Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1024

ตอนที่ 1024 อวิ๋น

สติปัญญาไปถึงขีดสุด เย็นชาจนไร้อารมณ์ หากลงมือคือสิ้นชีพ กระทั่งทั่วร่างจากในสู่นอกยังแผ่กลิ่นอายมรณะที่ไม่มีสิ้นสุด ประหนึ่งได้สิทธิสังหารแทนยมโลก

นี่…ก็คือ ซูหมิงสีเทา

ทวนสิ้นสูญพุ่งออกไป น้ำวนจากมวลอากาศที่เกิดขึ้นเสมือนเส้นทางไปสู่ยมโลก เมื่อมันเปิดออก วิญญาณในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายที่หนีออกจากความตายเหล่านั้นต่างถูกสูบร่างไปทีละตัวท่ามกลางเสียงร้องแหลมเล็ก และถูกดวงจันทร์ภัยพิบัติสีเทายักษ์ข้างหลังซูหมิง…มอบวัฏจักรให้อีกครั้ง!

ส่วนวิญญาณที่หนีไปได้ ระหว่างที่คนเล็กจากน้ำเต้าสองตนกำลังห้อเหยียดก็เกิดเสียงโครมขึ้น พวกมันกลายเป็นละอองธุลีหายไปในอากาศโดยไร้ร่องรอย

ทุกอย่างเพียงแค่เริ่มต้นก็จบลงแล้ว

ซูหมิงเส้นผมยาวสีเทาเขย่าทวนสิ้นสูญในมือ เมื่อเปลี่ยนเป็นแหวนแล้วก็ยันน้ำเต้าขึ้น คนเล็กน้ำเต้าสองตนม้วนถอยมาทันที ก่อนกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งหายเข้าไปในน้ำเต้า

รอบๆ ไม่มีเสียงคำรามของวิญญาณร้ายอีก ทุกอย่างกลับมาเงียบสงบ

สวี่ฮุ่ยเหม่อมองซูหมิง ก้นบึ้งหัวใจนางเกิดความหนาวเยือกขึ้น อีกฝ่ายในรูปลักษณ์แบบนี้ ความไร้อารมณ์เผยมาอย่างชัดเจนยิ่ง นั่นคือเขาไม่สนใจสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง นั่นคือสติปัญญาบริสุทธิ์อย่างหนึ่ง เป็นความไร้อารมณ์ที่ผลักความรู้สึกทุกอย่างออกไปข้างนอก

ดวงจันทร์ภัยพิบัติสีเทาเมื่อครู่แผ่กระจายพลังทำลายล้างออกมา

หากไม่ใช่เพราะนาง…สังเกตเห็นก่อนแล้วจึงทะยานถอยไป ก็มีโอกาสสูงมากที่จะได้รับผลจากพลังทำลายล้าง

นี่ยังเป็นเรื่องรอง ตอนที่นางมองซูหมิง นางเห็นลูกตาสีเทาของเขา จึงอดใจสั่นไหวขึ้นมามิได้

“ซูหมิง…” สวี่ฮุ่ยกัดริมฝีปากล่างพลางกล่าวเสียงเบา

แต่ซูหมิงกลับไม่ตอบเสียงนาง เขาเพียงมองนางอย่างเฉยชาแวบหนึ่ง ความ ไร้อารมณ์ในแววตาและความหนาวเยือกดุจน้ำค้างแข็ง เขาเพียงกวาดมองแวบเดียวก็หันหน้ากลับไปมองอากาศข้างหน้า ก่อนเดินหน้าไปหนึ่งก้าว

สวี่ฮุ่ยหน้าขาวซีดเล็กน้อย นางควบคุมร่างสมบัติล้ำค่าตามหลังซูหมิงไปเงียบๆ ตอนนี้กระเรียนขนร่วงฟื้นกลับมาแล้ว มันพึมพำเกี่ยวกับน้ำเต้าที่มันสร้างขึ้นในอดีตไปพลาง ดวงตาเล็กกวาดมองสวี่ฮุ่ยไปพลาง

“เฮ้ พี่หญิงใหญ่สวี่ อย่าสนใจเลย ไม่เป็นไรๆ” กระเรียนขนร่วงบินมาอยู่ข้างสวี่ฮุ่ย มันกระแอมหลายทีแล้วกล่าวปลอบใจ เพียงแต่คำพูดของมันไม่ว่าฟังอย่างไรก็ไม่รู้สึกว่าเป็นแบบนั้น

