Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1

ตอนที่ 1 ซูหมิง

ภูเขาสีดำ

ภูเขาขนาดใหญ่ทอดยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตาราวกับหลังของมังกร ตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่ที่หาขอบเขตมิได้นี้ ด้านในมีต้นไม้ใบหญ้ามากมาย ทั้งยังมีเสียงของสัตว์ปีกดังก้องกังวานวนไปมาไม่ขาดสาย เมื่อมองจากที่ไกลๆ ตรงส่วนที่นูนขึ้นบนเทือกเขาเกาะกลุ่มกันเป็นยอดเขาห้าลูก เหมือนกับนิ้วมือทั้งห้าของมนุษย์ที่ยกขึ้นสูงแล้วกำลังคว้าจับอากาศ

บนก้อนหินขนาดใหญ่ที่หุบเข้าไปตรงช่วงกลางของยอดเขาหนึ่งในนั้น มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งพิงอยู่บริเวณร่มเงา ด้านข้างลำตัวมีตะกร้าสานวางอยู่หนึ่งใบ ด้านในกองสุมสมุนไพรอยู่จำนวนหนึ่ง ส่งกลิ่นหอมอบอวลโดยรอบ

เด็กหนุ่มคนนั้นหน้าตาหล่อเหลา เพียงแต่ว่ารูปร่างผอมบาง มองดูแล้วน่าจะอ่อนแอ เขาสวมเสื้อตัวเล็กที่ทำขึ้นจากหนังสัตว์ ห้อยกระดูกสัตว์รูปเขี้ยวพระจันทร์สีขาววนรอบคอ เส้นผมยุ่งเหยิงเล็กน้อยใช้เชือกฟางมัดเอาไว้อย่างลวกๆ

เขานั่งอยู่ตรงนั้น ในมือถือตำราหนังที่รวมหนังสัตว์สิบกว่าผืนเข้าด้วยกันเป็นเล่ม โคลงศีรษะอ่านไปมาอย่างออกรส

“เผ่าหมานมีบรรพบุรุษ เบิกสวรรค์สร้างสายเลือด ตกทอดกันมาหมื่นยุคสมัยจนถึงปัจจุบัน…ผู้ปกปักเผ่าหมานถูกเรียกขานว่านักรบแห่งหมาน บุกดินแดนเคลื่อนภูเขาพลิกมหาสมุทร…มีลายเส้นแห่งหมานติดต่อกับสวรรค์ สามารถเด็ดดวงดารา จันทรา และสุริยา…” เด็กหนุ่มอ่านไปสักพักก็ถอนหายใจ

“ไม่มีกายหมานแล้วจะเป็นหมานได้อย่างไร…นักรบแห่งหมาน…นักรบแห่งหมาน..

ซูหมิง เจ้าทำได้แค่เก็บสมุนไพรเพียงเล็กน้อย เป็นได้แค่แพทย์สามัญในเผ่าก็เท่านั้น หากคิดจะเป็นนักรบแห่งหมาน ความหวังยังห่างไกลนัก” เด็กหนุ่มพึมพำกับตนเอง วางม้วนตำราหนังสัตว์ในมือลง ก่อนจะเหม่อมองผืนฟ้าดินที่ห่างไกลออกไป

ตำราหนังสัตว์ม้วนนี้เขาอ่านแล้วไม่รู้กี่รอบ จะบอกว่าท่องจำจนขึ้นใจก็คงไม่มากเกินไป

“ฟ้าคล้ายวงกลม ผืนดินราวกับสี่เหลี่ยม ประดุจไร้พรมแดน…” ระหว่างซูหมิงกำลังพึมพำ ในหัวก็จินตนาการถึงโลกในตำราเล่มนั้น ไม่ทันไรฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง สามารถมองเห็นก้อนเมฆสีดำตรงปลายสุดขอบฟ้าที่ห่างออกไปได้

ลมหุบเขาที่พัดเข้ามาหอบเอาความชื้นมาด้วย และพัดผ่านต้นไม้ใบหญ้ามากมายบนเขาลูกนั้น ส่งเสียงดังซู่ซ่า

ในทันทีที่เห็นเมฆสีดำบนขอบฟ้า ซูหมิงพลันสะดุ้งรู้สึกตัว

“ท่านปู่ทำนายได้แม่นจริงๆ วันนี้มีน้ำลายมังกรทมิฬจริงๆ ด้วย!”

