ตอนที่ 31
เวรกรรมมีจริง
และข่าวคราวของหลิงอวิ๋นกับหลี่เซียวเหยานั้นก็ยังคงแพร่สะพัดไปทั่วทุกหัวระแหงจนหลิงอวิ๋นถึงกับนั่งอยู่ไม่ติดตั่งเลยทีเดียว
ด้วยเพราะว่านางนั้นกำลังตื่นเต้นที่ความใฝ่ฝันของนางกำลังจะกลายเป็นจริง
เพราะในยามนี้ข่าวของนางนั้นล่วงรู้ไปถึงท่านพ่อของนางที่เป็นถึงแม่ทัพคู่ใจของฮ่องเต้แคว้นหลี่ผู้เป็นถึงบิดาขององค์ชายหลี่เซียวเหยา
โดยท่านพ่อของนางนั้นได้นำเรื่องข่าวคราวระหว่างนางกับองค์ชายสี่หลี่เซียวเหยาขึ้นกราบทูลต่อองค์ฮ่องเต้แคว้นหลี่ที่เป็นพระบิดาขององค์ชายหลี่เซียวเหยาเป็นที่เรียบร้อย จนฮ่องเต้แคว้นหลี่ยังต้องเกรงใจท่านพ่อของนางอยู่ถึงสามส่วน
ในเมื่อข่าวของนางขจรขจายไปจนทั่วอย่างนี้แล้ว องค์ชายหลี่เซียวเหยาไม่มีทางปฏิเสธได้อย่างแน่นอน
เพราะว่าถ้าหากเขาคิดจะบิดพลิ้วไม่รับผิดชอบนาง
นั่นย่อมนำปัญหามาสู่แคว้นอย่างเลี่ยงมิได้
อา…
ต้องรีบไปตัดชุดเอาไว้เสียแล้ว
ต้องออกไปหาร้านตัดชุดที่ดีที่สุดในเมืองหลวงแห่งนี้
เมื่อคิดได้แล้วหญิงสาวจึงไม่คิดจะรีรอ หญิงสาวรีบเอ่ยขึ้นกับหลี่เซียวเหยาที่นั่งอยู่ตรงขอบเตียงของเซียงหวงกุ้ยเฟยในทันที
“องค์ชายเพคะ หม่อมฉันว่าเราควรไปตลาดกันนะเพคะ” หลิงอวิ๋นเอ่ยขึ้นด้วยกิริยาอ่อนน้อมอย่างถือสิทธิ์ในตัวของ หลี่เซียวเหยา
นางกำลังจะได้แต่งงานกับเขา และได้เป็นชายาเอกของเขา
เช่นนั้นแล้ว นางย่อมมีสิทธิ์เอ่ยเช่นนี้
ซึ่งเดิมทีนางจะเรียกให้ช่างมาวัดตัวและตัดเย็บภายในตำหนักแห่งนี้ก็ย่อมจะกระทำได้
แต่การออกไปปรากฏกายต่อหน้าสาธารณชนย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ จะได้ยิ่งเพิ่มความมั่นใจในข่าวคราวเสียเลย
หลี่เซียวเหยามิได้กล่าวสิ่งใด เขาเพียงมองมารดาของเขานิ่งๆอย่างนึกห่วงใยไม่สร่างซา ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินนำหน้า หลิงอวิ๋นออกไปตามทาง เสด็จแม่ของเขายังคงป่วยอยู่ถึงเพียงนี้เขาจึงมิอาจหักหาญน้ำใจมารดาที่กำลังทรุดโทรมได้แต่อย่างใด
เขาเพียงต้องทำตามน้ำตามคำสั่งของมารดาไปก่อนอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
หลิงอวิ๋นเห็นหลี่เซียวเดินนาทางไปอย่างไม่มีเกี่ยงงอนแต่อย่างใด นางรีบเดินนวยนาดตามหลังออกไปจากห้องแห่งนี้ในทันที
ตั้งแต่เซียงหวงกุ้ยเฟยล้มป่วยจนเดินเหินไม่ได้อย่างนี้ องค์ชายหลี่เซียวเหยาจึงมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับเซียงหวงกุ้ยเฟย ด้วยเพราะว่าเซียงหวงกุ้ยเฟยนอนป่วยเป็นผักอยู่บนเตียงนอนโดยที่องค์ชายคอยเฝ้าวนเวียนดูแลอยู่ไม่ห่างจึงเป็นผลทำให้นางที่อยู่กับเซียงหวงกุ้ยเฟยได้โอกาสอยู่ใกล้ๆเขาได้ตลอดเวลา
ซึ่งนั่นจึงทำให้นางได้อยู่ใกล้ชิดสร้างความสนิทสนมกับเขาด้วยเช่นเดียวกันถึงแม้ว่าในบางครั้งมักจะมีนางกำนัลคนหนึ่งมาคอยขัดจังหวะอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่รู้สาเหตุก็ตามที
