Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1036

ตอนที่ 1036 ข้าจะกลับบ้าน

พายุคลั่งแผ่ขยายมาจากในกระจกผลึกสีฟ้าจนมันรับไม่ไหวแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นเศษกระจายไปรอบๆ

เพราะกระจกแตกออก ทั้งทะเลลำดับห้าจึงเหมือนไม่มีอะไรมากดทับอีก ดังนั้นทะเลจึงคลุ้มคลั่งขึ้นมา ยามนี้ถูกแรงปะทะบีบให้กระจายออกพร้อมกับเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

ท่ามกลางเสียงโครมคราม ลูกคลื่นทั้งทะเลลำดับห้าไหลเชี่ยว หมอกทะเลจำนวนมากลอยขึ้นลง ในเวลาเดียวกันพอสัมผัสกับแรงปะทะที่กระจายมาก็จะแตกออกเป็นชั้นๆ เหมือนกับระเหยทันที

หากมองจกบนทะเลลำดับห้าลงมา จะเห็นชัดว่ากลางทะเลลำดับห้าไหลเชี่ยว มีวงแสงวงหนึ่งเกิดขึ้นจากแรงปะทะและกำลังกระจายออกเป็นวงกว้าง เหมือนกับเกิดการพังททลายสะเทือนฟ้าดิน

จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง ทั้งทะเลลำดับห้าระเหยไปไม่หยุดกลางแรงปะทะ เสียงครึกโครมดังก้องในพื้นที่ทะเลดาราต้นกำเนิดจิต น้ำทะเลมหาศาลไม่มีสิ้นสุด…..เกิดเค้าลางจะหายไป

สิ่งที่หายไปพร้อมกันยังมีคนสวมหน้ากากสุขโกรธเศร้าแค้นสี่คนกลางเศษกระจกหมุนตลบ พวกเขาสี่คนถอยหลังไป หน้ากากบนใบหน้ายังเปล่งแสงหม่นและปกคลุมร่างกาย ทำให้ร่างเงาพวกเขาหายวับไป

บางทีการจากไปแบบนี้อาจไม่ใช่ความตั้งใจของพวกเขา แต่เพราะแสงจากหน้ากากวนรอบ รวมถึงเสียงดังสนั่นของทะเลลำดับห้ากลับก่อให้เกิดพลังที่พวกเขาไม่อาจปฏิเสธมารบกวนการดำเนินของสถานการณ์ทุกอย่าง

เสียงโครมดังติดต่อกัน ทะเลลำดับห้าไหลเชี่ยวพร้อมเกิดเสียงดัง มันระเหยไป ทีละน้อย ค่อยๆ หายไปจากใจกลางชั้นในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตไปชั่วนิรันดร์

ทั้งฟ้ากระจ่างดาว ตรงจุดที่เดิมทีมีทะเลลำดับห้า ยามนี้ถูกหมอกหนาโอบล้อม จากนี้ไปทะเลลำดับห้าจะกลายเป็นโลกที่เต็มไปด้วยหมอกหนา

หลายวันต่อมา ตอนที่เสียงโครมครามของที่นี่ค่อยๆ เบาลง มีร่างเงาเดินจากไกลๆ เข้ามาใกล้อย่างเนิบช้า ร่างเงาเดินมาทีละก้าว เมื่อเดินออกมาจากหมอก ก็เห็นเป็นซูหมิงในร่างสีเทา มีแสงสว่างสีเทาเปล่งวาบ

ข้างกายซูหมิงยังมีกระเรียนขนร่วงที่มีใบหน้าสถุนถ่อย ดูไม่เข้ากับซูหมิงสีเทายิ่งนัก ก่อนหน้านี้ซูหมิงไม่เห็นกระเรียนขนร่วงในโลกแท้จริงที่ห้าปลอม แต่พอออกมาแล้วมันก็ปรากฏตัวขึ้นเอง

เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างเกี่ยวข้องกับโลกแท้จริงที่ห้าปลอม

ตอนนี้มันตามอยู่ข้างหลังซูหมิงด้วยท่าทีสูงส่งเหมือนกิ้งก่าได้ทอง

ซูหมิงมีสีหน้ามืดทะมึน ตอนที่เดินออกมาจากหมอก เขาหันไปมองข้างหลังแวบหนึ่ง ทะเลลำดับห้าในอดีตตอนนี้เปลี่ยนไปอีกโฉมหนึ่ง

‘ผู้สวมหน้ากากสุขโกรธเศร้าแค้นสี่คน ในนั้นจะต้องมีเทียนเสียจื่ออย่างแน่นอน และอีกคนคือเลี่ยซานซิว ไม่รู้ว่าในสี่คนนี้ พวกเขาจะเป็นสองคนไหน…..แล้วอีกสองคนที่เหลือเป็นใคร…..