“ข้าเข้าใจเจ้าหนูซู ข้าจะบอกเจ้าให้ จากการวิเคราะห์ของผู้อาวุโสอย่างข้า ตามที่ย่ากระเรียนชี้แนะให้กับข้า ข้ารู้สึกว่าเขาตอนนี้จิตใจไม่ปกติมาก…” กระเรียนขนร่วงตามสวี่ฮุ่ยไปพลาง วาดกรงเล็บพร้อมกล่าวไปพลาง

“หากเอ่ยตามแบบบ้านเกิดข้า ตอนนี้อารมณ์เขาถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วน อีกทั้งยังควบคุมเองไม่ได้ อันดับแรกเขาจะโกรธง่าย หากโกรธจะเป็นร่างสีเทา

ต่อมาเขากลัวการกระตุ้น หากถูกปลุกเร้าจะปรากฏร่างสีแดงทันที ส่วนร่างสีทอง ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันจะปรากฏในสภาพการณ์แบบใด?” กระเรียนขนร่วงเกาศีรษะ มันมีท่าทีใคร่ครวญ สายตาพิจารณามองซูหมิงข้างหน้า

ซูหมิงมีสีหน้าเย็นชา เขาเดินอยู่กลางอากาศ ปล่อยให้พลังแห่งกาลเวลาวนเวียนรอบตัว เดินผ่านมิติต่างๆ ที่เข้าไปได้แต่ก็ไม่ได้เข้าไป เพียงมุ่งหน้าไปสู่ใจกลาง เตาหลอมลำดับห้า

เวลาผ่านไปเนิบช้า ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ภายใต้การพุ่งทะยานของซูหมิง เขาห่างจากใจกลางเตาหลอมมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

ตอนนี้เองมีเสียงดังแว่วมาจากไกลๆ ดังก้องไปทั้งเตาหลอมลำดับห้า

“ซู…” เสียงนี้เด่นชัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พอซูหมิงได้ยินแล้วร่างพลันสั่นสะท้าน เขาฟังออกว่านี่คือ…เสียงของสตรีคนหนึ่ง

พอกระเรียนขนร่วงได้ยินเสียงนี้ก็ตัวสั่นเช่นกัน นัยน์ตาฉายแววต่อสู้ดิ้นรน สวี่ฮุ่ยด้านข้างหน้าเปลี่ยนสี นางรู้อาการประหลาดของกระเรียนขนร่วงตอนได้ยินเสียงนี้คราก่อน ตอนนี้จึงยกมือขวาโบกไปทางกระเรียนขนร่วงอย่างไม่ลังเล

กระเรียนขนร่วงพลันกลายเป็นสายรุ้งยาวตรงไปหาสวี่ฮุ่ย แล้วหลอมรวมเข้าไปในร่างสมบัติล้ำค่า สีหน้าดิ้นรนของมันถึงค่อยเบาลงมาก

“ซู…” เสียงสตรีดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้มีความเร่งร้อน กระทั่งซูหมิงยังไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ เขาได้ยินเสียงสั่นเครือในเสียงนี้

เสียงโครมดังในความคิด เขาไม่คุ้นกับเสียงนี้ แต่ในความแปลกตามีความคุ้นเคยอยู่ด้วย ราวกับว่า…ช่วงเวลาหนึ่งในอดีต เขาในอดีตเคยได้ยินเสียงนี้มานับครั้งไม่ถ้วน

เวลานี้เส้นผมยาวของซูหมิงเปลี่ยนจากสีเทาอย่างรวดเร็ว ความเย็นชาหายไป เขากลับมาเป็นอย่างตอนแรกอีกครั้ง

เขาตัวสั่น สายตามองอากาศที่ส่งเสียงนั้นมาอย่างเงียบๆ

“นางคือ…” สวี่ฮุ่ยเห็นซูหมิงกลับมาดังเดิมจึงก้าวเบาๆ เข้าไปใกล้ เมื่อยืนอยู่กับเขาแล้วค่อยถามขึ้นด้วยเสียงเบา

ซูหมิงส่ายศีรษะ

“เมื่อครู่คงทำให้เจ้าตกใจ ข้าไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้น แต่เมื่อหลอมรวมเป็น ดวงจันทร์ภัยพิบัติแล้ว อารมณ์ข้ามีปัญหา” ซูหมิงพึมพำก่อนเดินหน้าไปหนึ่งก้าว ห้อเหยียดไปยังจุดที่ส่งเสียงนั้นมา

ซูหมิงในตอนนี้ ภายในตัวเขาไม่มีความเย็นชากับสติปัญญาแบบนั้นอีก มีเพียงความยึดมั่นในใจกับอารมณ์ชั่ววูบจากการคาดเดาที่ทำให้เขากังวล