แต่ถึงกระนั้นในช่วงเวลานี้ก็นับว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญที่นางจะได้ทำอะไรตามอำเภอใจอย่างที่สุด
องค์ชายสี่ก็มิเคยคัดค้านความต้องการของนางแต่อย่างใดเมื่ออยู่ต่อหน้าของเซียงหวงกุ้ยเฟย
หลิงอวิ๋นยังคงคิดอยู่ในใจอย่างปลื้มปริ่มยินดีเหลือคนาขณะเดินตามหลังของหลี่เซียวเหยาไปโดยไม่หันมามองทางเซียงหวงกุ้ยเฟยแต่อย่างใด
เซียงหวงกุ้ยเฟยที่กำลังนอนพะงาบๆด้วยอิทธิฤทธิ์ของว่าที่สะใภ้ตัวดี ทำได้เพียงนอนมองตามร่างระหงที่เดินออกจากประตูห้องแห่งนี้ไปด้วยสายตาไร้แววพลางกระพริบตาปริบๆอย่างเข็ดขยาดกับชีวิต
นางไม่น่าเลย นางไม่น่าเลย เซียงหวงกุ้ยเฟยคิดได้อยู่แค่นั้น หาได้ทำอย่างอื่นที่ดีกว่านี้ไม่
นางรับรู้แล้วว่าเวรกรรมมีอยู่จริง นางแค่คิดจะวางยาเจินเจิน แต่นางกลับถูกวางยาเสียเอง นางถูกวางยาจากสตรีหน้าสวยท่าทางดูดีกิริยาสูงส่งชาติตระกูลสูงศักดิ์
นางผิดไปแล้ว นางผิดไปแล้วจริงๆ
ภายในตลาดกลางเมืองหลวงของแคว้นต้าหลี่ สองหนุ่มสาวพากันมาเดินทอดน่องอยู่ท่ามกลางฝูงชนมากมายมากหน้าหลายตา แต่ละคนล้วนพากันเมียงมองมาที่ชายหนุ่มกับหญิงสาวอยู่เป็นระยะๆ
ด้วยเพราะว่าฝ่ายชายหนุ่มนั้นช่างดูดีมีสง่าราศีเปี่ยมเสน่ห์เหลือร้ายมองอย่างไรก็รู้ได้ว่ามิใช่บุรุษธรรมดา เขาย่อมเป็นบุรุษผู้สูงศักดิ์อย่างแน่นอน
ส่วนฝ่ายหญิงนั้น ก็ช่างสวยสดงดงามไร้ที่ติ กิริยารึก็ช่างสง่างาม ท่วงท่ายามย่างกรายรึก็ช่างดูสูงส่ง ใบหน้างามของนางนั้นยังคงเชิดขึ้นอย่างหยิ่งผงาด นางเดินตัวลอยอย่างมิรู้ได้ว่ากำลังเดินด้วยเท้าหรือเดินด้วยอากาศเลยทีเดียว
ในสายตาของชาวบ้านนั้นต่างมุงมองสองหนุ่มสาวกันอย่างตื่นตาตื่นใจกระเหี้ยนกระหือรือ
บรรดาเหล่าสตรีที่มองเห็นฝ่ายบุรุษนั้นต่างพากันหน้าเห่อแดงสายตาพราวระยับ ด้วยเพราะว่าฝ่ายชายหนุ่มนั้นช่างงดงามมีเสน่ห์เหลือจะกล่าว พวกนางต่างพากันเมียงมองตามด้วยสายตาพาละห้อย ชะเง้อคอยาวมองตามอย่างไม่อาจเอื้อมได้ถึง
บางคนเพียงกัดเม้มริมฝีปากลอบกลืนน้ำลาย
บางคนถึงกับยกนิ้วเรียวของตนขึ้นกัดเม้มน้อยๆอย่างเก็บข่มอารมณ์พลุ่งพล่านกันเลยทีเดียว
สองหนุ่มสาวนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหลี่เซียวเหยาและหลิงอวิ๋นนั่นเอง
“หม่อมฉันเป็นปลื้มเหลือจะกล่าวเพคะองค์ชาย” หลิงอวิ๋นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหวานล้ำใส่จริตตลอดเวลา
นางได้อยู่ใกล้ชิดกับองค์ชายหลี่เซียวเหยาเพิ่มมากขึ้น ยิ่งนางได้อยู่ใกล้เขา นางยิ่งชมชอบเขา
นอกจากเขาจะเป็นองค์ชายมีตำแหน่งสูงศักดิ์ใหญ่โตอย่างที่นางต้องการแล้ว เขายังงดงามรูปร่างสูงสง่าเปี่ยมเสน่ห์ของบุรุษเพศเป็นอย่างยิ่ง
ลำตัวปราดเปรียว ช่วงไหล่บึกบึน แผงอกกำยำ
ถ้าได้กอดรัดคงจะอบอุ่นอยู่ไม่น้อย หลิงอวิ๋นคิดในใจอย่างละลาบละล้วง แต่ยังคงเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงหวานล้ำมีจริตปกติ
