บทที่ 196
ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายถูกพิษแล้วจริงๆ!
กู้ซีจิ่วแย้มยิ้ม หันกายไปอย่างสง่างาม “เช่นนั้นก็มีแต่ถือว่าท่านโชคร้ายแล้ว! ถูกต้อง อย่าโทษเลยว่าข้าไม่เตือนท่าน พิษหนก่อนเป็นแค่พิษกระจอกๆ ท่านโคจรพลังสักหน่อยก็ขับออกมาได้แล้ว แต่พิษหนนี้กลับไม่ใช่เช่นนั้น ท่านต้องนั่งสมาธิสงบจิตใจสามวันเต็ม ในระหว่างนี้ท่านไม่สามารถผลีผลามใช้พลังวิญญาณหรือกำลังภายในใดๆ ได้ มิฉะนั้น…หึๆ”
“มิฉะนั้นจะอย่างไร? พิษนี้ของเจ้าสามารถเอาชีวิตข้าได้หรือ?” ตี้ฝูอีเลิกคิ้ว
“อืม ไม่ถึงกับเอาชีวิตหรอก ข้าผู้นี้จิตใจดี ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตง่ายๆ อย่างมากสุดพิษนี้ก็ทำให้ในอนาคตท่านไม่สามารถสืบสกุลได้ไม่ มีอะไรมากเลย เอาละ หากท่านไม่กลัวว่าต้องกลายเป็นขันทีก็ เคลื่อนไหวได้เลย มาไล่ล่าข้าเลย!”
กู้ซีจิ่วโบกมือแล้วหมุนกาย ใช้วิชาเคลื่อนย้ายหายตัวไปอย่างสง่างาม…
ริมทะเลสาบกลับสู่ความเงียบสงบเหมือนที่เคยเป็น สายลมหอบหนึ่งโชยมา พัดเสื้อผ้าตี้ฝูอีพลิ้วไสว
ในอากาศคล้ายจะมีกลิ่นสุรา กลิ่นปลา รวมถึงกลิ่นหอมจางๆ จากกายนางอบอวลอยู่…
ตี้ฝูอีนั่งอยู่ตรงนั้น แขนเสื้อลู่ลง เขามองดูผืนทะเลสาบอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ยิ้มออกมา
เริ่มแรกเพียงยกมุมปากขึ้น แล้วเสียงหัวเราะก็ดังตามมา
เสียงหัวเราะเปี่ยมเสน่ห์ดึงดูด ดุจสายลมพัดผ่านป่าไผ่ ดั่งแสงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่าง เสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ ผืนทะเลสาบที่อยู่ไม่ไกลคล้ายได้รับผลกระทบจากเสียงหัวเราะเขา จึงเกิดระลอกคลื่นกระเพื่อมไหวเล็กน้อย
ครั้นหัวเราะจนพอแล้ว เขาก็นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน สายตาเหลือบมองที่ไหนสักที่แวบหนึ่ง “พวกเจ้าสี่คน ไสหัวออกมา!”
มีเสียงลมดังขึ้นจากสี่ทิศ เด็กหนุ่มสี่คนปรากฏตัวกลางอากาศ เสื้อผ้าของพวกเขาหรูหราประณีต รูปโฉมหล่อเหลา เป็นเด็กหนุ่มที่พายเรืออยู่บนเรือนั่นเอง เห็นได้ชัดว่าวิชาตัวเบาของพวกเขาเยี่ยมยอดมาก ยามร่อนลงฟื้นฝุ่นไม่กระจายเลย บุปผาบนพื้นดินก็เพียงโค้งงอเล็กน้อยอยู่ตรงปลายเท้า
หลังจากทั้งสี่คนนี้ร่อนลงฟื้นก็ทำความเคารพตี้ฝูอีพร้อมกัน “นายท่าน!”
ตี้ฝูอีเลิกคิ้วมองพวกเขา “พวกเจ้าชมละครสนุกมากสินะ? ข้าถูกพิษก็ไม่ออกมาดูเลยหรือ?”
เด็กหนุ่มทั้งสี่ตกตะลึง ส่ายศีรษะอย่างพร้อมเพรียง “บนโลกนี้ไม่มี ใครสามารถวางยาพิษนายท่านได้ นายท่านทำเช่นนี้ อาจมีความหมายลึกซึงอะไร…”
“ไม่ใช่ ข้าถูกพิษเข้าแล้ว” ตี้ฝูอีเอ่ยไม่กี่คำนี้ออกมาด้วยเสียงเบาหวิว ทั้งยังเลิกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นนิ้วหนึ่งซึ่งแข็งทื่อราวถือธงอยู่
เมื่อทั้งสี่คนนั้นเห็นสีนิ้วมือของเขาชัดเจนก็หน้าเปลี่ยนสีทันที นิ้วมือซึ่งเดิมทีกระจ่างดั่งหยกขาวบัดนี้กลายเป็นสีม่วง โดยเฉพาะ ตำแหน่งปลายนิ้วที่กลายเป็นสีม่วงดุจผลองุ่น!
ท่านทูตดสวรรค์เฝ่ายซ้ายถูกพิษแล้วจริงๆ!
ทั้งสี่คนทึ่มทื่ออยู่ครู่หนึ่ง สายตาสี่คู่สาดแสงวูบไหว “นายท่านนี่เป็นพิษอะไรขอรบ?”
“นายท่าน ถูกพิษนี้รู้สึกอย่างไรบ้างขอรับ?”
“นายท่าน ท่านถูกพิษเข้าแล้วจริงๆ!”
“นายท่าน…”
ตี้ฝูอีเหลือบมองพวกเขาแวบหนึ่ง ท่าทีของเจ้าบัดซบสี่คนนี้คืออะไร?!
ไม่เป็นห่วงเป็นใยเจ้านาย แถมทั้งหมดยังมีท่าทางสนใจใคร่รู้ ราวกับค้นพบทวีปใหม่ก็มิปาน…
เขาแย้มยิ้ม หางตาเชิดขึ้นเล็กน้อย “ดูเหมือนพวกเจ้าจะสงสัยใคร่รู้กันมาก? ทั้งยังยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นด้วยใช่ไหม?” เขายิ้มอย่างอบอุ่น แต่อากาศรอบๆ กลับคล้ายแฝงลมหนาวยะเยือกไว้
เด็กหนุ่มทั้งสี่ชะงักงัน ในที่สุดก็รู้สึกตัวแล้วว่าท่าทีของพวกเขาไม่เหมาะสม จึงรีบปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว แสดงท่าทางซื่อสัตย์ภักดี ต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
การที่เด็กหนุ่มทั้งสี่ไม่เป็นห่วงจริงๆ ก็เพราะในใต้หล้านี้คนที่สามารถวางยาพิษท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายได้จริงๆ เหมือนจะยังไม่ถือกำเนิด! ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายของพวกเขาไร้เทียมหาน
ตี้ฝูอีมองพวกเขาอีกครา ถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ตำหนิอะไรต่อ เขาเหยียดมือไปเบื้องหน้าแล้วมองดู ประหนึ่งมองของหายากอยู่
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็สะบัดนิ้วมือสีม่วงกลางอากาศเบาๆ โลหิตสีม่วงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายนิ้วเขา ยังไม่หันหยดลงพื้นก็กลายเป็นหมอกสีม่วงสลายตัวไป ปลายนิ้วของเขากลับมาขาวกระจ่างดั่งหยกเหมือนที่เคยเป็นมา แม้แต่รอยแผลสักรอยก็ไม่มี
เป็นอันชัดเจนว่าเพียงเขาสะบัดมือก็แก้พิษนั้นได้แล้ว