ตอนที่ 101 เพราะเหตุใด
เขาใช้การนำทางของจ้าวเผ่าภูผาดำเพื่อหากำลังเสริมศัตรู อีกทั้งยังสังหารจ้าวเผ่าต่อหน้าพวกเขาอย่างโหดเหี้ยมด้วยการตัดศีรษะ การกระทำเช่นนี้ซูหมิงตั้งใจขยายมันให้ใหญ่ขึ้นหลายเท่า รวมกับรูปร่างน่าสะพรึงภายใต้แสงจันทร์เต็มดวงในยามนี้ ทำให้เขาอยู่เหนือกว่าอีกฝ่ายในพริบตา
ซูหมิงต้องทำเช่นนี้เพราะเขาเหนื่อยล้ายิ่งนัก แม้จะมีแสงจันทร์คอยฟื้นฟูร่างกาย ทว่าเขายังต้องไปสังหารซานเหินอีก สำหรับคนทรยศที่บาดเจ็บสาหัสหนีเข้าป่าในยามนี้ ซูหมิงแค้นเข้ากระดูก
ไม่ว่าอย่างไร ภายใต้ขีดจำกัดของร่างกาย ก็ต้องทำภารกิจให้สำเร็จ นี่เป็นสถานการณ์ที่ซูหมิงต้องเผชิญ ฉะนั้น เขาจึงต้องทำเรื่องที่กระเทือนถึงจิตใจเช่นนี้
โดยเฉพาะชายฉกรรจ์หน้าตาคล้ายจ้าวเผ่าภูผาดำที่ตายตกไปก่อนหน้านี้ ยิ่งทำให้ซูหมิงดูลึกลับ ใช้คำว่าหมานชั่วร้ายแทนความกลัว กำลังเสริมภูผาดำสี่คนจึงเสียความมุ่งมั่นในการต่อสู้ ตื่นกลัวจนถอยหนีอย่างรวดเร็ว
ความจริงแล้วต่อให้ไม่มีชายฉกรรจ์หน้าตาคล้ายจ้าวเผ่าภูผาดำ ซูหมิงก็ทำให้พวกเขาตื่นกลัวระหว่างสู้ แล้วบรรลุเป้าหมายโจมตีจิตใจได้เช่นเดียวกัน
ณ ที่กว้างโล่งไม่ใหญ่นักในป่าทึบ เวลาต่อมา มีเสียงร้องโหยหวนด้วยความสิ้นหวังดังขึ้นปะปน ผ่านไปพักใหญ่จึงค่อยๆ เงียบสงัด พร้อมกับซูหมิงที่เดินออกมาทีละก้าว
บนตัวเขามีบาดแผลเพิ่มขึ้นอีกหลายจุด โดยเฉพาะรอยดาบ ราวกับแทงถึงกระดูกก็มิปาน ภายใต้แสงจันทร์ โลหิตค่อยๆ หยุดไหล ทว่าใบหน้าของซูหมิงกลับขาวซีดเหมือนกับหิมะบนพื้น
ด้านหลังของเขามีศพนอนอยู่สี่คน โลหิตของพวกนั้นย้อมพื้นหิมะจนเป็นสีแดง นี่คือสิ่งชดใช้สำหรับการบุกรุกของพวกเขาเผ่าภูผาดำ
ความจริงแล้ว เผ่าภูผาดำในยามนี้รู้สึกเสียใจที่คำนวณพลาดเรื่องการต่อต้านของเผ่าเขาทมิฬ และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังประเมินความแข็งแกร่งของจ้าวหมานของตนมากเกินไป
ที่จริงพวกเขาเริ่มรู้สึกเช่นนี้ตั้งแต่จุดวางกับดักในป่าทึบ ทว่าก็สู้รบมาจนถึงป่านนี้ อีกอย่างจ้าวหมานยังไม่ออกคำสั่ง พวกเขาไม่กล้าถอย มีแต่ต้องฝืนทำต่อไป
แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น หลังจากบาดเจ็บท่ามกลางการเข่นฆ่าโรมรันกับเผ่าเขาทมิฬแล้ว ก็มีนักรบภูผาดำบางคนเลือกหยุดล่าสังหาร ไม่กลับเผ่าภูผาดำ แต่เลือกถอยหนีไปให้ไกลในป่าทึบ โดยใช้อาการบาดเจ็บเป็นข้ออ้างเพื่อไม่ต้องสู้
ความบ้าบิ่นของเผ่าเขาทมิฬทำให้พวกเขาไม่มีวันลืม
ซูหมิงห้อเหยียดอยู่ในป่าทึบ หอบหายใจแรงทะยานตามร่องรอยบนพื้น ออกตามหาซานเหินด้วยวิชาสะกดรอยที่เขาเรียนรู้เองโดยธรรมชาติจากในป่าตั้งแต่เยาว์วัย!
