Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 721

บทที่ 721 ท่านชอบนางจริงๆ ใช่ไหมขอรับ?

และหนนี้เขาก็เงียบงันอีกครั้ง แค่การเงียบหนนี้แตกต่างจากที่เคยเป็นมา บนร่างเขาคล้ายกับมีอารมณ์อ้างว้างอยู่บ้าง ดูค่อนข้างเดียวดายและเปล่าเปลี่ยว ถึงขั้นที่ดูไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมอยู่บ้าง ราวกับเด็กน้อยที่ถูกคนทอดทิ้ง ทว่าไม่ทราบว่าควรทำอย่างไรผู้อื่นถึงจะมารับกลับไปอีกครั้ง…

ยามที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมาในสมองมู่เฟิง มู่เฟิงก็รู้สึกว่าตนเป็นประสาทไปเสียแล้ว!

ความรู้สึกเช่นนี้จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?

แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายทอดทิ้งผู้อื่นเสมอ กลับกลายเป็นผู้อื่นทอดทิ้งเขาตั้งแต่ยามไหนกัน?

“มู่เฟิง เจ้าว่าข้าป่วยหรือไม่?” ในที่สุดตี้ฝูอีที่เงียบมาตลอดก็เปิดปากเอ่ย ทว่าถ้อยคำที่กล่าวออกมากลับทำให้มู่เฟิงตัวสั่นทันที หวั่นวิตกขึ้นมาทันใด!

“นายท่าน ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือขอรับ? เวียนหัว? ตาลาย? หรือว่าแขนขาอ่อนแรง? หรือว่า…” มู่เฟิงร่ายอาการชุดใหญ่ออกมา ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างยิ่งกว่าโคมไฟ เพ่งพิศตี้ฝูอีขึ้นๆ ลงๆ เกรงว่าจะพลาดจุดใดไป

ถึงแม้ภายในห้องจะมืด แต่วรยุทธ์ของทั้งสองคนสูงส่ง สายตาดียิ่งนัก ยามที่เพ่งมองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง ต่อให้ใบหน้าอีกฝ่ายมีขนอยู่กี่เส้นก็สามารถนับได้

ตี้ฝูอีที่ค่อนข้างเหม่อยลอยอยู่บ้างในที่สุดก็ได้สติกลับมา เงื้อเท้าถีบเข้าทีหนึ่ง “ไสหัวไป! คำว่าป่วยของข้ามิได้หมายความว่าแบบนั้น”

มู่เฟิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เช่นนั้นความหมายของนายท่านคือ?”

คืนนี้ดูเหมือนตี้ฝูอีจะพูดคุยด้วยอารมณ์เล็กน้อย หรือบางทีเขาอาจสับสนเล็กน้อยจริงๆ “อันที่จริงข้าเองก็ไม่รู้ ยามที่ไม่ได้พบนางอยากจะพบเจอยิ่งนัก เมื่อได้พบในใจกลับทนไม่ได้ ความจริงท่าทางของนางในยามนี้นับว่าเป็นไปตามที่ข้าหวังไว้แล้ว ข้าควรดีใจถึงจะถูก แต่ข้ากลับเป็นทุกข์นัก…”

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง คล้ายกำลังหาถ้อยคำที่เหมาะสมอยู่ “นางต้องการความแข็งแกร่ง ต้องการอย่างเร่งด่วน นางเติบโตรวดเร็วนัก อันที่จริงข้าสมควรจะรู้สึกปลาบปลื้ม แต่พอเห็นว่าข้าอยู่ข้างกายนางไม่ได้แล้ว และนางก็ใช้ชีวิตอย่างผาดโผนตามอำเภอใจถึงเพียงนี้ ข้าก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง…”

มู่เฟิงไม่กล้าสอดปากพูด

“ข้าควรออกห่างจากนาง แต่กลับควบคุมความปรารถนาจะใกล้ชิดนางเอาไว้ไม่อยู่…นางต้องคิดว่าข้าเป็นโรคประสาทเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายแน่ๆ” ตี้ฝูอีขมวดคิ้วนิดๆ เอ่ยกับตัวเอง

มู่เฟิงทำตัวไม่ถูก เขาเอ่ยอย่างระมัดระวัง “นายท่าน เหตุใดต้องออกห่างจากนางเล่า? ในเมื่อชอบนางก็สมควรรั้งนางไว้ข้างกายนะขอรับ”

สายตาตี้ฝูอีหันเหไปหาเขา “ข้าควรรั้งนางไว้ข้างกายหรือ?”

มู่เฟิงพลันตอบกลับ “…แน่นอนขอรับ!”

บุรุษธรรมดาเมื่อพบเห็นสตรีที่ชมชอบยังคิดจะรั้งไว้ข้างกายเลย นับประสาอะไรกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เล่า?

ไม่ว่าเขาต้องการรั้งผู้ใดไว้ข้างกายก็ล้วนเป็นวาสนาที่อีกฝ่ายปรารถนา ทว่าไม่อาจร้องขอได้เชียวนะ!

ตี้ฝูอีเงียบไปแล้ว …

“นายท่าน ท่านชอบนางจริงๆ ใช่ไหมขอรับ?”

“พูดเหลวไหล!”

“นายท่าน ที่ข้าน้อยไม่กระจ่างก็คือ เมื่อก่อนท่านไล่ตามนางอย่างมิลดราวาศอก ข้าน้อยคิดอยู่เสมอว่าท่านต้องหาทางแต่งนางเข้าบ้านเป็นแน่ ครองคู่โบยบิน ตอนนั้นนายท่านคิดอย่างไรกันแน่ขอรับ?”

คิดอย่างไรน่ะหรือ?

คิ้วตี้ฝูอีขมวดนิดๆ

เรื่องบางอย่างต่อให้เป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์ภักดีที่สุดก็ไม่อาจกล่าวด้วยได้

“มู่เฟิง นิยามของความรักคืออะไร?” ตี้ฝูอีมิได้ตอบคำถามของมู่เฟิง นิ้วมือเคาะโต๊ะเบาๆ คล้ายกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่จริงๆ “เป็นการได้ครอบครอง หรือว่าครองคู่ทุกชาติไป?”

มู่เฟิงนํ้าตานอง น่าเสียดายที่เขาเติบใหญ่มาจนปานนี้ยังไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องรักๆ ใคร่ๆ เหล่านั้นเลย แล้วจะทราบนิยามที่แท้จริงของมันได้อย่างไรเล่า?

เพียงแต่ในเมื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ถามความคิดเห็นเขา เขาย่อมต้องกล่าวออกไปตามที่ตนเข้าเข้าใจ “นายท่าน เรื่องของความรัก อันที่จริงข้าน้อยรู้สึกว่าล้วนไม่ยั่งยืนทั้งสิ้น ต่อให้รักกันจะเป็นจะตาย พออยู่ด้วยกันหลายปีเข้าก็จะกลายเป็นคู่ชีวิตที่ขาดกันไม่ได้ ความรักเหล่านั้นจืดจางไปมากแล้ว ความรักแปรเปลี่ยนเป็นความผูกพัน …”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!