บทที่ 946 นภาไร้ทางหนี พสุธาไร้ทางรอด
เมื่อพวกเชียนหลิงอวี่และเยี่ยนเฉินรวมตัวกัน หกคนนั้นก็เหลือรอดเพียงคนเดียว แต่คนผู้นี้ภายหลังก็พลาดท่าถูกตะครุบไว้ระหว่างที่หลบหนี ถึง แก่ความตาย…
เชียนหลิงอวี่ก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แขนเขาถูกผีดิบกระชากจนเป็นแผลใหญ่ ขาข้างหนึ่งก็หักด้วย เป็นเยี่ยนเฉินที่แบกเขาหนีอยู่ตลอด…
ในบรรดาคนกลุ่มนี้ เยี่ยนเฉินแข็งแกร่งที่สุด อายุก็มากที่สุด ย่อมต้องพึ่งพาให้เขาเป็นผู้นำ แต่ต่อให้เป็นเขายามนี้ก็ค่อนข้างสิ้นหวังเช่นกัน
ระห่างหลบหนีพวกเขาใช้วิธีทำลายค่ายกลสารพัดวิธี แต่เมืองผีสางนี้ก็ยังตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า พวกเขาไม่มีทางหนีได้เลย
พวกเขาเคยลองยิงพลุสื่อสารระหว่างศิษย์ร่วมสำนักขึ้นฟ้าแล้ว แต่ถึงแม้พลุจะพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ทว่าพุ่งไปได้ครึ่งทางก็ราวกับชนสิ่งกีดขวางอันใดเข้า ร่วงหล่นลงมา สัญญาณก็ส่งออกไปไม่ได้เช่นกัน
ทุกคนในที่นี้ล้วนเคยฝึกฝนรํ่าเรียนวิชาเหินหาวมาแล้ว ล้วนสามารถเหาะเหินบนท้องฟ้าสูงหลายสิบจั้งได้ เยี่ยนเฉินถึงขั้นสามารถเหาะได้สูงถึงร้อยจั้ง แต่เยี่ยนเฉินเคยทดลองดูแล้ว ยามที่เขาเหาะขึ้นสูงสามสิบห้าจั้งก็ชนเข้ากับเขตแดนโปร่งแสงที่ยืดหยุ่น เขตแดนนั้นไม่ทราบว่าก่อขึ้นจากเวทวิชาชั่วร้ายอันใด เมื่อซัดฝ่ามือใส่จะแนบติดทันที ไม่มีทางโจมตีให้เปิดออกได้ เยี่ยนเฉินทุ่มเทพละกำลังมหาศาล ผิวหนังตรงฝ่ามือแทบหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ แล้ว
นภาไร้ทางหนี พสุธาไร้ทางรอด
ต่อให้เป็นเยี่ยนเฉินที่พบพานมรสุมจนคุ้นชินแล้ว วินาทีนี้ก็ค่อนข้างสิ้นหวังเช่นกัน
จิ้งจอกน้อยติดตามอยู่ข้างกายเขาตลอด อันที่จริง สาวน้อยขี้ขลาดนัก ก่อนเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แม้แต่ไก่สักตัว นางก็ยังไม่กล้าฆ่า หลังจากอยู่ภายใต้การอบรมสั่งสอนของกู้ซีจิ่ว นางจึงกล้าต่อสู้ กล้าลงมือ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์ต่อสู้ที่โหดร้ายทารุณจริงๆ นางได้เห็นกับตาว่านายทหารที่เคลื่อนไหวช้าไปเล็กน้อยเพราะบาดเจ็บผู้นั้น ถูกผีดิบชุดขาวสองตัวตะครุบไว้ ถูกฉีกเป็นสองท่อนทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่…
ยามนั้นนางหวาดกลัวนัก!