เขาต้องหาให้พบ เป็นตัวแทนหนานซง ตัวแทนชาวเผ่าเขาทมิฬทุกคน ตัวแทนใบหน้าคุ้นเคยที่ตายตกในกับดัก ต้องถามซานหานให้ได้ว่าทำเพื่ออะไร!
ยังคงมีเสียงระเบิดดังบนท้องฟ้า
ซูหมิงทราบดีว่า ท่านปู่สังเวยชีวิตเพื่อตรึงเจ้าหมานปี้ถูให้สู้กับเขาจนถึงตอนนี้ การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป เขาใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อปกป้องคุ้มครองชาวเผ่า ซูหมิงเงียบขรึม ทว่าความยึดมั่นและแน่วแน่ในแววตากลับไม่ลดลงแม้แต่น้อย
ขณะห้อเหยียดตามเบาะแสที่ซานเหินทิ้งเอาไว้ ระหว่างทางซูหมิงเห็นศพเป็นจำนวนมาก ศพเหล่านี้คือชาวเผ่าที่ขอหยุดระหว่างทางก่อนหน้านี้ ซูหมิงมองชาวเผ่าเหล่านั้น เกิดความเศร้าโศกในใจ ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้ง หลังจากเดินผ่านศพชาวเผ่าคนนั้นมา ซูหมิงมาชะงักฝีเท้าอยู่ในป่าทึบห่างไกล
เบื้องหน้าเขาเป็นต้นไม้ใหญ่ ใต้ต้นไม้มีชายหนุ่มพิงหลังอยู่ มือทั้งสองข้างห้อยลง ใกล้มือขวาเขามีสวินกระดูกเปื้อนโลหิตสีน้ำตาล เหมือนรูสวินจะถูกปิดด้วยโลหิตไปหลายรู
ซูหมิงเดินเข้าใกล้ มองร่างไร้วิญญาณของหลิ่วตี๋ ศพเขาแข็งทื่อ ดวงตาไร้แววมองท้องฟ้า ไม่ทราบก่อนตายมองอะไร บางทีอาจจะเหมือนกับบทเพลงงานศพของเขาทมิฬ เขากำลังถามสวรรค์ สีฟ้าบนท้องนภาเป็นแววตาของใคร ดวงดาวระยิบบนท้องฟ้าเป็นของผู้ใด
ซูหมิงมองหลิ่วตี๋ ค่อยๆ ย่อตัวลง หยิบสวินกระดูกใส่ในอกเสื้อ
เขาไม่อาจลืมในช่วงค่ำคืนเหล่านั้น เสียงบทเพลงสวินที่ทำให้เขาไม่พอใจเล็กน้อยดังกังวานในชนเผ่าเงียบสงัด กระทั่งมีหลายครั้งที่เขาอยากจะไปหาชายหนุ่มคนนี้ ทว่าก็อดกลั้นเอาไว้
แต่ยามนี้ ซูหมิงหลับตา เขาอยากฟังบทเพลงสวินอีกเป็นที่สุด ทว่าคนที่บรรเลงมันได้จากไปแล้ว
ซูหมิงลุกออกมา ห้อเหยียดตามรอยซานเหินไปเบื้องหน้าในป่าทึบด้วยความเร็ว เส้นแสงจำนวนมากปลิวไสวตามหลังเขาภายใต้แสงจันทร์
เขาพบรอยเท้าของซานเหิน มันดูสะเปะสะปะยิ่งนัก นี่แสดงว่าซานเหินบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งจิตใจยังสับสน ถึงได้ลืมกลบร่องรอยขณะหลบหนีเช่นนี้ หรือบางที เขาอาจไม่คิดว่าจะมีคนต่ำต้อยเช่นนี้มาล่าสังหารเขา มิเช่นนั้นแล้ว ด้วยฐานะผู้นำกลุ่มล่าสัตว์เขาทมิฬ จะต้องเชี่ยวชาญในป่าเป็นอย่างดีไม่แพ้ซูหมิงอย่างแน่นอน
