคหลังก็หุบปากฉับ ตอนนั้นมีสายตารับชม รับฟังอยู่มากมายขนาดนั้น องค์รัชทายาทหรงเจียหลัวไม่น่าจะพูดเท็จต่อหน้าฝูงชนได้
องค์รัชทายาทหรงเจียหลัวไม่ได้พูดเท็จจริงๆ บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบออกมา
ความจำของเขาน่าตกตะลึงนัก บทสนทนาของคนหลายคนในตอนนั้นก็เล่าออกมาได้ไม่ขาดเลยสักคำ ทั้งไม่ได้เพิ่มคำและไม่ได้ลดคำด้วยซํ้า
…………………….
[1]ตาเผ็ดร้อน หมายถึง เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น หรือเห็นอะไรที่เย้ายวนตา
[2]ต้นอวี้ หมายถึง ต้นยูคาลิปตัส
[3]งดงามจนไร้สหาย หมายถึง หน้าตาดีจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ไม่มีใครกล้าสนิทสนมด้วย
[4]กราบสามคำนับเก้า เป็นการกราบแบบสูงสุดของจีนคือกราบสามครั้ง คำนับเก้าครั้ง ใช้สำหรับ เข้าเฝ้าเจ้านาย หรือบูชาเทพเจ้า