นํ้าตาไหลพราก สองขาอ่อนยวบ หากมิใช่เยี่ยนเฉินคอยปกป้องนางอย่างไม่คิดชีวิตอยู่ตลอด เกรงว่านางคงถูกผีดดิบชุดขาวตะครุบไปฉีกเป็นชิ้นๆ แล้ว
ยามนี้พวกเขาหกคนถูกผีดิบจากรอบทิศบีบต้อนจนถอยหนีมาที่แท่นสูงแห่งหนึ่ง การเคลื่อนไหวของผีดิบถึงแม้จะว่องไว แต่เนื่องจากแขนขา
ของพวกมันแข็งทื่อ ปีนขึ้นที่สูงค่อนข้างลำบาก และบนแท่นสูงก็มีเสาธงต้นหนาเท่าปากชามต้นหนึ่งอยู่ เสาธงสูงประมาณสิบห้าจั้ง ไม่รู้ว่าสร้างมาจากอะไรจึงเกลี้ยงเกลาเป็นมันอย่างยิ่ง
แท่นสูงด้านล่างเสาธงมีผังลวดลายที่ประหลาดยิ่งนักจำนวนหนึ่งอยู่ พายุหิมะหนักหนาถึงเพียงนี้ ทว่าไม่ได้กลบฝังลวดลายเหล่านั้นเลย
อันที่จริง ระหว่างที่หนีเอาชีวิตรอดพวกเยี่ยนเฉินมองเห็นที่นี่นานแล้ว แต่เนื่องจากรู้สึกว่าแท่นสูงนี้ค่อนข้างประหลาด จึงไม่กล้าหนีขึ้นไปเสมอมา
ยามนี้จนปัญญาที่ถูกผีดิบบีบต้อนมาจากทุกทิศ จึงทำได้เพียงถอยหนีขึ้นไปยังเสาธงบนแท่นสูง…
ด้วยวรยุทธ์ของทุกคน การเหินไต่ขึ้นไปบนเสาธงไม่นับว่าเป็นเรื่องยาก เล่อจื่อซิ่ง เล่อชิงซิ่ง จางฉูฉู่ทยอยไต่ขึ้นไป
จิ้งจอกน้อยสีหน้าซีดเผือด แม้แต่เท้าก็อ่อนแรง นางก็พยายามไต่ขึ้นไปด้วยตัวเองอย่างสุดชีวิต แต่เนื่องจากมือไม้อ่อนเกินไปจึงหวิดจะลื่นหลุดลงไปจากเสาอีกครั้ง เคราะห์ดีที่เยี่ยนเฉินซึ่งแบกเชียนหลิงอวี่ไต่เหินขึ้นมาทันกาล คว้าตัวนางเอาไว้ทันที ทั้งหกคนเกาะอยู่บนเสาธงต้นนั้นปานตุ๊กแก
หลานไว่หูพยายามระงับอาการสั่นสะท้านไว้สุดกำลัง บังเอิญเงยหน้าขึ้น ทันทีที่เห็นเชียนหลิงอวี่บนหลังเยี่ยนเฉินก็ตกตะลึงจนแข็งทื่อไปทั้งตัว
ใบหน้าหล่อเหลาของเชียนหลิงอวี่ซีดเซียว นัยน์ตาดำมืด ริมฝีปากก็กลายเป็นสีดำ สองมือที่โอบคอเยี่ยนเฉินไว้เล็บเริ่มกลายเป็นสีเขียวแล้ว บาดแผลบนแขนเขาที่ถูกจัดการอย่างลวกๆ มีโลหิตสีดำไหลซึมออกมาไม่ขาดสาย…
หากกวาดตามองเผินๆ ค่อนข้างคล้ายคลึงกับผีดิบชุดขาวที่อยู่ด้านล่าง…
เชียนหลิงอวี่ยังคงมีสติอยู่ เริ่มแรกเขาไม่รู้สึกว่ามีอะไร แค่รู้สึกละอายใจเท่านั้น ละอายใจที่ทำให้สหายเดือดร้อน