การล่าสังหารครั้งนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่กลางดึก ภายใต้แสงจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้า ดวงดาวโดยรอบอ่อนแสงลง ช่วงที่หมอกหนาท่ามกลางเสียงครึกโครมบนท้องฟ้าคล้ายไม่อาจอำพรางได้ ซูหมิงมาถึงรอยแยกที่ท่านปู่สร้างขึ้นเพื่อขวางเผ่าภูผาดำ พบว่าม่านแสงถูกทำลายหายไปแล้ว
ณ ตรงนี้ ซูหมิงเห็นอูลา นางนอนอย่างสงบนิ่ง ราวกับกำลังยิ้ม
เขามองอูลาขณะเดินเข้าไปใกล้ มองรอยแผลบนใบหน้าขาวซีดของนาง เสมือนได้ยินเสียงของอูลาก่อนสิ้นใจ
‘เจ้า…คือโม่ซูใช่หรือไม่…’
ซูหมิงยืนอยู่ข้างศพอูลาพักหนึ่ง ก่อนก้าวจากไป
เขาเดินมาถึงจุดที่สังหารปี้ซู่ ศพของปี้ซู่หายไปแล้ว เห็นได้ว่ามีคนเก็บไป
ขณะห้อเหยียด ทุกสิ่งที่เขาเห็นทำให้หวนนึกถึงสงครามชนเผ่าดุเดือดซึ่งฝังลึกอยู่ในใจของเขา จนกระทั่งมาถึงจุดที่ทำให้เขาตัวสั่น
ตรงนี้ยังอยู่ในป่าทึบ เบื้องหน้าซูหมิง เขาเห็นเศษเนื้อกระจายเต็มพื้น มีเส้นผมขาวกองอยู่ เผยให้เห็นเป็นเงาคนชราที่ซูหมิงคุ้นเคยจำนวนมาก
ตรงนี้เป็นจุดที่ขบวนอพยพเพิ่งเคลื่อนตัวออกจากกับดัก เป็นจุดที่ผู้อาวุโสชราเหล่านั้นเลือกขอหยุด ตอนนี้พวกเขาไม่อยู่แล้ว ลมหนาวพัดผ่านผืนดินกว้างใหญ่ ผ่านหิมะบนพื้น และยังมีเส้นผมขาวลอยล่อง
พวกเขาขอสิ่งที่ทำให้ระเบิดตัวเองได้จากท่านปู่ ขณะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดพูดคุยเฮฮาเรื่องวัยหนุ่ม มีนักรบภูผาดำตรงเข้ามา พวกเขาไม่หวาดกลัวแต่กลับหัวเราะ ก่อนกลายเป็นเสียงระเบิดดังสนั่น
ซูหมิงคารวะกองเลือดเหล่านั้น ผู้อาวุโสธรรมดาเหล่านี้ มีค่าให้เคารพเหมือนกับนักรบหมานที่สู้รบจนตัวตาย เขายกเท้าขึ้นแล้วก้าวเดินต่อไปบนพื้นหิมะ ระหว่างทางเขาเจอลูกศรห้าดอกของผู้นำกองรักษาการณ์ เมื่อนำมันใส่ไว้ด้านหลังแล้วจึงเดินทางต่อ
จนกระทั่งมาถึงจุดที่มีคนตายมากที่สุด และดุเดือดที่สุด ตรงนี้เป็นกับดักของเผ่าภูผาดำ
ซูหมิงมองกับดัก จิตสังหารต่อซานเหินเพิ่มมากขึ้น บนพื้นมีศพอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะเบื้องหน้าซูหมิง เป็นชายหนุ่มสิบกว่าคนที่เอาแต่เที่ยวเล่นในเผ่า ภาพที่พวกเขาพร้อมใจกันพุ่งตัวออกไปทำให้ซูหมิงเจ็บปวดหัวใจ
เขาตามร่องรอยของซานเหิน ทุกสิ่งที่เขาเห็นบอกว่าอีกฝ่ายกำลังหนี กระทั่งบางจุด รอยเท้าของซานเหินยังหนักขึ้นไม่น้อย เหมือนว่าเขาเคยหยุดพักตรงนี้