สวี่ฮุ่ยเดินตามซูหมิงไปอย่างเงียบๆ เดินไปพร้อมกันกับเขา

เวลาผ่านไปทีละลมหายใจ ความเร็วซูหมิงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงสตรีข้างหูดังวนเวียนหลายครั้ง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ตอนที่ซูหมิงเห็นว่าในมวลอากาศตรงหน้ามีแท่นบวงสรวงยักษ์ลอยอยู่กลางอากาศ ในความคิดเขาเกิดเสียงดังสนั่นไม่ หยุดหย่อน

เขาเห็นแล้ว บนแท่นบวงสรวงวางโลงศพไว้หนึ่งโลง!

โลงศพนั้นโปร่งใส เห็นได้ว่าในโลงศพมีสตรีนอนอยู่คนหนึ่ง…

ทันทีที่เห็นสตรีคนนี้ ก็เหมือนเกิดเสียงเปรี้ยงปร้างดุจฟ้าผ่าเป็นล้านครั้งในร่างกายเขา ตัวเขาสั่นไหว นัยน์ตาฉายแววสับสนและซับซ้อน

ที่นี่คือใจกลางเตาหลอมลำดับห้า แท่นบวงสรวงนี้คือจุดศูนย์กลาง โลงศพบนแท่นบวงสรวงอยู่ในอากาศมาตลอดปี อาศัยมวลอากาศของเตาหลอมลำดับห้าใน การสูบพลังชีวิตของทุกคนที่มาเยือนที่นี่ และพลังชีวิตเหล่านั้น…พอถูกโลงศพสูบไปทั้งหมดแล้วก็ส่งเข้าไปในร่างสตรีผู้นี้

นี่คือวงแหวนอาคม เป็นวงแหวนอาคมที่ใช้เตาหลอมลำดับห้าเป็นอาคมใหญ่ เป้าหมายคือส่งพลังชีวิตไปเรื่อยๆ เพื่อยื้อพลังชีวิตของสตรีไม่ให้สูญสิ้นไป!

ซูหมิงมองสตรีในโลงศพ ดวงตามีน้ำตาไหลมาโดยไม่รู้ตัว เขาจะไม่รู้จักสตรีคนนี้ได้อย่างไร ในภาพความทรงจำตอนอยู่แดนประหลาดวงแหวนบูรพา คนที่ถึงจะสิ้นชีพไปแล้วก็ยังกอดทารกเอาไว้ในอ้อมอก ใช้ร่างกายปกป้องทารกน้อยคนนี้ ผู้นี้ก็คือมารดา

มารดา…ของซูหมิง!

ซูหมิงตัวสั่น น้ำตารินไหล เขาเดินหน้าไปยังโลงศพทีละก้าว

“ซู…” เสียงสตรีดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ระดับความชัดราวกับมาอยู่ข้างหูเขา เขาน้ำตาไหลมากกว่าเดิม ซ้ำยังเกิดเสียงโครมดังสนั่นในความคิดอีกครั้ง

“ซู…หมิงเอ๋อร์ของข้า…” ในน้ำเสียงนี้มีความนุ่มนวล มาพร้อมกับความอบอุ่นที่เขาไม่คุ้นเคย นั่นคือความคิดและการปกป้องบุตรในสายเลือดจากมารดา

“เจ้าไม่ต้องกลัว มีแม่อยู่ ไม่เป็นไร…

แม่รับปากเจ้าว่าจะปกป้องเจ้าตลอดไป จนกระทั่งแม่กับบิดาเจ้าแก่ชรา จนกระทั่งพวกเราไม่มีกำลังเดินไปสุดเส้นทางพร้อมกับเจ้า…

อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าต้องเข้มแข็ง…ปู่ของเจ้าเป็นคนตั้งนามนี้ให้เจ้า เขาเต็มไปด้วยความคาดหวังในตัวเจ้า…

ไม่ว่าเมื่อไร เจ้าต้องจำเอาไว้ เจ้าคือเผ่ายมโลกภายใต้จักรวาลนี้ เจ้าคือชาว เผ่ายมโลกที่น่าภูมิใจ…บิดาเจ้าคือผู้แข็งแกร่งที่เผ่ายมโลกยกย่องว่าจะเหนือกว่าปู่ของเจ้าได้ แต่แม่…มาจากโลกแท้จริงดาราสัจธรรม…”

เสียงหลายประโยคข้างหลังไม่ได้ดังก้องในมิติแห่งนี้ แต่ดังในวิญญาณซูหมิง เสียงไม่ได้มาจากตอนนี้ แต่มาจากภาพที่ซูหมิงลืมไปแล้วในอดีต!