ดวงตาทั้งสองข้างของซูหมิงเป็นประกาย เขารีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและเก็บม้วนตำราหนังเข้าไปในอกเสื้อ มือซ้ายหยิบตะกร้าสานข้างกายขึ้นแบกบนหลัง ลำตัวโยกเล็กน้อย คว้าเชือกเส้นใหญ่ด้านข้างอย่างชำนาญ ก่อนจะใช้มันปีนขึ้นไปบนยอดเขา

มองจากไกลๆ ร่างกายบอบบางของเด็กหนุ่มคนนี้กลับระเบิดพลังเข้มแข็งและทรหดอย่างสุดขีดออกมา ทุกก้าวกระโดดปีนขึ้นไปได้ไกลสิบกว่าจ้างดุจดั่งวานร

เมฆสีดำที่อยู่กลางฟ้าดินค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ เสียงดังสนั่นวนเวียนไปมา ราวกับสวรรค์พิโรธลงบนเทือกเขาแห่งนี้ เมฆสีดำกลุ่มนั้นเชื่อมระหว่างฟ้าดินจนมืดมิดไปหมด พริบตาเดียวก็เคลื่อนตัวใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ขณะนี้ซูหมิงปีนป่ายรวดเร็วกว่าเดิม แทบจะเป็นช่วงเดียวกับที่เมฆสีดำนี้แผ่ขยายเข้ามา เขาปีนป่ายไปจนถึงจุดที่ห่างจากยอดเขาประมาณสิบกว่าจ้างเท่านั้น

ที่นั่นมีหินประหลาดก้อนใหญ่นูนขึ้นมา เหมือนว่าจะเป็นหินที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตรงกลางด้านในกลวง มีโพรงขนาดเท่ากำปั้นอยู่จำนวนมาก รูปร่างของหินประหลาดนี้เหมือนกับหัวของงูเหลือมยักษ์ที่รุกล้ำเข้าไปในแดนแห่งนี้และหลอมรวมเข้ากับยอดเขา

ใต้หินประหลาดก้อนนั้นยังมีรูปทรงกรวยเหมือนกับเขี้ยว มองดูแล้วน่าตกตะลึงและแปลกพิกลยิ่งนัก อีกทั้งส่วนที่นูนออกมาจากตัวเขาแทบจะเหมือนลอยอยู่กลางอากาศ ทำให้ยากที่จะปีนขึ้นไป เว้นแต่จะสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้

ซูหมิงใช้มือซ้ายจับเชือกเส้นใหญ่ มือขวาหยิบขวดขนาดเล็กออกมาจากตะกร้าสานด้านหลังก่อนใช้ปากคาบเอาไว้ แล้วค่อยๆ ขยับตัวมุ่งหน้าไปทางตรงกันข้ามกับหินประหลาดก้อนนั้น เคลื่อนกายไปได้หลายจ้าง หลังจากอาศัยเชือกที่มือซ้ายจับอยู่เอียงไปข้างหน้าได้ นิ้วมือทั้งห้าก็เกาะหน้าผาเอาไว้ ลำตัวแนบชิดแน่น แหงนหน้ามองไปทางเมฆสีดำบนท้องฟ้า แววตาเป็นประกายไม่ขยับไปไหน

ไม่นานจากนั้นเมฆสีดำปกคลุมยอดเขา เสียงฟ้าผ่าดังกึกก้องสนั่นหู พายุพัดโหมกระหน่ำ จนเหมือนกับจะถอนเทือกเขานี้ออกจากผืนดิน ซูหมิงอยู่ท่ามกลางพายุบ้าคลั่ง นิ้วทั้งห้าที่เกาะหน้าผาเอาไว้ซีดขาว ทว่ากลับไม่สะทกสะเทือนแม้แต่น้อย ภายในดวงตาทั้งสองข้างที่มองไปบนท้องฟ้าฉายแววเด็ดเดี่ยว

