บทที่ 1297 ไม่น่าเชื่อว่านางจะวิ่งไปถึงตาค่ายกลของยอดเขาที่แปดแล้ว!
ภายในวังคํ้านภา
ตี้ฝูอีตะลึงงันปานถูกสกัดจุดอยู่ครึ่งนาทีเต็มๆ!
ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะได้เห็นนางอีกครั้ง!
แต่น่าเสียดายที่นางหายไปอย่างรวดเร็ว ถึงขั้นที่เขาคว้านางไว้ไม่ทัน!
นางถอดวิญญาณอีกแล้ว…
ว่ากันตามเหตุผลแล้วร่างโคลนนิ่งนั้นของนางค่อนข้างพิเศษ หากไม่ใช้วิธีเฉพาะนางจะถอดวิญญาณไม่ได้ แต่นางทำได้จริงๆ แถมยังหลบอยู่ในห้องหอของเขาด้วย…
เขารู้ว่านางเป็นตัวแปร เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นกับนางไม่อาจใช้เหตุผลทั่วไปมาอนุมานได้ แต่เด็กสาวผู้นี้เป็นตัวแปรที่ยิ่งใหญ่เกินไปหน่อย ทำให้คนรับมือแทบไม่ไหว
น่าแปลก ในอดีตเมื่อนางอยู่ในภาพถอดวิญญาณ เขามองเห็นนางได้ หนนี้เขาไม่ได้สังเกตล่วงหน้าเลยสักนิด เป็นพลังยุทธ์ของเขาถดถอยลง หรือ เป็นดวงวิญญาณของนางแข็งแกร่งขึ้นอีกขั้นแล้ว?
น่าตายนัก เขาถึงขั้นที่ไม่ทันได้ถามว่าสรุปแล้วตอนนี้นางอยู่ไหนกันแน่?!
อย่างไรก็ตาม มันไม่สำคัญแล้ว ในเมื่อนางถอดวิญญาณมาถึงที่นี่ได้ บนดวงวิญญาณก็น่าจะมีกลิ่นอายของที่สถานที่ติดมาด้วยเล็กน้อย บางทีเขาอาจจะอนุมานจากกลิ่นอายเล็กน้อยนั้นได้ เขาสูดหายใจเบาๆ มองสำรวจภายในห้องอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง จากนั้นก็ได้กลิ่นอายจางๆ ของนางอยู่บนม่านเตียง กลิ่นอายของนางประหลาดอยู่บ้าง เจือกลิ่นสุราเล็กน้อย…
สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนในทันใด!
นั่นคือกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของผลถันภังคี ทั่วแผ่นดินนี้มีเพียงสถานที่เดียวเท่านั้นที่มีผลไม้ชนิดนี้อยู่…ตาค่ายกลยอดเขาที่แปดของป่าทมิฬ ไม่น่าเชื่อว่านางจะวิ่งไปถึงตาค่ายของยอดเขาที่แปดแล้ว!
เข้าไปได้อย่างไรกัน?
หากว่านางทำลายแล้วบุกเข้าไป เขาจะรับรู้ได้ทันที หากว่าเข้าไปโดยใช้วิธีเดียวกับผู้อื่น เขาก็จะรับรู้ได้เช่นกัน แต่ครั้งนี้เขาจับสัมผัสไม่ได้สักนิดเลย ไม่น่าเชื่อว่านางเข้าไปแล้วจริงๆ!
มิน่าเล่าดวงดาวที่เป็นตัวแทนของนางจึงสุกสว่างขึ้นเรื่อยๆ ที่แท้ก็เป็นเพราะฝึกฝนอยู่ที่นั่น!
เขาหลับตาลงเล็กน้อย ดีเหลือเกิน ในที่สุดเขาก็มีสถานที่ให้ตามหานางแล้ว!
เพียงแต่ค่อนข้างยุ่งยากอยู่บ้างเท่านั้น…
….
“นางอยู่ในตาค่ายกลของยอดเขาที่แปดเหรอขอรับ?!” มู่เฟิงแสดงสีหน้าดั่งถูกสายฟ้าฟาด “เข้าไปได้อย่างไรกัน?”
“สวรรค์ ทำได้อย่างไร?!” มู่เหล่ยก็มีสีหน้าเหลือเชื่อเช่นกัน
มู่เตี่ยนส่ายหน้า “แม่นางกู้คนนี้เป็นตัวประหลาดผู้หนึ่งเสมอมา นางมักจะทำให้เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้อยู่บ่อยครั้ง”
เดิมทีมู่อวิ๋นก็คิดจะเปิดปากแสดงความรู้สึกออกมาเช่นกัน แต่เมื่อคำพูดจ่ออยู่ตรงลิ้นก็กลืนกลับลงไปอีกครั้ง ปากจะพาซวย ความซวยจะมาเยือนเพราะปาก!
ต่อไปเขาจะเป็นคนที่หวงแหนวาจาดั่งทอง…
ตี้ฝูอีคอยให้พวกเขาตกตะลึงจนเสร็จ ในที่สุดก็เอ่ยขึ้น “ตกใจเสร็จหมดแล้วใช่ไหม? ในเมื่อตกใจเสร็จแล้ว เช่นนั้นก็ฟังข้าพูด พรุ่งนี้ข้าจะไปที่ป่าทมิฬอีกครั้ง ไปรอบนี้น่าจะกินเวลาค่อนข้างนาน ในหลายวันนี้ที่ข้าไม่อยู่ กิจธุระภายนอกมอบหมายให้พวกเจ้าทั้งสี่จัดการ มู่เฟิงเป็นหัวหน้าเช่นเคย คนที่เหลือคอยช่วยแบ่งเบา…”
มู่เฟิงสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา “นายท่าน ท่านคงไม่คิดจะเข้าไปในตาค่ายแห่งนั้นใช่ไหมขอรับ?! ท่านบอกไว้มิใช่หรือว่าที่นั่นเป็นเขตแดนฟ้าดินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีเพียงคนที่ใกล้จะสิ้นชีพเท่านั้นถึงจะถูกต้นถันภังคีดูดเข้าไปเอง ไม่มีลู่ทางอื่นให้เข้าไปแล้ว แม้แต่ท่านเองก็ไม่อาจบุกเข้าไปตรงๆ ได้เช่นกัน…”
ตี้ฝูอีเอ่ยเรียบๆ ว่า “เช่นนั้นก็เข้าไปตามวิธีปกติก็พอแล้วนี่”
มู่เหล่ยแตกตื่น “ไม่ได้นะขอรับ! นายท่าน แบบนั้นอันตรายเกินไปแล้ว! อีกอย่างเข้าไปแล้วจะออกไม่ได้! หากว่าแม่นางกู้ไม่ได้อยู่ที่นั่น…”
“นางอยู่ที่นั่น” สุ้มเสียงของตี้ฝูอีมั่นใจยิ่งนัก
“แต่ว่า แต่ว่าผู้คนที่นั่นล้วนแต่เป็นอริกับท่านนะขอรับ!” มู่เฟิงก็ทนไม่ไหวตะโกนออกมาเช่นกัน “เมื่อท่านเข้าไปโดยสูญสิ้นพลังยุทธ์ หากว่าพวกเขาคิดแก้แค้นขึ้นมา แล้วรุมโจมตีท่าน…”
“ใช่แล้วๆ นายท่าน เรื่องนี้ต้องวางแผนให้รอบคอบก่อนนะขอรับ!”