Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 242

บทที่ 242

อ้อ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว

เธอเอียงศีรษะตามสัญชาตญาณ มองเห็นผืนแผ่นสีม่วงกระเพื่อมไหว

ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย! เป็นเขาที่ถือโอกาสคว้าตัวเธอมา!

แขนข้างหนึ่งของตีฝูอีโอบเธอไว้ในอ้อมกอด แขนอีกข้างก็ไม่ได้อยู่ว่าง ไม่รอให้หลงซือเย่ได้ทันหายใจ เขาซัดฝ่ามือไปอีกครั้ง “รับฝ่ามือนี้ไปอีก!”

ครั้งนี้แสงสีทองเจิดจ้ายิ่งขึ้น สว่างยิ่งขึ้น ราวกับพระอาทิตย์ดวงน้อยๆ เป้าหมายยังคงเป็นโลงนํ้าแข็งใบนั้นเหมือนเดิม!

หลงซือเย่ไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งนั้น ยื่นมือออกไปขวางอีกครั้ง…

ครั้งนี้เขาใช้พลังทั้งหมดที่มี แสงสีเขียวเสียดแทงสายตา พยายามโอบล้อมพระอาทิตย์น้อยสีทองดวงนั้นอย่างสุดกำลัง…

เกิดเสียง ‘ฟู่’ ดังขึ้นเบาๆ พระอาทิตย์ดวงน้อยที่ดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ดับมอดลงทันที่เมื่อสัมผัสกับตาข่ายสีเขียว สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

หลงซือเย่ดูเหมือนคนบ้าที่ต่อยตีกับอากาศ ร่างกายซวนเซ บั้นเอวแทบจะโยกคลอนแล้ว!

เขายืนให้มั่นคงแล้วเงยหน้าขึ้น มองเห็นตี้ฝูอีโอบเอวกู้ซีจิ่วเหาะออกไปจากวังราวกับดาวหาง…

ในวังเหลือเพียงเสียงใสกระจ่างดั่งหยกของตี้ฝูอีดังสะท้อน “เจ้าสำนักหลง สุรานั้นของท่านไม่เลวเลย ไว้ครั้งหน้าจะมาดื่มอีก ข้ายังมีธุระต้องจัดการ ขออำลา!”

หลงซือเย่หน้าเปลี่ยนสี เมื่อก้าวพ้นประตูพลันเกิดเสียงลมโบกสะบัด เขาเห็นตี้ฝูอีโอบกอดกู้ซีจิ่วเหาะตรงไปที่ร่างอาชาเวหาตัวนั้น อาชาเวหากระพือปีก ก่อให้เกิดพายหมุนยามบินขึ้น…

หลงซือเย่ตะโกนด้วยความเดือดดาล “ตี้ฝูอี ท่านรับปากข้าว่าพรุ่งนี้ถึงจะพานางไป!”

“อ้อ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว” ตี้ฝูอียิ้มบางๆ เสียงใสกังวานดุจหยก ดังสะท้อนอยู่กลางนภา เขาและกู้ซีจิ่วขี่อาชาเวหาหายลับขอบฟ้าไป

กู้ซีจิ่วรู้สึกว่า ชาติก่อนเธอคงจะอิจฉาพวกจอมยุทธ์ในเกมหรือในหนังที่ขี่นกร่อนไปร่อนมามากเกินไป ดังนั้นเธอถึงได้ทะลุมิติมายังยุคสมัยเช่นนี้

คนที่นี่ประเดียวก็ขี่นกขี่สัตว์โบยบิน…

แต่ในหลายเที่ยวบินที่ผ่านมา สิ่งที่โดดเด่นตระการตาที่สุดก็คือสิ่งที่ขี่อยู่ในขณะนี้…อาชาเวหา!

อาชาเวหาตัวนี้รูปร่างค่อนข้างคล้ายม้า ทว่างดงามกว่าม้านัก ขนสีขาวปลอดคล้ายเรืองแสงรางๆ อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ดูราวกับสีเงินที่ลื่นไหล

ร่างกายปราดเปรียว มีความยืดหยุ่น กล้ามเนื้อทรงพลัง ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ล้วนสมบูรณ์แบบยิ่ง ยามปีกสีขาวคู่นั้นแผ่สยาย มีความกว้างถึงสองจั้ง เพียงกระพือเล็กน้อยก็เกิดลมกรรโชกทันที

เขาที่กลางหัวเป็นเกลียวดุจสว่าน แหลมคมดั่งสายล่อฟ้า เปล่งแสงสีนํ้าเงินจางๆ

สิ่งที่หาได้ยากยิ่งกว่าคือ ถึงแม้บนหลังอาชาเวหาจะมีคนนั่งอยู่สองคน แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกเบียดเสียดเลย กลับรู้สึกว่ากว้างขวางยิ่งนัก

ถึงคนทั้งสองจะนั่งซ้อนกัน ทว่าไม่อึดอัด กลับตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ

กู้ซีจิ่วนั่งข้างหลัง หันหน้าไปด้านหน้า

ตี้ฝูอีนั่งข้างหน้า หันหน้าไปด้านหลัง

ตี้ฝูอีถึงขั้นวางโต๊ะเล็กแบบโบราณที่วิจิตรงดงามเป็นพิเศษไว้ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง

โต๊ะเล็กรูปทรงคล้ายอานม้า และไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุใด ถึงเปล่งรัศมีหลากสีรางๆ เข้าคู่กับอาชาเวหาตัวนี้อย่างยิ่ง

เห็นได้ชัดเจนมากว่าโต๊ะตัวมีของเขาเป็นชุดคู่กันกับอาชาเวหา ไม่ได้เตรียมแยกไว้ให้เธอโดยเฉพาะ

อาชาเวหาบินได้คงที่นัก เขาวางจอกสุราใบหนึ่งไว้บนโต๊ะเล็ก ด้านในมีสุราเต็มเปี่ยม แต่กลับไม่สั่นไหวไม่กระเพื่อม

ยิ่งไปกว่านั้นคือยามอาชาเวหาโบยบิน บนร่างจะเปล่งแสงสีเงินยวงจางๆ คนทั้งสองก็ถูกแสงสีเงินนี้แผ่ปกคลุมด้วย เห็นได้ชัดว่าแสงสีเงินสามารถกันลมได้ กู้ซีจิ่วอยู่ด้านในรู้สึกถึงเพียงสายลมอ่อนที่ ปะทะใบหน้า

เธอนั่งอยู่ตรงนั้น หลุบตาลงน้อยๆ คล้ายจะมองจอกสุราของเขา และคล้ายจะเหม่อลอยว่างเปล่าด้วย

…………………………

[1] คำว่าเด็กน้อยในภาษาจีน นอกจากจะเอาไว้เรียกเด็กเล็กๆ แล้ว ยังเอาไว้ใช้เรียกคนรักด้วยความเอ็นดูได้ด้วย เหมือนคำว่าที่รักหรือยอดรักในภาษาไทย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!