พายุคลั่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พัดจนต้นไม้ใบหญ้าบนเทือกเขานี้สั่นไหว เสียงดังราวกับเสียงคำรามของสัตว์ยักษ์ ยิ่งไปกว่านั้นใบไม้แห้งจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนหมุนวนขึ้น ทำให้ทั่วทุกหนแห่งเต็มไปด้วยใบไม้ใบหญ้าที่กำลังปลิวว่อนอย่างรวดเร็ว

กระทั่งสัตว์ขนาดเล็กและไม้แห้งต้นใหญ่จำนวนหนึ่งยังถูกพัดม้วนลอยขึ้นก่อนโดนเหวี่ยงออกไปไกล เสียงร้องแหลมถูกเสียงลมพายุนั้นกลบไปจนมิด

ในขณะที่ซูหมิงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางพายุคลั่งได้ไม่นาน ทั่วทั้งท้องนภาก็ถูกเมฆสีดำกลืนกินจนหมดสิ้น ภายใต้เสียงฟ้าร้องและหยาดฝนเม็ดใหญ่ที่เทลงมา ทั่วทั้งฟ้าดินพลันราวกับกลายเป็นโลกที่ถูกม่านน้ำปกคลุม

น้ำฝนดังซู่ซ่า เทลงมาอย่างไม่ขาดสาย ซ้ำยังตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ซูหมิงก็ยังคงจับเชือกเส้นใหญ่ที่ถูกน้ำฝนชโลมจนเปียกเอาไว้แน่น ลำตัวยังแนบกับหน้าผา

ปล่อยให้น้ำฝนเทใส่ทั่วร่างอย่างอิสระ เขายังคงนิ่ง จ้องมองไปยังหินผาลักษณะคล้ายเขี้ยวที่นูนออกมาใต้หินประหลาดเหมือนงูเหลือมนั่น

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ฝนยังคงตกหนักขึ้น โดยรอบถูกปกคลุมด้วยหมอกฝนจนสลัว เขี้ยวหินที่ซูหมิงกำลังจ้องอยู่กลับค่อยๆ ถูกน้ำฝนชะล้าง ไหลออกมาเป็นของเหลวสีดำ

ของเหลวสีดำหลอมรวมกับน้ำฝน เชื่อมกันจนเป็นธารน้ำสายหนึ่งไหลลงมาด้านล่าง

ซูหมิงเห็นดังนั้น แววตาเผยความปิติ ทว่ากลับยังคงนิ่งอยู่

จนกระทั่งของเหลวสีดำที่ไหลออกมานั้นค่อยๆ ลดน้อยลง จนท้ายที่สุดกลายเป็นสีทอง แววตาซูหมิงเด็ดเดี่ยวไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย พลันคลายมือขวาที่เกาะหน้าผาเอาไว้ ในขณะที่ลำตัวไหลลงมา เขาก็ใช้มือขวาหยิบขวดขนาดเล็กออกจากปากทันที

เชือกที่ใช้มือซ้ายจับอยู่เดิมทีลาดเอียง เวลานี้ปล่อยออกตามมือขวา ทั้งตัวพุ่งทะยานเข้าไปยังหินผาที่นูนขึ้นเหมือนเขี้ยวตามระดับความเร็วของเชือก

เหตุเพราะก่อนหน้านี้รัศมีที่ลาดเอียงของเชือกกว้างมาก อีกทั้งตำแหน่งที่เขาจับอยู่ก็ค่อนข้างแม่นยำ แทบจะเป็นจังหวะเดียวกับเสียงฟ้าผ่าดังสนั่น ซูหมิงจึงไปถึงด้านข้างของหินผารูปเขี้ยวที่คล้ายลอยอยู่กลางอากาศตามแรงของเชือกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มือซ้ายของเขาจับเชือก ส่วนมือขวาถือขวดดินเผาเอาไว้ ในจังหวะที่ไปถึงเขาก็รีบวางมันลงใต้หินผารูปเขี้ยวอย่างรวดเร็ว ยามโหนเชือกกลับไปจนสุด ในขวดก็บรรจุของเหลวสีทองจนเต็มครึ่งขวด