ตอนนี้ความคิดเขาฉีกขาด จิตใจเกิดเสียงดังสนั่น เขานึกภาพจำต่างๆ ออกทั้งหมด ความทรงจำนั้น ตอนนั้น ตอนตนอยู่กลางความมืด เขาหนาวมาก ชีวิตที่บอบบางไม่อาจทนความหนาวไหว แต่ทุกครั้งที่เขากำลังจะละทิ้งชีวิตไป กลับมีเสียงนี้เอ่ยให้กำลังใจไม่หยุด เอ่ยให้เขาฟังเรื่อยๆ

ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว เขาในตอนนั้นยังเป็นทารกในครรภ์มารดา หลังจาก เผ่ายมโลกถูกทำลายล้าง ตัวเขาก็ถูกสาปจนเกือบสิ้นชีพ

ซูหมิงเหมือนเห็นภาพรางๆ ในภาพเป็นสตรีที่นอนอยู่ในโลงกำลังลูบท้องนูนของตน ใบหน้าเผยรอยยิ้มเมตตา มีน้ำตาที่เขามองไม่เห็นรินไหล พลางกล่างเสียงเบากับทารกในครรภ์

ด้านข้างยังมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่เงียบๆ เขามองภาพนี้ มือกำหมัด ความบ้าคลั่งและเศร้าสลดภายในใจคือควันที่คนอื่นมองไม่เห็น

ภาพเปลี่ยนไป ตอนที่ภาพปรากฏในความคิดซูหมิงอีกครั้ง ฟ้ากระจ่างดาวกลายเป็นโลกแท้จริงดาราสัจธรรม ชายวัยกลางคนผู้นั้นกอดภรรยาเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ในเสียงแฝงไว้ด้วยความผิดหวังต่อชีวิต มีความเจ็บปวดถึงขีดสุดจากจิตวิญญาณ และยังมี….น้ำตาสีโลหิต

“สี่มหาโลกแท้จริง พวกเจ้าทำลายล้างเผ่าข้า แม้แต่ทารกน้อยยังสาปไม่ยอมปล่อยไป ตอนนี้ยังมาชิงชีวิตภรรยาข้าอีก ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ข้าซูเซวียนอีมีชีวิตอยู่….จะมีประโยชน์อะไร!

ข้าเสียครอบครัว เสียคนรัก เสียบุตรในสายเลือด…แต่ตอนนี้ข้ายังมีชีวิต ข้าอยู่เพียงเพื่อสิ่งเดียว นั่นคือให้มหาโลกสามรกร้างพังพินาศลงนับจากนี้ไป!

ข้าจะไม่ใช่แค่ทำให้โลกแท้จริงดาราสัจธรรมต้องกลายเป็นของเผ่ายมโลกนับจากนี้ แต่ข้าจะให้มหาโลกสามรกร้าง…เป็นของเผ่ายมโลกเช่นกัน!

หากบุตรข้าไม่ตาย จากนี้ไปเขาจะไม่มีนามว่าซูอวิ๋นอีก แต่เขาจะมีนามว่าซูหมิง หมิงคือแกะสลัก ข้าจะให้เขาสลักอักษรยมโลกที่ทำให้คนทั้งหลายต้องตัวสั่นใน มหาโลกสามรกร้าง!”

ซูหมิงเงยหน้าขึ้น ความคิดฉีกขาดท่ามกลางเสียงครึกโครม ภาพความทรงจำต่างๆ ลอยขึ้น เขานึกออกทุกอย่างแล้ว!

ขณะซูหมิงน้ำตาไหล เขาเดินมาอยู่ข้างโลงศพนั้นบนแท่นบวงสรวง ยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ สายตามองใบหน้ามารดาในโลงศพ เขาตัวสั่นก่อนคุกเข่าลง…

ใบหน้านั้นทำให้เขาทั้งแปลกตาและคุ้นเคย เขาแยกไม่ออกว่าตอนนี้ตนรู้สึกอย่างไร เพียงแค่อยากมองนางเงียบๆ เหมือนนางเมื่อปีนั้นที่น้ำตาไหลพลางกล่าวให้กำลังใจอย่างอบอุ่น เหมือนนางในตอนนั้นที่ถึงจะหลับตาลงก็ยังต้องการปกป้องเขา

นี่คือมารดา นี่คือท่านแม่

“ท่านแม่….” ซูหมิงพูดพึมพำ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!