Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1014

ตอนที่ 1014 ร่างแยกที่สาม

บนฟ้าเกิดเมฆลมแปรปรวน ฟ้าดินเกิดเสียงอึกทึก หมอกหมุนตลบไปรอบๆ ยามนี้เองมีร่างเงายักษ์โผล่ขึ้นจากอากาศ เหมือนเดินออกมาจากความว่างเปล่า มายืนอยู่กลางฟ้า

ร่างนี้มีขนาดหลายสิบจั้ง ทั่วร่างสวมเสื้อเกราะสีทองราวกับเซียนนักรบ ระหว่างที่เส้นผมยาวปลิวไสวก็เผยเป็นใบหน้าสีทอง บนใบหน้าไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ เย็นชาราวกับเหล็กทอง

ทว่าตรงบ่าร่างเงานี้กลับพันด้วยโซ่ยาวหนึ่งเส้น นี่คือโซ่ที่ยืดยาวมาจากส่วนลึกมวลอากาศบนฟ้า!

แต่สิ่งที่มู่หยาหรี่ตาลงไม่ใช่คนนี้ สายตาเขามิได้มองคนนี้เลย แต่จ้องส่วนลึกมวลอากาศที่มีโซ่ยืดยาวออกมา

คนผู้นี้…ไม่ใช่ซูเซวียนอี!

ยามนี้เองมีดวงจิตแก่กล้าลงมาเยือนยังแผ่นดิน ข้างกายร่างเงาสีทองนั้น ขณะที่หมอกม้วนตลบก็เกิดแสงสีทองสว่างหมื่นจั้ง ก่อนมีร่าเงาสีทองเดินออกมาจากมวลอากาศอีกคน

ร่างสูงเหมือนกัน มีอำนาจน่าเกรงขามเหมือนกัน ใบหน้าไร้อารมณ์เหมือนกัน…..มีโซ่พันตัวเหมือนกัน

แทบเป็นช่วงที่ร่างเงาสีทองสองคนโผล่มา ข้างๆ ก็เกิดแสงทองสว่างไม่มีสิ้นสุดอีกครั้ง ท่ามกลางแสงสว่างจ้าแสบตา มีร่างเงาสีทองคนที่สามเดินออกมา

คนยักษ์เกราะทองสามคน ร่างเงาสีทองที่ผูกโซ่ไว้บนตัวสามคน เมื่อพวกเขาทยอยกันออกมาแล้ว ก็ร้องคำรามพร้อมกัน ทุกคนล้วนงอตัวลง จากนั้นก็เดินหน้าเหมือนดึงโซ่

เกิดเสียงดังสนั่นฟ้าดินขึ้น ทว่าซูหมิงที่อยู่ใต้หมอกกลับไม่ได้ยินเสียงนี้แม้แต่น้อย กระทั่งไม่มีเวลาสนใจหมอกม้วนตลบข้างบน

เขาในยามนี้ เมื่อเกิดความเจ็บปวดไปทั่วร่าง เมื่อน้ำหวานดอกผนึกจิตระบายออก หลังจากคล้อยตามการเปลี่ยนแปลงของเอ้อชางแล้ว ความบ้าคลั่งที่ทำให้ตัวเขาจะระเบิดก็ปะทุออกมา

หลังจากปะทุ วิญญาณร้ายสามตนจากรอบตัวต่างร้องโหยหวนเสียงแหลม ตอนที่ซูหมิงได้สติกลับมาอีกครั้ง เขาเห็นในแวบแรกว่าวิญญาณร้ายสามตนข้างกายกำลังลอยอยู่ ทั่วร่างถูกกิ่งไม้จำนวนมากทะลวงผ่าน และกิ่งไม้เหล่านั้น….ก็งอกมาจาก ตัวเขา

เสียงร้องโหยหวนแหลมเล็กดังต่อเนื่องกันมาจากวิญญาณร้ายสามตน พวกมันมีสีหน้าเจ็บปวด ร่างกายกำลังแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว เหมือนว่ากิ่งไม้ที่ทะลวงผ่านร่างพวกมันกำลังกินแก่นสำคัญเลือดเนื้อทุกอย่างของพวกมัน รวมถึงขั้นพลังและวิญญาณทั้งหมด

กระทั่งซูหมิงยังเห็นชัดว่าบนตัววิญญาณร้ายสามตนมีเส้นเลือดดำปูดขึ้นมาและกำลังขยับไหวไม่หยุด แต่ข้างในนั้นไม่มีโลหิต และก็ไม่ได้เกิดจากการชักกระตุก แต่นั่นคือ…กิ่งไม้จากซูหมิงกำลังยืดยาวอย่างรวดเร็วในร่างพวกมัน