ทว่าในขณะนั้นเอง กลับได้ยินเสียงร้องแหลมดังขึ้น ปรากฏตะขาบสีดำยาวครึ่งจ้าง ขนาดหนาเท่าแขนประมาณสี่ถึงห้าตัว มุดออกมาจากโพรงขนาดเท่ากำปั้นบนหินประหลาด พวกมันพุ่งตรงเข้าใส่ซูหมิงที่โหนตัวอยู่กลางอากาศอย่างดุร้าย

ซูหมิงไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อย แทบจะเป็นช่วงเดียวกับที่ตะขาบพวกนั้นโผล่ออกมา เขาคลายมือซ้ายที่จับเชือกอยู่ทันที ร่างตกลงมาด้วยความเร็วสูง หลบการพุ่งจู่โจมของตะขาบไปได้

“เสี่ยวหง!” ร่างของซูหมิงตกลงมาอย่างรวดเร็ว ลมพายุคลั่งราวกับมีดสั้นทำให้ตัวเขาพลันแข็งทื่อ แม้ว่าจะหลบตะขาบพวกนั้นได้ ทว่าตอนนี้หากตกลงไปคงได้กลายเป็นเศษเนื้อแน่นอน

แต่ถึงกระนั้นเขากลับไม่ตื่นตระหนก เห็นเพียงเงาสีแดงพุ่งมาจากบนหน้าผาด้านข้าง มือจับเชือกเส้นใหญ่ พุ่งตรงเข้ามายังร่างของซูหมิงที่กำลังตกลงสู่เบื้องล่าง ชั่วพริบตาก็เข้ามาใกล้ ก่อนดึงตัวเขาเอาไว้ เงาสีแดงนั่นเป็นวานรตัวเล็กตัวหนึ่ง เวลานี้มันแยกเขี้ยว ทว่านัยน์ตากลับดูปราดเปรียว

หนึ่งคนหนึ่งวานรโหนตัวลงบนหน้าผาตามเชือก หลังจากมาถึงจุดที่อ่านหนังสือก่อนหน้านี้ นัยน์ตาของซูหมิงดูตื่นเต้น เขารีบเก็บขวดเล็กที่ถือมาโดยตลอดเข้าไปทันที

“เสี่ยวหง พวกเราต้องรีบไปแล้ว น้ำลายมังกรทมิฬที่ข้าชิงมาคราวนี้มีมากเหลือเกิน! หือ ในมือเจ้าถืออะไรอยู่?” ขณะซูหมิงกำลังกล่าว เขาเหลือบไปเห็นเศษหินสีดำขนาดเล็กชิ้นหนึ่งในมือของเจ้าลิงตัวนั้น

สีหน้าของเจ้าลิงตัวนั้นดูตื่นตัวทันที หลังจากใช้เล็บเกาะบนตัวแล้ว ก็ส่งเสียงร้องต่อเนื่องหลายครั้ง ซูหมิงเห็นเวลาไม่คอยท่า จึงไม่กล่าวอะไรอีก ทะยานร่างไปด้านหน้าทันทีก่อนจะกระโดดลงไปด้านล่าง คว้าเชือกหลายต่อหลายเส้น โผบินลงไปพร้อมกับเจ้าลิง

ด้านหลังของพวกเขามีเสียงร้องดังสนั่น เห็นตะขาบสีดำหลายตัวยังคงตามมาทางหน้าผา เหมือนเส้นสีดำมากมายที่ลื่นไหลตามติดมาอย่างต่อเนื่อง

เจ้าลิงสีแดงตัวนั้นแยกเขี้ยวเรียงติดกัน

ส่งเสียงร้องไปทางด้านหลังของซูหมิงอย่างไม่ขาดสาย เงาสีแดงขยับวูบวาบ บางครั้งก็หันกลับไปมองตะขาบที่ตามมาจากด้านหลัง นัยน์ตาฉายแววหวาดกลัวและไม่พอใจ

“นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราหนีแบบนี้ มังกรดำพวกนั้นไม่กล้าลงเขามาหรอก เจ้าก็อย่าทำเป็นเสแสร้งหน่อยเลย เอาแบบเดิมก็แล้วกัน น้ำลายมังกรทมิฬพวกนี้แบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่ง” ขนาดซูหมิงกำลังหนีอยู่ ทว่าคำพูดกลับดูเฉยเมย พอกล่าวจบเพียงเท่านั้น เจ้าลิงก็มีท่าทางยิ้มแย้มดีใจทันที เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ทั้งหมดคือการเสแสร้ง

หนึ่งคนหนึ่งวานรเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเทือกเขานี้อย่างมาก อีกทั้งไม่รู้ว่าทำไมมีบางสถานที่ที่ตะขาบพวกนั้นไม่กล้าเข้าไป ทำได้แค่เดินอ้อมเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ถึงความเร็วของซูหมิงและเจ้าจ๋อจะช้ากว่าตะขาบพวกนั้น ทว่าในบางครั้งพวกเขาก็กระโดดลงไปได้ในทันที แล้วยังมีเชือกให้จับได้อีกด้วย ทำอย่างนี้หลายต่อหลายครั้งก็ลงจากยอดเขาไปได้ พอเข้าไปในป่าก็ไม่เห็นเงาของพวกเขาอีกแล้ว

ตะขาบพวกนั้นไม่กล้าลงจากเขาจริงๆ ทำได้เพียงส่งเสียงร้องอยู่นาน แสดงถึงความไม่ยินยอม ก่อนจะปีนขึ้นยอดเขาไปใหม่

เมฆสีดำมาเร็วแต่ก็ไปเร็วเช่นเดียวกัน หลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม ทั่วทั้งเทือกเขาก็กลับคืนสู่สภาพเดิม เมฆดำเคลื่อนตัวแผ่ขยายไกลออกไป

ณ ขอบชายป่าทึบ ซูหมิงเดินออกมาพร้อมกับเจ้าลิง ขณะนี้ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ปรากฏให้เห็นแสงไฟอ่อนๆ บนขอบฟ้าไกล ที่นั่นคือที่ตั้งชนเผ่าของซูหมิง

“ส่วนครึ่งหนึ่งที่แบ่งให้ เจ้าก็กินไปหมดแล้ว ยังคิดจะเอาอีกรึ?” เดินออกมาจากป่าทึบ ทั้งตัวซูหมิงเปียกชุ่ม ทว่าเขากลับไม่สนใจ ทำทีเล่นทีจริงมองไปยังเจ้าลิงที่เดินตามมาด้านหลังตลอดทางและมองเขาอย่างมีความหวัง

เจ้าลิงตัวนี้ไหวพริบดีมาก เขาเจอมันโดยบังเอิญตอนขึ้นเขาลูกนี้เมื่อสามปีก่อน ทั้งสองเคยมีปัญหาทะเลาะกันอยู่บ้าง ทว่าท้ายที่สุดก็กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน

เจ้าลิงกะพริบตาปริบๆ สะกิดใบหน้า เผยให้เห็นถึงความลังเลและดื้อรั้น ทว่าไม่นานมันก็ส่งเศษหินสีดำในมือให้แก่ซูหมิง ส่งเสียงร้องหลายครั้ง สื่อความหมายว่าต้องการแลกกับน้ำลายมังกรทมิฬ

“ได้ จะให้เจ้าอีกหน่อยก็ได้ แต่ว่าหินผุๆ นี้ข้าไม่เอาหรอก เจ้าเก็บเอาไว้เถอะ” ซูหมิงหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะหยิบขวดเล็กในตะกร้าสานส่งให้มัน

เจ้าจ๋อรีบคว้าไว้ทันที ดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง ใบหน้าดูเคลิ้มและมึนเมา ลำตัวโยกไปมาหลายครั้ง ก่อนจะสะอึกสุราออกมา หลังส่งเศษหินสีดำพร้อมขวดให้ซูหมิงแล้ว มันกระโดดแวบหลายครั้งแล้วจึงหายเข้าไปในป่าทึบ

ซูหมิงมองไปยังขวดที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมา เขาเก็บมันใส่ไว้ในตะกร้าสานที่แบกอยู่ด้านหลังอย่างไม่ใส่ใจนัก แล้วพิจารณาเศษหินสีดำแผ่นนั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!