ตอนนี้ทะเลลำดับห้าหายไปแล้ว พวกเขาสี่คนก็หายไปด้วย หาร่องรอยไม่พบ แต่ไม่ว่าอย่างไร ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับดวงจิตโบราณแห่งแดนมรณะหยิน

หาดวงจิตโบราณพบก็จะหาพวกเขาพบ’ นัยน์ตาซูหมิงฉายประกายเย็นชาวูบไหว ขณะก้มหน้าลงเงียบ เขานึกไปถึงการต่อสู้กับดวงจิตโบราณในโลกแท้จริงที่ห้าปลอม

การต่อสู้ครั้งนี้ดูเหมือนง่าย แต่ความจริงภายในมีอะไรแฝงอยู่ นั่นคือการตกตะกอนด้านเวลา และยังมีการต่อสู้ไร้รูประหว่างซูเซวียนอีกับดวงจิตโบราณ

‘การคาดเดาของข้าก่อนหน้านี้ถูกจริงๆ ที่เต้าคงมาทะเลดาราต้นกำเนิดจิตนั่นเป็นเพราะ…..ซูเซวียนอีเป็นคนชักนำเพื่อส่งร่างแยกนี้มาให้ข้า เป้าหมายคือให้ข้ายึดร่าง

ยึดร่างเต้าคงแล้วก็จะมีดวงชะตาของโลกแท้จริงดาราสัจธรรม ทว่าทุกอย่างเป็นอุบายที่ใช้ลวงดวงจิตโบราณแดนมรณะหยิน การโจมตีจริงๆ คือ…..เศษหินสีดำที่ เสี่ยวหงมอบให้ข้าใต้ภูเขาทมิฬ หรือก็คือเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิต!

ทุกอย่างเป็นการเตรียมการของซูเซวียนอี’ ซูหมิงมีสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย เขานึกไปถึงเสียงคำรามด้วยความไม่ยอมก่อนที่ดวงจิตโบราณจะหายไปในช่วงสุดท้าย

เห็นได้ว่าสำหรับดวงจิตโบราณแล้ว ทุกเรื่องของแดนมรณะหยิน หากเขาอยากรู้ก็จะได้รู้ แต่เสี่ยวหงที่มอบเศษหินสีดำให้ในตอนนั้น ไม่รู้ว่าซูเซวียนอีใช้กลอุบายอะไรถึงปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ได้ หรือบางทีอาจให้ดวงจิตโบราณเข้าใจผิดจนเมินเฉยไปก็ได้

แต่ช่วงสุดท้าย ดวงจิตโบราณนั้นเข้าใจทุกอย่าง ถึงได้พูดประโยคนั้นออกมา

พอนึกย้อนดูทุกอย่าง ซูหมิงก็เกิดอารมณ์ซับซ้อนต่อซูเซวียนอี ภายในอารมณ์มีความโกรธและก็มีถอนหายใจ

แม้จะไม่เคยเจอบิดาท่านนี้มาก่อน แต่การกระทำแบบลับๆ ของอีกฝ่ายกลับ แฝงไว้ด้วยความรักเหลือล้น ไม่ว่าจะเป็นมอบเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิตหรือส่งเต้าคงมาให้ยึดร่าง กระทั่งในนั้นจะต้องมีสิ่งที่ซูหมิงไม่รู้อีกแน่นอน จากเรื่องเหล่านี้ มันทำให้เขาได้สัมผัสถึงความรักของบิดา

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดท่านต้องให้ข้าอยู่บนแผ่นดินหมานคนเดียว เหตุใดต้องให้กายเนื้อข้าแยกกับวิญญาณ เหตุใดถึงให้มารดาข้า…..นอนอยู่ในเตาหลอมลำดับห้าเพียงคนเดียว

ท่าน…..อยู่ที่ใดกันแน่ ท่าน…..เป็นใครกันแน่?” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา เขารู้ว่าเมื่อตนกลับโลกแท้จริงดาราสัจธรรม ทุกอย่างจะเผยมาอยู่ตรงหน้าทั้งหมด

เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง นัยน์ตาขยับประกายวาว

“ในเมื่อหาทางเข้าจริงของโลกแท้จริงที่ห้าไม่พบ เช่นนั้น……ก็ถึงเวลาออกจากแดน รกร้างต้นกำเนิดจิต กลับ…..โลกดาราสัจธรรม!” ซูหมิงหันหน้าไปมองฟ้ากระจ่างดาวไกลๆ นัยน์ตาฉายแววเด็ดขาดและคมกริบ

เขาจะกลับโลกแท้จริงดาราสัจธรรมเพื่อไปรวมกับกายเนื้อตัวเอง ไปหาคำตอบเบื้องหลังทุกอย่าง ไปหาว่า….ตอนนี้ซูเซวียนอีเป็นใคร!

“ถูก กลับโลกแท้จริงดาราสัจธรรม ย่ากระเรียนมันเถอะ ข้าก็จะกลับด้วย เพราะข้าได้ยินเสียงหินผลึกทั้งโลกดาราสัจธรรมกำลังร้องเรียกท่านกระเรียนผู้ยิ่งใหญ่ พวกมันกำลังรอกระเรียนขนร่วงผู้ยิ่งใหญ่และสูงส่งไปเอ็นดูพวกมันอยู่ เร็วๆ พวกเรารีบกลับกันเถอะ!” กระเรียนขนร่วงมีสีหน้าตื่นเต้น มันร้องเสียงแหลมด้วยความ ฮึกเหิม จากสีหน้ามัวเมาดูก็รู้ว่ากำลังเพ้อฝันถึงสิ่งงดงาม

“ดาราสัจธรรม…..” ซูหมิงขยับวูบไหวไปข้างหน้า พลันเกิดเสียงทะลวงมวลอากาศ ร่างเขาห้อเหยียดตรงไป

เขาที่มีเตาหลอมลำดับห้าและยังเป็นผู้สืบทอดเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิตในรุ่นนี้ถือว่าเป็นคนที่แกร่งที่สุดในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นกุมแล้วอย่างไร เขาไม่ต้องใช้เตาหลอมลำดับห้าก็สู้ได้ด้วยตัวคนเดียว!

ต่อให้เจอกับขั้นชะตา ซูหมิงก็ยังมีวิชาตัดชะตา มีเตาหลอมลำดับห้าก็สู้ได้เหมือนกัน

แต่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวคือเขาไม่เอาเตาหลอมลำดับห้าออกจากที่นี่ เพราะอยู่ที่นี่มันจะมีประโยชน์สูงสุด

“ออกจากที่นี่ กลับโลกแท้จริงดาราสัจธรรม ข้าจะ…..กลับบ้าน!” ซูหมิงเร่งความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ห้อเหยียดเป็นสายรุ้งกลางฟ้ากระจ่างดาว ระหว่างนั้นเส้นผมเปลี่ยนสีทีละน้อย ไม่ใช่สีแดง ไม่ใช่สีทอง แต่เป็นในสภาพปกติ ดวงตาฉายแววหวนคะนึงคิด

“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง….แล้วก็หู่จื่อ….” ซูหมิงเร่งความเร็วขึ้นอีก ขยับวูบวาบกลางฟ้า เคลื่อนย้ายข้ามทะเลดาราไป

“แล้วก็อวี่เซวียนด้วย!” กระเรียนขนร่วงข้างๆ แย้งขึ้นทันที มันเป็นพี่ใหญ่ของมังกรยมโลก จึงคิดว่าตนควรจะช่วยมังกรยมโลกพูดในตอนนี้ถึงจะถูก

“อวี่เซวียน…..” นัยน์ตาซูหมิงหวนคิด ในความทรงจำนั้นยังคงมีร่างเงาสตรียิ้ม ตาหยีมองตนพลางกินเมล็ดแตงอยู่เสมอ

หลายวันต่อมา ระหว่างชั้นในและนอกทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ซูหมิงมาปรากฏตัวอยู่นอกดาวเผาไหม้ดวงหนึ่ง ดาวดวงนี้มีไฟเผาไหม้อย่างรุนแรง ที่นี่…..เป็นดาวของบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง เป็นที่ถิ่นของเผ่าหุ่นเชิดเพลิง

เมื่อเขาปรากฏตัวแล้วก็มองดาวดวงนี้ ผ่านไปพักหนึ่งจึงกล่าวขึ้น คำพูดกลายเป็นเสียงดังเปรี้ยงปร้างดุจดั่งฟ้าผ่า ยามที่ก้องกังวานไปรอบๆ ก็เข้าไปในดาวหุ่นเชิดเพลิง

“บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง ยังจำสหายเตาหลอมลำดับห้าได้หรือไม่”

“หุ่นเชิดเพลิง เจ้ายังจำท่านกระเรียนผู้นี้ได้หรือไม่!” กระเรียนขนร่วงข้างๆ ก็ตะโกนเสียงดังเช่นกัน

มันจงใจยืนอยู่ตรงหน้าซูหมิง ท่าทางแบบนี้ทำให้มันรู้สึกว่าตนต่างหากที่เป็นที่จับตามองตรงนี้ แต่ซูหมิงข้างหลังเป็นองครักษ์ตนเท่านั้น

เสียงหนึ่งคนหนึ่งกระเรียนเข้าไปในดาวหุ่นเชิดเพลิง เข้าถึงหูชาวเผ่าหุ่นเชิดเพลิงทุกคน พลันกลายเสียงดังฟ้าผ่า ก่อขึ้นเป็นแรงกดดัน ขณะที่เสียงดังเข้ามายังทำให้ดาวดวงนี้สั่นไหว หุ่นเชิดเพลิงทั้งหมดในนั้นต่างตัวสั่น ภายใต้แรงกดดัน พวกมันไม่กล้าคิดต่อต้านแม้แต่น้อย แต่เกิดความรู้สึกฟ้าดินพังพินาศ ทุกสรรพสิ่งไม่คงอยู่ พวกมันต่างร้องเสียงแหลมด้วยอาการตัวสั่น แต่ทุกตนกลับหมอบบนพื้น ไม่กล้ายืนขึ้นเลย

ตรงส่วนลึกของดาวหุ่นเชิดเพลิง ภายในหินหนืดในถ้ำ มีรูปปั้นหนึ่ง ตอนนี้รูปปั้นสั่นไหว ด้านบนเกิดรอยแตกจำนวนมาก เผยเป็นร่างบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง เดิมทีเขาหลับตาอยู่ แต่ยามนี้พลันลืมตาขึ้นมองไปยังฟ้าพลางเอ่ยด้วยเสียงอันธพาล

“สหายท่านใด….หืม?” เขายังพูดไม่จบก็ตัวสั่นไปทั่วร่าง สีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาพลางพุ่งขึ้นไปอย่างไม่ลังเล ตอนที่เกิดเสียงดังขึ้นและดาวหุ่นเชิดเพลิงสั่นสะเทือน บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงกลายเป็นสายรุ้งยาวขึ้นจากพื้นดิน พริบตาเดียวก็พุ่งออกจากดาวมายืนอยู่ในฟ้ากระจ่างดาว สายตาเพ่งมองซูหมิง

“จะ…เจ้า…..” บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงมองซูหมิง ความตื่นเต้นทางสีหน้ากลายเป็นความตกใจระคนสุข เขารู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องกลับมาแน่ๆ

“ข้ากลับมาแล้ว” ซูหมิงมองบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงด้วยรอยยิ้ม เขากับหุ่นเชิดเพลิงคนนี้เรียกได้ว่าผ่านเรื่องราวกันมาไม่น้อยในเตาหลอมลำดับห้า จากที่สองคนเริ่มสู้กันจนหุ่นเชิดเพลิงยอมศิโรราบ จนกระทั่งได้รู้จักกันมากขึ้น จึงเกิดเป็นความรู้สึกเหมือนสหายเล็กน้อย

จนกระทั่งท้ายสุดตรงชายขอบทะเลลำดับห้า หลังจากที่จื่อหลงกับหลงไห่พากันจากไป แต่บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงกลับกัดฟันอยู่ ตอนนั้นเองในใจซูหมิงไม่มองอีกฝ่ายเป็นศัตรูแล้ว แต่เป็น….สหาย

“เรื่องทะเลลำดับห้า ขอบคุณมาก” ซูหมิงมองบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงแล้วประสานมือคารวะ

การคารวะครั้งนี้ทำให้บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงตึงเครียดขึ้นมา เขาถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว สายตามองซูหมิงด้วยความลังเลใจ อีกฝ่ายสร้างภาพจำในความคิดเขาเด่นชัดมากเกินไป เขาไม่ชินกับคำพูดสุภาพแบบนี้ยิ่งนัก ทั้งยังระแวง คิดเพ้อไปเรื่อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!