“ซานเหิน ที่ที่เจ้าจะไป…จะเป็นที่นั่นหรือไม่…” ซูหมิงพึมพำ สีหน้าสับสน ตอนเขายังเยาว์วัย ซานเหินก็เป็นผู้นำกลุ่มล่าสัตว์แล้ว กระทั่งยังเหมือนกับผู้นำกองรักษาการณ์ เป็นผู้แข็งแกร่งและผู้อาวุโสที่ลาซูในเผ่าเคารพเช่นกัน
นิสัยของทั้งสองคนต่างกัน แม้พวกลาซูจะชื่นชอบผู้นำกองรักษาการณ์มากกว่า ทว่าความเย็นชาของซานเหิน กลับทำให้พวกลาซูหวาดกลัวและรู้สึกปลอดภัยในเวลาเดียวกัน
บางที เขาอาจจำเป็นต้องเย็นชา ตนเป็นผู้นำกลุ่มล่าสัตว์ ปกป้องเขาทมิฬ คอยดูแลเรื่องอาหารการกิน จึงทำให้ส่วนใหญ่เขาต้องออกไปข้างนอกเพื่อล่าสัตว์ป่า คนที่ได้กลิ่นคาวเลือดเป็นประจำอย่างซานเหินอาจจะมีรอยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนี้ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของใบหน้า ท่ามกลางเสียงเฮของชาวเผ่าเมื่ออิ่มท้องไม่อดตาย
รอยยิ้มของเขา พวกชาวเผ่าส่วนใหญ่ไม่เคยเห็น
คนเช่นนี้เหตุใดถึงทรยศชาวเผ่า ซูหมิงเดินผ่านกับดักอย่างเงียบขรึม ไม่มองร่องรอยบนพื้นอีก เขาคาดการณ์ได้แล้วว่าซานเหินในยามนี้อยู่ไหน
เมื่อเดินผ่านกับดัก ซูหมิงกลายเป็นสายรุ้งยาวสีแดงพุ่งทะยานไปเบื้องหน้าภายใต้ค่ำคืนแสงจันทร์ เมื่อเวลาผ่านไป เบื้องหน้าซูหมิงปรากฏเค้าลางอยู่ในเงามืด
ตรงนั้นเคยมีเสียงหัวเราะ เคยมีความสุขและงดงาม ทุกค่ำคืนจะมีแสงจากกองไฟโดยรอบ มีชาวเผ่าเต้นระบำ มีเสียงสนุกสนานของพวกลาซู
ตรงนั้นมีความทรงจำสิบหกปีของซูหมิง ทว่ายามนี้กลับเงียบเหงา พังทลาย และเป็นซากปรักหักพัง ตรงนั้นคือชนเผ่าเขาทมิฬของพวกเขา
ภายใต้แสงจันทร์ ซูหมิงเข้ามาใกล้ เขาเห็นตรงใจกลางเผ่ายามนี้ไม่มีประตู บนพื้นหิมะยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ มีชายฉกรรจ์คนหนึ่งนั่งคุกเข่าร้องไห้
เสียงสะอื้นของเขาชัดเจนยิ่งนักในค่ำคืนเงียบสงัด ดังก้องกังวานโดยรอบ เสียงร้องไห้แฝงไว้ด้วยความเศร้าโศก ทำให้ซูหมิงชะงักฝีเท้า
“ความเศร้านี้ เป็นของจริงหรือ….” ซูหมิงกำหมัดเดินเข้าไปอย่างแน่วแน่ ในช่วงที่เขาเดินผ่านซากประตูชนเผ่า ห่างจากชายฉกรรจ์เพียงหนึ่งร้อยจั้ง ซูหมิงหยุดฝีเท้า
เขาเห็นเงาแผ่นหลังชายฉกรรจ์ ฟังเสียงร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด เห็นภาพบ้านเกิดในกาลก่อน หัวใจของซูหมิงราวกับถูกมีดแทงอย่างรุนแรง
“เพราะเหตุใด!”