“องค์ชายทรงพระกรุณามาส่งหม่อมฉันหาร้านตัดเย็บอย่างนี้ หม่อมฉันมิรู้ได้ว่าควรจะกล่าวสิ่งใดได้เลย เพคะ” จบคำก็ส่งยิ้มหวานหยดดวงตาทอประกายระยิบระยับอย่างมีเสน่ห์เหลือจะกล่าว
นางต้องทำท่าทางยั่วยวนโปรยเสน่ห์ใส่เขาตลอดเวลาเพื่อที่เขาจะได้ลุ่มหลงนางอย่างโงหัวไม่ขึ้น
หลี่เซียวเหยาเพียงยืนเอามือไขว้กันไว้ที่เบื้องหลังมิได้กล่าวโต้ตอบแต่อย่างใด
เขาเพียงแต่ปล่อยให้หลิงอวิ๋นกล่าวออกไปตามใจ แล้วแต่นางจะกล่าว อยากกล่าวสิ่งใดก็กล่าวไป เขามิได้อยากฟัง
ชายหนุ่มคิดในใจขณะมองตอบกลับไปยังสตรีด้านหน้าที่กำลังทำท่าทางน่าเบื่อหน่าย
เขาจำต้องออกมากับนางเพียงเพราะแผนการบางอย่าง
เขาเพียงหวังเอาไว้ว่า มันจะสำเร็จโดยเร็ว เขาเบื่อเล่นงิ้วกับนางเต็มที ท่าทางยั่วยวนรึสู้เจินเจินของเขาก็ไม่ได้
หลิงอวิ๋นยังคงเดินทอดน่องเข้าร้านนั้นออกร้านนี้อยู่จนตลอดแนวทั่วทั้งตลาดใหญ่แห่งนี้โดยไม่คิดจะนั่งรถม้าแต่อย่างใด
นางกำลังทำให้ชาวบ้านชาวเมืองเห็นกันถ้วนหน้าว่านางมากับใคร และกำลังทำอะไร
นางกำลังพาว่าที่เจ้าบ่าวเข้าๆออกๆร้านตัดเย็บชุดเจ้าสาว…
หลิงอวิ๋นคิดในใจอย่างปลื้มปริ่มใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลา
“ท่าทางของเจ้า ช่างมีความสุขยิ่งนัก” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งพลันดังขึ้นอยู่ทางด้านหลังของหลิงอวิ๋นกับหลี่เซียวเหยา
ทำทั้งสองชายหนุ่มหญิงสาวถึงกับต้องหันไปหาทางต้นเสียงในทันที
“ข้ารู้สึกอิจฉายิ่งนัก” เสียงของบุรุษคนเดิมยังคงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความขุ่นเคืองมากมายหลายส่วน
“ท่าน…” หลิงอวิ๋นถึงกับอุทานเมื่อมองเห็นชัดถนัดตาแล้วว่าเป็นใคร “ทะ…ท่าน…มาได้อย่างไร” หญิงสาวถึงกับเอ่ยคำผิดๆถูกๆอย่างตะกุกตะกักเมื่อเห็นคนรักเก่าอย่างเอี้ยนหนันเฟย
ชายหนุ่มนามว่าเอี้ยนหนันเฟยก้าวเท้าเข้ามาอีกเพียงนิดเพื่อทำความเคารพไปทางหลี่เซียวเหยา
หลี่เซียวเหยาเพียงรับการแสดงความเคารพของชายหนุ่มผู้มาใหม่นิ่งๆ เขารอชายหนุ่มผู้นี้มานานจนคิดว่าอยากจะออกเดินทางไปตามหาเพื่อลากคอเขามาด้วยตัวของเขาเองเลยทีเดียว
เอี้ยนหนันเฟยนั้นเป็นบัณฑิตรูปงามคนหนึ่ง เขาเป็นคนรักเก่าของหลิงอวิ๋น เขาคบหากับหลิงอวิ๋นมาได้ระยะหนึ่ง
จนกระทั่งวันหนึ่งสตรีนามว่าเซียงอวี๋ได้เดินทางมาหาเขาพร้อมด้วยจดหมายตัดรอนจากหลิงอวิ๋นที่เขียนข้อความมาขอยุติความสัมพันธ์กับเขาอย่างไม่มีเหตุผล
เขาทั้งโกรธทั้งเสียใจอย่างสุดประมาณ
เขาเพียรพยายามออกตามหาหลิงอวิ๋นมานานร่วมเดือน
จนในวันหนึ่งก็มีนกประหลาดตัวหนึ่งสีดำทมิฬใหญ่โตท่าทางน่ากลัวนำสารติดข้อเท้ามาส่งให้เขา
ข้อความในสารนั้นบอกตำแหน่งที่อยู่ของหลิงอวิ๋นเอาไว้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งสั่งกำชับให้เขามารับตัวของหลิงอวิ๋นกลับไปกับเขา
เขาจึงเดินทางมาที่นี่เพื่อจะพานางกลับไป
แต่เขา…
แต่เขากลับไม่คาดคิดว่า….
