Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 283

Lamnambubpapit

บทที่ 283

นางพลอยติดร่างแหไปด้วย

น้ำเสียงเขาอ่อนโยนดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิ ทว่าเชียนเยวี่ยหร่าน กลับหนาวสะท้านในใจทันที!

“มิกล้าๆ เยวี่ยหร่านเพียงค่อนข้างเสียดายแทนแม่นางกู้ ดังนั้นจึงกล่าววาจาเช่นนี้ ข้านิสัยเถรตรง วาจาที่กล่าวทำให้พี่ตี้เข้าใจผิด ทว่าข้ามิได้เจตนา…”

ตี้ฝูอีมองเขาครู่หนึ่ง แย้มยิ้มอีกหน น้ำเสียงอ่อนโยนกว่าเดิม “ไม่หรอก เจ้ามิได้เถรตรง แต่ค่อนข้างเขลาต่างหาก! สมองกลวงจนใส่น้ำเข้าไปได้”

เชียนเยวี่ยหร่านตะลึงงัน

ตี้ฝูอียิ้มน้อยๆ “ข้าก็พูดตรงเกินไป เจ้าอย่าใส่ใจเลย”

เชียนเยวี่ยหร่านหน้าแดงก่ำพูดอะไรไม่ออกสักคำ

เจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคถูกทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายด่าว่าโง่เขลาต่อหน้าฝูงชนมากมาย เชียนเยวี่ยหร่านแทบจะยืนไม่อยู่ ได้แต่ถอยหลังไปหลายก้าว

สายลมหอบหนึ่งพัดผ่าน จู่ๆ เขาก็หนาวสะท้านขึ้นมา ประหลาดนัก ตามปกติแล้วถึงแม้ตนจะโผงผางไปบ้าง แต่เมื่อปฏิบัติงานก็พูดจาได้เหมาะสมยิ่ง หนนี้เป็นอะไรไป? ราวกับถูกภูตผีสิงร่างก็มิปาน!

เขามองตี้ฝูอีเหมือนอยากจะเอ่ยปากอธิบายอะไรบางอย่าง ทว่าตี้ฝูอีกลับไม่สนใจเขา หันไปส่งสัญญาณให้บริวารที่อยู่บนแท่นเบิกสวรรค์ “เริ่มได้แล้ว!”

บริวารทั้งแปดคนตอบรับอย่างพร้อมเพรียง ร่างกายไหววูบ ไปยืนประจำตำแหน่งค่ายกลผังแปดทิศ

ในใจเชียนเยวี่ยหร่านรู้สึกเสียใจที่เมื่อครู่ตนพูดจาโง่ๆ ออกไป มองตี้ฝูอีที่กำลังจะก้าวไปเบื้องหน้า เขาหุนหันพลันแล่นขึ้นมาทันที พูดจาโง่เขลาออกไปอีกหน “พี่ตี้จะไม่ลำเอียงใช่หรือไม่?”

ตี้ฝูอีชะงักฝีเท้า เปิดปากเอ่ย “แน่นอนว่าไม่ ข้าจัดการเรื่องราวอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ลำเอียงเด็ดขาด!”

เชียนเยวี่ยหร่านถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เพิ่งจะถอนหายใจได้ครึ่งทาง ตี้ฝูอีก็เสริมขึ้นมาอีกประโยค “ข้าปฏิบัติต่อทุกคนเช่นนี้ รวมถึงพวกเจ้าสองคนด้วย”

เชียนเยวี่ยหร่านตัวแข็งทื่อ! เหตุใดเขารู้สึกว่าในประโยคของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีความหมายอื่นแฝงอยู่?

สีหน้าฮวาอู๋เหยียนก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยิ้มเฝื่อนๆ พลางกล่าว “ฝูอี อู๋เหยียนมิได้เอ่ยอันใดเลย…” นางพลอยติดร่างแหไปด้วยแล้ว

ตี้ฝูอีมองหน้านางแวบหนึ่ง เอ่ยเพียงสองคำว่า “ใช่หรือ?”

นํ้าเสียง เลื่อนลอย ทำให้ฮวาอู๋เหยียนหวาดหวั่นอย่างไม่มีสาเหตุ

กู้ซีจิ่วก้าวออกมาด้านหน้า วนรอบกายเชียนเยวี่ยหร่านรอบหนึ่ง พิจารณาเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เท้าจรดหัวหนึ่งรอบ

เชียนเยวี่ยหร่านรู้สึกขนลุกอยู่บ้าง “สาวน้อย เจ้ามองอะไร?”

กู้ซีจิ่วตอบเขาอย่างเฉยชาสี่คำ “ไม่มีอันใด”

แล้วหันหลังจากไป

เชียนเยวี่ยหร่านนิ่งงัน เหตุใดเขารู้สึกว่ามี ‘บางอย่าง’ อยู่ในนํ้าเสียงของนางกัน?

การทดสอบเริ่มขึ้นแล้ว ผู้คุ้มกันทั้งแปดของวังคํ้านภาแยกกันยืนประจำตำแหน่งค่ายกลผังแปดทิศ ส่วนกู้ซีจิ่วต้องยืนพิงเสาที่อยู่ตรงกลางสุดระหว่างเสาสามต้น

มีอุปกรณ์อยู่บนเสาต้นนั้น พอกู้ซีจิ่วพิงลงไปก็ถูกสายโซ่ด้านบนที่ยื่นออกมาจากความว่างเปล่าตรึงไว้

ตี้ฝูอียืนอยู่ใจกลางค่ายกลแปดทิศ เริ่มต้นทำพิธี มีแสงห้าสีพุ่งจากปลายนิ้วขึ้นสู่ท้องฟ้าตามลำดับ วิธีขยับนิ้วดูคล้ายดัชนีกระบี่หกชีพจร[1]นัก ทว่าดูดีกว่าท่านั้นมาก

เมื่อแสงห้าสีพุ่งขึ้นไป มวลเมฆที่เดิมทีล่องลอยอยู่บนฟ้าก็เริ่มมาชุมนุมกันทางทิศของเสาทั้งสามต้น สายฟ้าที่ราวกับอสรพิษแลบแปลบปลาบออกมาจากหมู่เมฆดำทะมึน ทั้งที่เป็นยามกลางวัน แต่ สายฟ้านั้นยังคงเสียดแหงนัยน์ตาอยู่เหมือนเดิม ทำให้กระวนกระวายขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ

การทดสอบอย่างเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้พบเห็นได้น้อยยิ่ง คนในลานแทบจะไม่เคยเห็นมาก่อน ยามนี้จึงรู้สึกตื่นเต้นอย่างน่าประหลาด เผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว

กู้ซีจิ่วก็ตึงเครียดอยู่บ้าง ทั้งยังไม่มั่นใจเสียเท่าไหร่

ถึงเธอจะไม่เคยได้ยินว่าเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้ถึงตายได้ระหว่างการทดสอบ แต่เมื่อสายฟ้าในเมฆดำทะมึนเหล่านี้วนเวียนอยู่เหนือยอดศีรษะก็ทำให้หัวใจเธอบีบรัดขึ้นมา

ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคงมิได้เรียกอัสนีสวรรค์มาผ่าเธอกระมัง?!

สถานการณ์คล้ายจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!