ในความรู้สึกซูหมิง กิ่งไม้นี้คือส่วนหนึ่งในร่างกายเขา แน่นจนไม่อาจแยกออก เขาสัมผัสได้ถึงการขยับของกิ่งไม้เหล่านี้อย่างแจ่มชัด กระทั่งยังควบคุมได้เล็กน้อย

ขณะสัมผัส ในใจยังเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง เพราะเขาเห็นว่าที่กิ่งไม้จาก ร่างตนกินขั้นพลังและเลือดเนื้อในร่างวิญญาณร้ายสามตนนี้ และทำให้พวกมันร้องโหยหวนเช่นนี้ได้ นั่นเป็นเพราะว่า…

กิ่งไม้เหล่านี้ไม่ได้กินแบบธรรมดา แต่แยกร่างวิญญาณร้ายสามตนอย่างเร็วไว คล้ายกับว่า…กิ่งไม้เหล่านี้กำลังใช้ความเร็วสูงยิ่งหาข้อบกพร่องในร่างวิญญาณร้ายสามตนนี้ หาส่วนที่พวกมันขาดหายในชีวิต หลังจากเข้าไปหาผลประโยชน์แล้วก็แยกมันออก ภาพนี้เหมือนกับตอนที่ซูหมิงเจอกับสัตว์คลื่นเสียงในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ที่ตัวเขากลายเป็นผู้เฒ่าเมี่ยเซิง หลังจากดำเนินการศึกษามาไม่รู้กี่ปี ก็หาข้อบกพร่องที่ทำให้สัตว์คลื่นเสียงสูญพันธุ์พบ!

ซูหมิงใจสั่นสะท้าน ในความคิดเกิดเป็นภาพหนึ่งอย่างรวดเร็ว ภาพนั้นเป็นภาพที่เขาเคยเห็นในเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิต ในภาพนั้น ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงบนเรือโบราณใหญ่ลำหนึ่งกลางฟ้ากระจ่างดาวกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตจำนวนมากที่ถูกนำมาเซ่นไหว้ เพียงเขาสะบัดมือ ก็รู้ถึงข้อบกพร่องของพวกมัน

ภาพนี้ในตอนแรกทำให้ซูหมิงตื่นตกใจแล้ว กระทั่งเคยเฝ้าปรารถนา แต่ก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องห่างไกลจนไม่อาจเอื้อม ทว่ายามนี้….ดวงตาเขาเป็นประกายเด่นชัด เขาพบว่าตนห่างจากผู้เฒ่าเมี่ยเซิงในภาพนั้นไม่ได้ไกลจนไม่อาจเอื้อมอีกแล้ว!

‘การเปลี่ยนแปลงของเอ้อชาง….เป็นเพราะน้ำหวานดอกผนึกจิต แต่ที่มากกว่าคือเป็นเพราะเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิต!’ ซูหมิงไม่รู้ว่าเมื่อร่างแยกเอ้อชาง หลอมรวมกับร่างกายเขาอย่างสมบูรณ์แบบแล้วจะสร้างความตื่นตะลึงกับทั้งมหาโลกสามรกร้างเท่าไร และยังไม่รู้ด้วยว่าฟ้าดินนอกหมอกข้างบน ชายชรามู่หยากำลังมองมวลอากาศด้วยความหวาดกลัว

ภายในมวลอากาศ เมื่อคนยักษ์เกราะทองสามคนโค้งตัวก้าวเดินลากโซ่ ก็เกิดเสียงโครมครามกังวานไปรอบๆ แล้วเกิดเค้าโครงยักษ์หนึ่งกลางสายตามู่หยาอย่างเด่นชัด

เค้าโครงนั้นเป็นรถสงครามคันหนึ่ง ทั้งคันเป็นสีทองทั้งหมดดุจดวงตะวัน!

รถสงครามคันนี้มีขนาดร้อยจั้ง เพียงแค่เค้าโครงก็สร้างแรงกดดันแรงกล้าต่อมู่หยาแล้ว ทำให้เตาหลอมลำดับห้าเกิดเสียงครึกโครม ทะเลเพลิงต่างพุ่งขึ้นฟ้าในมิติเหลือคณานับ

“ซูเซวียนอี!” ชายชรามู่หยายกมือขวาขึ้นกำหมัดแรงๆ ไปข้างหน้า ในกำปั้นพลันมีแสงสีดำเปล่งวาบ หลังคลายมือออก ก็เห็นว่าในฝ่ามือเขามีลูกกลมสีดำหนึ่งลูก