“ท่านมาได้อย่างไร มาทำอะไรที่นี่” พลันเสียงของ หลิงอวิ๋นก็ดังแทรกเข้ามา
นางเปลี่ยนน้ำเสียงจากเดิมที่ออกจะตกอกตกใจเป็นน้ำเสียงแข็งกระด้างอย่างทันท่วงที
นางเป็นหญิงงาม แน่นอนย่อมต้องเกิดการช่วงชิงกันระหว่างบุรุษอย่างช่วยไม่ได้
หญิงสาวคิดอย่างนั้นพลางเอ่ยออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน “ไม่ว่าท่านจะมาทำอะไร มาได้อย่างไร แต่ท่านก็ควรตัดใจจากข้าเสีย ข้ากำลังจะแต่งงานกับองค์ชายสี่” จบคำก็เชิดหน้าจนดั้งจมูกเชิดโด่งอย่างสูงสง่าพร้อมทั้งเบี่ยงกายเข้าหาหลี่เซียวเหยาอย่างจงใจ
หลี่เซียวเหยาเพียงปรายหางตามองหลิงอวิ๋นนิ่งๆด้วยมาดเคร่งขรึมทรงพลัง มิได้เบี่ยงกายหลบเลี่ยงแต่อย่างใดพลางเอ่ยด้วยประโยคเกินบรรยาย “เจ้าควรกลับไปหาคนรักของเจ้า ข้าไม่อาจแต่งงานกับสตรีที่มีคนรักอยู่แล้ว”
เขาตั้งใจพูดให้เสียงดังเพื่อที่บรรดาชาวบ้านชาวเมืองที่แอบฟังอยู่โดยรอบทั้งหลายจะได้ไม่ต้องนำตีความให้เป็นอื่นแต่อย่างใด
“กระหม่อมมิได้มาเพื่อรับนางกลับไปพะย่ะค่ะ”
เอี้ยนหนันเฟยเอ่ยออกมาอย่างฉับพลัน
“ได้อย่างไร นางเป็นคนรักของเจ้า” หลี่เซียวเหยารีบเอ่ยขัด
“ทูลองค์ชาย ข้ามีคนรักใหม่แล้ว” เอี้ยนหนันเฟยกล่าว
“แม้ว่าเจ้าจะมีคนรักอีกกี่คน นางก็ยังคงเป็นคนรักของเจ้า เจ้าควรเอานางกลับไป” หลี่เซียวเหยาเอ่ยขัดกลับออกมา
“หามิได้พะย่ะค่ะองค์ชาย ข้ามิได้ต้องการนางแล้ว”เอี้ยนหนันเฟยเอ่ยออกมาอย่างไม่ยอมจำนน
“ข้าเป็นถึงองค์ชาย ย่อมไม่อาจรับสตรีที่เคยต้องชายใดมาก่อนเพื่อแต่งงาน ท่านควรรับนางกลับไป” หลี่เซียวเหยาไม่ยอมเช่นกัน
“องค์ชายโปรดอภัย กระหม่อมมีคนรักใหม่เสียแล้ว นางคงไม่อาจจะแบ่งข้ากับใคร” เอี้ยนหนันเฟยยังคงยกเหตุผลมาช่วย
“เอาคืนไป” หลี่เซียวเหยาเบื่อต่อความจึงเอ่ยเพียงสั้นๆเพื่อรวบรัด
“ไม่เอา” เอี้ยนหนันเฟยตอบสั้นๆรวบรัดเช่นเดียวกัน
“เอาไป”
“ไม่เอา”
“ถ้าเจ้าไม่เอานางไป ข้าจะฆ่าเจ้า”
“กระหม่อมไม่เอา กระหม่อมยอมตาย”
“อยากตายใช่หรือไม่” หลี่เซียวเหยาถลึงตาใส่
“กระหม่อมไม่อยากได้นาง องค์ชายได้โปรด” เอี้ยนหนันเฟยถึงกับหน้าซีด
“เอาไป”
“ไม่เอา”
“เอาไป”
“ไม่”
ทั้งสองยืนเถียงกันไปมาคล้ายเตะลูกหนังใส่กันอยู่กระนั้น เพราะต่างคนต่างไม่มีผู้ใดยอมที่จะรับสตรีนามว่า หลิงอวิ๋นเอาไว้
ชาวบ้านที่พากันมุงดูมุงฟังต่างหูกางผึ่งผ่างอย่างสนใจ
ด้วยเพราะเหตุการณ์ที่เคยพบเจอนั้นมักจะมีแต่บุรุษพากันยื้อแย่งใคร่ได้ในตัวของสตรี
แต่ยามนี้
บุรุษสองคนนี้
พากันผลักไสสตรีผู้นี้อย่างไม่มีใครยอมใคร
อา… อนิจจา เกิดมากระทั่งอายุปูนนี้ถึงได้มาเจอเป็นครั้งแรก
บรรดาผู้คนที่มุงมองอยู่ไม่ไกลต่างพากันคิดในใจทำนองเดียวกัน
หลิงอวิ๋นถึงกับอึ้งตะลึงงันอ้าปากแข็งค้าง
แทนที่จะยื้อแย่งกันต้องการนาง แต่กลับพากันผลักไสนาง
ทะเลาะกันเพื่อที่จะผลักไสนางออกจากตัว
บ้า
บ้าไปแล้ว
อะไรกัน
สาวงามอย่างนางถูกผู้ชายสองคนพากันผลักไสอย่างไม่ใยดี ไม่มีใครต้องการ
โอว…ไม่….
ในขณะที่สติของหลิงอวิ๋นกำลังจะเตลิดพลันสายตาของนางก็สบเข้ากับสายตาของสตรีนางหนึ่ง
เซียงอวี๋
นั่นเซียงอวี๋
นางมาอยู่ที่นี่
ใช่แล้ว
จริงด้วย
วันก่อนนางแอบออกมาเพื่อรับยาสลายกำลังจาก เซียงอวี๋เพื่อนรักของนาง
นางลืมไปได้อย่างไรว่าเซียงอวี๋อยู่ที่เมืองนี้
นางต้องให้เซียงอวี๋พาเอี้ยนหนันเฟยกลับไป
เมื่อคิดได้แล้วหลิงอวิ๋นจึงส่งสัญญาณมือให้เซียงอวี๋เดินเข้ามาใกล้ยังทิศทางที่นางยืนอยู่ เพื่อช่วยเหลือนางในเหตุการณ์ที่บุรุษกำลังทะเลาะกันเพื่อปฏิเสธนางในขณะนี้
“มาแล้วหรือ อวี๋เอ๋อร์” เอี้ยนหนันเฟยหยุดเถียงกับหลี่เซียวเหยาในทันทีพลางเอ่ยขึ้นไปทางเซียงอวี๋เมื่อมองเห็นหญิงสาวกำลังเดินนวยนาดเข้ามา
อวี๋เอ๋อร์!? หลิงอวิ๋นถึงกับสะดุดหูกับคำเรียกขานที่ออกมาจากปากของคนรักเก่า
“พี่เฟย” เซียงอวี๋เรียกขานเอี้ยนหนันเฟยตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเมื่อเดินมาจนถึงตัวของชายหนุ่ม
หลิงอวิ๋นถึงกับหน้าม้านอย่างสุดฉงน พี่เฟยรึ!?
เอี้ยนหนันเฟยยกแขนขึ้นโอบเกี่ยวเอวบางของเซียงอวี๋อย่างนุ่มนวลอ่อนโยนเหลือจะกล่าว เมื่อเซียงอวี๋เดินกรีดกรายเข้ามาประชิดร่างของเขา
สองหนุ่มสาวส่งสายตาเปล่งประกายบางอย่างให้กันและกัน ทำหลิงอวิ๋นถึงกับอ้าปากค้างกว้างมากขึ้นกว่าเดิม
เดิมทีเอี้ยนหนันเฟยนั้นตั้งใจออกมาตามหาหลิงอวิ๋นเพื่อที่จะนานางให้กลับไปกับเขา โดยการนำพาเซียงอวี๋ผู้ร่วมขบวนการกับหลิงอวิ๋นเพื่อบอกเลิกเขาให้ติดตามมาด้วยกัน
เพื่อที่จะใช้เซียงอวี๋ให้พูดจาหว่านล้อมให้หลิงอวิ๋นกลับมาคืนดีกับเขา
แต่เขาไม่คาดคิดว่า เขากับเซียงอวี๋จะเกิดชะตาต้องกันในระหว่างการเดินทางและพักอาศัยอยู่ที่เมืองแห่งนี้
และเมื่อคืน
เมื่อคืน…
เขากับนาง…
สองหนุ่มสาวต่างพากันยืนทอดสายตาเหม่อมองกันและกันพลางคิดถึงเรื่องเมื่อคืนอย่างมิอาจห้ามใจ คล้ายกับว่าที่ตรงนี้มีเพียงพวกเขาแค่สองคน
หลิงอวิ๋นยืนมองคนทั้งสองด้วยอาการคล้ายหลุดโลกลอยคว้างไปถึงไหนต่อไหน
หนึ่งคือคนรักที่นางตีจากเพื่อหวังมาแต่งงานกับองค์ชายที่แคว้นนี้
สองคือเพื่อนรักที่คอยช่วยเหลือนางตั้งแต่ตัดสัมพันธ์กับคนรักจนกระทั่งส่งยาและปล่อยข่าวลือระหว่างนางกับองค์ชาย
อะ
อะ
อะไรกัน
อะไรกัน
“เจ้า…พวกเจ้า” หลิงอวิ๋นพยายามเปล่งเสียงที่หายไปเนิ่นนานให้กลับมา
“พวกเจ้า…” นางเอ่ยออกมาได้แค่นั้น
“พวกเจ้า…หนันเฟย เซียงอวี๋ พวกเจ้า พวกเจ้าหักหลังข้า” หลิงอวิ๋นเอ่ยออกมาได้ในที่สุด
“เจ้า… เซียงอวี๋…เจ้า…เจ้ายุยงให้ข้าตัดสัมพันธ์กับ หนันเฟย เจ้าบอกกับข้าว่าจะช่วยให้ข้าได้แต่งงานกับองค์ชาย แล้วเจ้าจะมาเป็นอนุชายา แล้ว…แล้ว…ใยเจ้า…กับหนันเฟย เจ้า…หนันเฟย…กับเจ้า…เจ้า…” หลิงอวิ๋นกล่าวคำยาวเหยียดอย่างตะกุกตะกักของจริงไม่มีเสแสร้งประการใด