สีดำของลูกกลมนี้เหมือนกับเหวลึกที่กินแสงสว่างทุกอย่างในโลก ภายในยังมีเงามายานับไม่ถ้วนขยับแสงวิบวับไม่หยุด ทุกการขยับแสงจะมียอดเขาต่างกันโผล่มาหนึ่งลูก เพียงหลายลมหายใจ ยอดเขาในนั้นมีไม่ต่ำกว่าหลายพันหลายหมื่นลูก

มู่หยาจ้องมวลอากาศ ความหวาดกลัวในแววตาถูกความมุ่งมั่นในการต่อสู้อันแรงกล้าเข้ามาแทนที่ คลับคล้ายว่ากำลังรอให้เค้าโครงเลือนรางนั้นสมจริงและเผยเป็น… ผู้แข็งแกร่งหมายเลขสองของเผ่ายมโลกแห่งโลกแท้จริงที่ห้าในตอนนั้น…ซูเซวียนอี บรรพบุรุษเผ่ายมโลกยกให้เขาเป็นโอรสสวรรค์ของเผ่ายมโลก ภายภาคหน้าจะต้องเป็นดวงตะวันสว่างจ้าเหนือคนอื่นอย่างแน่นอน

มู่หยามองมวลอากาศครู่หนึ่ง เสียงอึกทึกก็ดังถึงจุดเดือด ภายใต้เสียงดังสนั่นหวั่นไหว คนยักษ์เกราะทองสามคนนั้นร้องคำรามพร้อมกัน ขณะเดียวกับที่ก้าวเดินพร้อมดึงโซ่ รถสงคราขมุกขมัวก็เหมือนถูกดึงออกมาจากมวลอากาศเข้าสู่กลางโลกแห่งความจริง

ท้องฟ้ากลายเป็นสีทองโดยพลัน ฟ้าสีทอง ดินสีทอง หมอกสีทองรวมถึงรถสงครามสีทองคันหนึ่งกลางอากาศ!

และยังมีร่างเงาที่ถูกย้อมเป็นสีทองยืนอยู่บนรถสงคราม สวมเสื้อคลุมสีทอง เส้นผมยาวแกว่งไกว

เขาเป็นชายวัยกลางคน ดูหล่อเหลาอย่างยิ่ง และยังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกผ่านโลกมาอย่างโชกโชน แววตาเย็นชา ใบหน้าดั่งทองคำ ในตัวแฝงไว้ด้วยความเย็นชาไร้อารมณ์ ราวกับว่าในตัวเขาไม่มีอารมณ์ความรู้สึกของคนเลย

“เจ้าคือร่างแยกที่เท่าไรของซูเซวียนอี!” ชายชรามู่หยาจ้องชายผู้เย็นชาบนรถสงครามสีทองพลางเอ่ยเสียงต่ำ

“ร่างแยกที่สาม” ชายวัยกลางคนกล่าวราบเรียบพร้อมยกมือขวาขึ้น มือขวาพลันเปล่งแสงทองไร้ที่สิ้นสุดก่อนเปลี่ยนเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง มันมีความยาวหนึ่งจั้งกว่า คมตรงขอบเพียงแกว่งเบาๆ มวลอากาศก็เกิดเสียงฉีกขาด

“เป็นเจ้าที่คิดจะทำร้ายหมิงเอ๋อร์ของข้ารึ?” ความเย็นชาในดวงตาชาย วัยกลางคนหนาวเยือกกว่าเดิม เขาพูดน้อย แต่เมื่อสิ้นคำพูดกลับทำให้ทั้งโลกเหมือนอยู่กลางความหนาวเหน็บหมื่นปีในทันใด

มวลอากาศเกิดเสียงดังกึกๆ และเกิดเค้าลางจะถูกแช่แข็ง ก่อนแผ่กระจายออกอย่างรวดเร็วประดุจใยแมงมุม มีผลให้ฟ้าพลันกลายเป็นดอกไม้น้ำแข็งยักษ์!

มู่หยาหน้าเปลี่ยนสี ขณะกำลังจะกล่าว ชายวัยกลางตรงใจกลางดอกไม้น้ำแข็งกลางรถสงครามบนฟ้ายกกระบี่ในมือขวาขึ้นฟันลงมายังพื้นแบบง่ายๆ

หนึ่งกระบี่แช่แข็งฟ้าดิน เกิดดอกไม้น้ำแข็งปกคลุมแผ่นดินในพริบตา ส่งผลให้โลกนี้รวมออกมาเป็นดอกไม้น้ำแข็งสมบูรณ์แบบ หนึ่งกระบี่นี้ยังฟันเปิดกฏเกณฑ์ ให้ฟ้าดินเกิดเสียงดังสนั่นพร้อมกับถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน

ชายชรามู่หยารวมความมุ่งมั่นต่อสู้ในแววตา ลูกกลมสีดำในมือขวาพลันเปล่งแสงสว่างสีดำทึบ แสงสว่างไหลไปตามดอกไม้น้ำแข็งเหมือนจะย้อมดอกไม้น้ำแข็งให้กลายเป็นสีดำ จากนั้นจึงยกมือขึ้นสะบัดไปทางกระบี่เล่มนั้นที่ฟันลง

ลูกกลมสีดำพุ่งขึ้นฟ้าไปปะทะกับกระบี่ของชายวัยกลางคนกลางอากาศ

เคลื่อนย้ายภูผา!” ชายชรามู่หยาทำสัญลักษณ์สองมือ เมื่อเกิดเป็นสัญลักษณ์ภูเขาลูกหนึ่งตรงหน้าผากแล้ว เขาก็กางแขนสองข้างออกสะบัดไป ลูกกลมสีดำบนฟ้าพลันเปล่งแสงสีดำลุ่มลึกมากกว่าเดิม ยอดเขาหลายพันหลายหมื่นในนั้นเหมือนปรากฏบนฟ้าในเวลาเดียวกัน ถึงภาพนี้จะดูประหลาด แต่ความจริงคือตอนนี้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยภูเขา

เสียงดังสนั่นกึกก้องไปรอบๆ นั่นคือเสียงจากยอดเขาพังทลายลงไม่หยุดหย่อน ชายชรามู่หยาหน้าขาวซีดมากขึ้นเรื่อยๆ พอเขาสะบัดสองแขนไปแล้วก็เอามารวมอยู่ตรงหน้า สองมือประสานกันเป็นลักษณะยอดภูเขาแทงขึ้นฟ้าไป

เกิดเสียงดังสนั่นอีกคร้ง ยอดเขาเป็นพันเป็นหมื่นลูกในมวลอากาศสั่นสะเทือนพร้อมกัน มีแสงสีทองสายหนึ่งฟันผ่านยอดเขาทีละลูก หลังจากยอดเขาพังลงทีละชั้นอย่างรุนแรงจนไม่มีอะไรหยุดยั้งได้แล้ว แสงทองจากกระบี่ยาวสีทองก็เปล่งสว่างไปยังยอดเขาทุกลูกในเสี้ยววินาที

มู่หยาหน้าขาวซีด เขากระอักโลหิตมาหนึ่งคำ ช่วงที่ร่างกระเด็นถอยไป ยอดเขาบนฟ้ายังคงพังทลายลง แสงทองพลันฟันลงมาจากบนฟ้า ก่อนมาหยุดนิ่งอยู่ห่างจากศีรษะชายชรามู่หยาสามชุ่น

แต่ว่าความหนาวเยือกจากตัวมันแช่แข็งชายชรามู่หยาไปทั่วร่างแล้ว แสงคมกริบจากกระบี่ยังทำให้ระหว่างคิ้วของเขาเกิดรอยแยกเส้นหนึ่ง

“แซ่ซูเคารพเจ้าเป็นผู้อาวุโส ปฏิบัติตามคำสัญญาของเจ้า ถ่ายทอดวิชาเคลื่อนย้ายภูผาให้เขา แล้วก็มอบโชควาสนาให้หมิงเอ๋อร์ของข้าด้วย” เสียงเย็นชาดังแว่วมาจากบนฟ้า เกล็ดน้ำแข็งรอบๆ หนาวเยือกกว่าเดิม

“หากร่างจริงข้าอยู่มหาโลกสามรกร้าง รูปแบบกระบี่ยมโลกของเจ้าที่ยังไม่ถึงระดับห้าชั้นฟ้า ไม่มีทางต้านวิชาเคลื่อนย้ายภูผาของข้าไหว!”

มู่หยาเงยหน้าขึ้น ไม่มองกระบี่สีทองตรงศีรษะ แต่จ้องรถสงครามสีทองที่ผลุบๆ โผล่ๆ ในยอดเขาพังทลายบนฟ้า

“ที่นี่คือเตาหลอมลำดับห้า และข้า เป็นเพียงร่างแยกที่สาม”

ช่วงที่ชายวัยกลางคนบนรถสงครามกล่าวราบเรียบ ร่างเงาก็ค่อยๆ หายไป รวมถึงคนยักษ์เกราะทองสามคนก็หายเข้าไปในมวลอากาศทีละน้อย จนกระทั่งเขาหายไป ดอกไม้น้ำแข็งในโลกนี้หดเล็กลงจนฟ้าดินกลับมาเป็นปกติแล้ว กระบี่สีทองตรงศีรษะชายชรามู่หยาจึงกลายเป็นความว่างเปล่า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!