“ข้าขอโทษอวิ๋นเอ๋อร์ ข้าจะยกตำแหน่งอนุภรรยาของพี่เฟยให้เจ้าก็ได้ เจ้าอย่าถือโทษโกรธข้าเลย” เซียงอวี๋หันหน้ามาทางหลิงอวิ๋นพลางกล่าวอย่างอ่อนหวานหาได้สะทกสะท้านอันใดไม่
ความต้องการจะเป็นอนุชายาขององค์ชายหลี่เซียวเหยาพลันเปลี่ยนไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืน
เมื่อคืน…นางกับพี่เฟย…เมื่อคืน…พี่เฟย… กับนาง…
เซียงอวี๋หยุดกล่าวสิ่งใดเสียกลางคันเมื่อสายตาหันมาสบประสานกับสายตาของเอี้ยนหนันเฟย ความร้อนรุ่มพลันเกิดขึ้นแบบฉับพลัน นางกำลังติดใจพี่เฟยของนาง
“พวกเจ้าทั้งสองใจเย็นก่อนเถิด ประเดี๋ยวข้าไปเปิดห้องหับให้ แต่อย่าลืมพาสตรีนางนี้ไปด้วย” หลี่เซียวเหยาที่ยืนชมงิ้วอย่างสาแก่ใจในแผนการทั้งหมดของตน เขาเพียงยืนชมงิ้วฉากนี้ตรงหน้าอยู่นานก่อนจะเอ่ยขึ้นไปทางเอี้ยนหนันเฟยกับเซียงอวี๋อย่างใจดี พลางปรายหางตามองไปทางหลิงอวิ๋นเป็นเชิงให้สองชายหญิงนำหลิงอวิ๋นกลับไปเสียด้วยกัน
“อะ…องค์ชายเพคะ หม่อมฉัน…หม่อมฉันต้องแต่งงานกับองค์ชายนะเพคะ” หลิงอวิ๋นยังคงตีหน้ามึนอย่างไม่ยอม
นางไม่อาจยอม
นางยอมไม่ได้
ทำไมเป็นอย่างนี้
เป็นอย่างนี้ไม่ได้
หลี่เซียวเหยาพลันเงียบงันมิได้กล่าวสิ่งใดต่อ เขาเพียงยืนนิ่งๆ ใช้สายตาคมกริบดำสนิทมองกลับไปทางหลิงอวิ๋น แล้วปล่อยให้คำตอบทั้งหมดออกมาจากปากของบรรดาชาวบ้านที่รุมล้อมกันอยู่อย่างเต็มพื้นที่
ช่างหน้าไม่อาย
นั่นสิ มีคนรักอยู่แล้วยังใจกล้าหน้าด้านมาเสนอตัวให้องค์ชาย
เป็นบุตรสาวบ้านไหนกัน ช่างทำงามหน้าได้อย่างนั้น
ถ้าเป็นบุตรบ้านข้า มีหวังต้องเผาบ้านทิ้งอพยพหนีไปในทันที
น่าอาย น่าอายยิ่งนัก
บรรพบุรุษคงนอนตายกันตาไม่หลับแล้ว
บิดามารดานางเป็นใครกัน
นั่นสิ
เสียงเซ็งแซ่ดังอื้ออึงด้วยประโยคทำนองเดียวกันดังกระหึ่มจนเวลาล่วงเลย
ถึงแม้ว่าบุคคลทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นหลี่เซียวเหยา หลิงอวิ๋น เอี้ยนหนันเฟย และเซียงอวี๋ จะมิได้อยู่ในเหตุการณ์แล้ว
แต่เสียงนินทาว่ากล่าวยังคงดังกระพืออยู่อย่างต่อเนื่อง ดังยิ่งกว่าข่าวคราวเกี่ยวกับการแต่งงานขององค์ชายสี่แห่งแคว้นกับบุตรีของแม่ทัพแห่งแคว้นก่อนหน้านี้เสียอีก
และเหตุการณ์นี้ก็มีผลทำให้ตระกูลแม่ทัพหลิงมือขวาของฮ่องเต้แคว้นหลี่ต้องมีมลทินอย่างหลบเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งเดิมทีนั้น ข่าวที่มีออกไปว่าหลิงอวิ๋นกำลังจะแต่งงานกับองค์ชายสี่หลี่เซียวเหยาซึ่งเป็นโอรสของฮ่องเต้แคว้นหลี่ที่แยกตัวออกมาช่วยเหลืองานราชกิจกับแคว้นต้าหลี่ที่แยกขยายอาณาเขตปกครองออกมานั้น ได้สร้างความปริ่มเปรมอย่างล้นเหลือล้นพ้นหาใดเปรียบให้กับแม่ทัพหลิงเป็นอย่างมาก
จนท่านแม่ทัพหลิงได้ตั้งเป้าเอาไว้ว่าต้องได้แต่งงานอย่างเสียมิได้
เพราะว่าหลิงอวิ๋นเป็นถึงบุตรสาวแห่งจวนแม่ทัพที่เป็นถึงมือขวาของฮ่องเต้แคว้นหลี่ นับได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญของแคว้นซึ่งฮ่องเต้ยังคงต้องนึกเกรงใจอยู่บ้าง
ซึ่งอย่างไรเสียองค์ชายสี่ก็ไม่มีทางที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบต่อข่าวที่เกี่ยวกับบุตรสาวของเขาได้
แต่ต่อมา มิคาดว่า ข่าวที่ออกมาต่อจากนั้น จะเป็นข่าวว่า หลิงอวิ๋นมีคนรักอยู่แล้ว ซ้ำยังเป็นคนรักคนเดียวกันกับเพื่อนของตัว ทั้งยังมีตำแหน่งเป็นน้อยให้กับเพื่อนเสียอีก
พยานรู้เห็นก็มีอยู่เป็นร้อยชีวิตกลางเมืองหลวงยังไม่รวมที่ได้กระจายไปอย่างทั่วถึงอีกนับไม่ถ้วน
เสื่อมเสียไปทั่วถึงวงศ์ตระกูลทั้งตระกูล จนท่านแม่ทัพ หลิงและฮูหยินหลิงจำต้องขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อขอลุแก่โทษที่บุตรสาวบังอาจทำให้โอรสของฮ่องเต้ต้องเสื่อมเสียพระเกียรติ
แต่คำขอลุแก่โทษแทนบุตรสาวเป็นอันต้องตกไป เพราะแม่ทัพหลิงเป็นบุคคลสำคัญต่อฮ่องเต้แคว้นหลี่เป็นอย่างมาก
ฮ่องเต้แคว้นหลี่ไม่สามารถตัดใจลงโทษแม่ทัพมือขวาของพระองค์ได้ โทษจึงต้องตกไปเป็นของหลิงอวิ๋นซึ่งเป็นต้นเหตุหลักของเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวล
โทษของหลิงอวิ๋นที่ได้รับก็คือถูกเนรเทศไม่ให้เข้ามาเหยียบบนแผ่นดินของแคว้นหลีและแคว้นต้าหลี่อีก
และโทษนี้ก็ตกไปถึงเอี้ยนหนันเฟยและเซียงอวี๋ด้วย
เนื่องจากเซียงอวี๋เคยล่วงเกินหลี่เซียวเหยาเอาไว้เมื่อครั้งใช้ยาปลุกกำหนัดจนถูกสั่งเนรเทศให้ออกไปก่อนหน้าแล้ว แต่ว่านางยังกล้ากลับเข้ามา
ส่วนเอี้ยนหนันเฟยนั้นต้องโทษฐานล่วงเกินหลี่เซียวเหยากลางตลาดโดยการโต้เถียงกับเชื้อพระวงศ์ต่อหน้าชาวเมืองมากมาย
ทั้งสามคนถูกหลี่ซื่อหมินสั่งเนรเทศออกนอกแคว้นให้ไปอยู่ด้วยกันยังดินแดนห่างไกล
ด้วยเหตุนี้ทั้งสามคนที่ประกอบด้วยหนึ่งบุรุษเอี้ยนหนันเฟย สองสตรีหลิงอวิ๋นกับเซียงอวี๋ จึงจำต้องกลายเป็นสามคนผัวเมียไปโดยปริยาย…
“เมื่อคืนเจ้าได้ปรนนิบัติหนันเฟยไปแล้ว คืนนี้ย่อมเป็นข้า เจ้าเอ่ยอันใดออกมากัน” เสียงหวานล้ำของหลิงอวิ๋นเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์อยู่ตรงริมระเบียงของบ้านหลังหนึ่งที่ใช้สำหรับสร้างครอบครัวสามคนผัวเมียภายในเขตแดนอันห่างไกลความเจริญของเมืองหลวง
นางรู้สึกขัดหูยิ่งนักที่เซียงอวี๋บอกกล่าวแก่นางว่าหนันเฟยจะเรียกหาเซียงอวี๋อีกในคืนนี้
“ข้าจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเป็นความต้องการของพี่เฟย”
เซียงอวี๋เถียงกลับด้วยน้ำเสียงหวานล้ำไม่แตกต่างกัน
มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ในเมื่อนางมีดีเรื่องบนเตียงมากกว่าหลิงอวิ๋น
หญิงสาวยังคงเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวานไปทางเพื่อนรัก “เย็นนี้เจ้าแค่มีหน้าที่ทำกับข้าวหุงหาอาหารก็พอ เพื่อที่ข้าจะได้มีเวลาเตรียมเนื้อเตรียมตัวรอปรนนิบัติพี่เฟย อา… คงไม่ได้หลับไม่ได้นอนอีกตามเคย” เซียงอวี๋จบประโยคที่ทำให้ใครบางคนถึงกับเต้นเร่าๆคล้ายกับจับขวดยาเขย่าให้เข้ากัน
เสียงถกเกียงกันเพื่อยื้อแย่งความโปรดปรานจากเอี้ยนหนันเฟยเกิดขึ้นอยู่แบบนี้ในทุกๆวัน จนเอี้ยนหนันเฟยนึกกระหยิ่มยิ้มย่องในความมีเสน่ห์ของบุรุษเพศของตนเป็นอย่างยิ่ง
จนวันหนึ่งชายหนุ่มจึงได้พาสตรีอีกสองนางเข้ามาเป็นอนุภรรยาเพิ่มเพื่อความบันเทิงในทุกค่ำคืน
เขาเพียงสำนึกรู้ตัวแล้วว่า บุรุษเช่นเขาย่อมต้องมีภรรยาหลายคนเพื่อแบ่งปันความสุขให้กันและกันอย่างทั่วถึง
พลังของเขาช่างมีมากมายอย่างเหลือล้น
มันมีมากมายเสียจนเขาช่างภาคภูมิใจในตัวเองยิ่งนัก ชาตินี้เขาทำบุญด้วยอะไรหนอ
เมื่อเอี้ยนหนันเฟยพาอนุภรรยาเข้าบ้านมาเพิ่มอีกสองคน ทำให้เซียงอวี๋และหลิงอวิ๋นกลายเป็นของเก่าคร่าครึ สู้อนุภรรยาผู้มาใหม่ไม่ได้ พวกนางจึงทำได้แค่เพียงกัดฟันกรอดอย่างเก็บข่ม
ถึงแม้ว่าหลิงอวิ๋นจะมีวิชายุทธติดตัวมา ทั้งยังไม่มีสตรีนางใดกล้าล่วงเกินนาง แต่การที่ต้องอยู่ในสภาพอย่างนี้ เป็นเพียงภรรยารองของเอี้ยนหนันเฟยอย่างนี้ การมีวรยุทธลึกล้าก็ไม่สามารถช่วยอะไรนางได้
ต่อให้นางซัดพวกอนุภรรยาเสียสลบเหมือดแล้วอย่างไร ในเมื่อเอี้ยนหนันเฟยก็หาภรรยาเพิ่มเข้ามาได้อีกอยู่ดี
มิรู้ได้ว่านางทำเวรทำกรรมอันใดไว้ ถึงต้องมาอยู่ในสภาพอย่างนี้
การจะหนีออกไป นางก็ไม่อาจทำ ด้วยเพราะความอับอายที่ได้รับ ทำให้นางจำต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนอยู่ที่นี่
แทนที่นางจะได้เป็นชายาเอกแล้วคอยข่มเหงอนุชายา กลับต้องกลายมาเป็นภรรยารองโดยถูกสามีทำรุณจิตใจไปเสียนี่
เซียงอวี๋เองก็รู้สึกได้ไม่แตกต่างกันกับหลิงอวิ๋น มิรู้ได้ว่านางทำเวรทำกรรมอันใดนักหนา ถึงต้องมาตกอยู่สภาพอย่างนี้
เดิมทีนางคิดว่าการเป็นเพียงสตรีอุ่นเตียงหรือเป็นอนุชายาขององค์ชายหลี่เซียวเหยาเป็นเรื่องที่นางอยากจะทำ ด้วยเพราะมิได้คิดว่ามีอันใดเสียหาย
การแบ่งสามีจากชายาเอกมันมิได้มีสิ่งใดต้องตระหนักให้รู้สึกผิดอันใด
แต่มาวันนี้ นางได้เป็นภรรยาเอกของเอี้ยนหนันเฟย ตามด้วยภรรยารองเป็นหลิงอวิ๋น และอนุภรรยาที่มีวี่แววว่า พี่เฟยของนางจะรับเข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ นางจึงได้ตระหนักและรับรู้ได้ว่า การเป็นภรรยาเอกมันไม่สนุกเอาเสียเลย
เฮ้อ!!!
เสียงถอนหายใจของทั้งสองสาวในเรือนนอนดังลั่นจนทะลุทะลวงออกมาจากเรือนนอนของเซียงอวี๋และหลิงอวิ๋นอย่างพร้อมเพรียง แต่กลับถูกกลบด้วยเสียงบางอย่างจากเรือนนอนของอนุภรรยาอีกนางหนึ่งที่ขณะนี้กำลังทำกิจกรรมบางอย่างกับสามีเพียงหนึ่งเดียวของบ้าน…