ตอนที่ 1038 ขอต้อนรับนายท่าน
แดนประหลาดวงแหวนบูรพาเป็นแดนที่มีรอยแยกนับไม่ถ้วนกลางฟ้ากระจ่างดาว ถึงจะผ่านไปหลายร้อยปี ทว่าความลับของที่นี่กับตำนานต่างๆ ก็ยังอยู่ในใจผู้ฝึกฌานที่นี่ไม่เลือนหาย
หากเข้าไป มีโอกาสสูงมากที่จะไม่ได้ออกมาอีก ม่านความลับของมันดุงดั่งความว่างเปล่าสำหรับซูหมิง แต่สำหรับผู้ฝึกฌานจำนวนมาก แรงกดดันจากความลับมากพอจะทำให้หายใจติดขัดได้
ผ่านมาหลายร้อยปี ตอนที่ซูหมิงกลับมาถึงแดนประหลาดวงแหวนบูรพาอีกครั้ง เขามองรอยแยกฟ้ากระจ่างดาวของที่นี่เงียบๆ ตรงหน้าเหมือนเห็นภาพต่างตอนที่ตนถูกขุมอำนาจผู้ตรวจการณ์สี่มหาโลกแท้จริงบีบให้เข้าแดนประหลาดเมื่อหลายร้อย ปีก่อน และยังมีเหตุการณ์ตอนที่เขาออกมาแล้วไปบุกขุมอำนาจผู้ตรวจการณ์ สี่มหาโลกแท้จริง ทว่ากลับถูกยอดฝีมือขั้นกุมคนหนึ่งล่าสังหาร
ตอนนี้…หากยอดฝีมือขั้นกุมคนนั้นยังกล้าลงมือ ซูหมิงก็จะตัดฝ่ามืออีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล
ขณะเงียบ ซูหมิงกล่าวขึ้นเรียบๆ
“ผู้อาวุโสฉางรออยู่ที่นี่ก่อนสักครู่ ผู้เยาว์มีเรื่องต้องไปจัดการที่นี่” จูโหย่วไฉไม่ว่าอะไร แต่หลับตานั่งฌานกลางฟ้ากระจ่างดาว
ซูหมิงหันไปมองบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง ชายชราผอมแห้งมีท่าทีรับคำสั่งคำพูด ซูหมิงทันที เขาเผยรอยยิ้มประจบพร้อมพยักหน้าเร็วๆ
เห็นบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงมีท่าทีแบบนี้ ซูหมิงยังไม่ทันกล่าวอะไร กระเรียนขนร่วงที่หายสับสนเหมือนในใจไร้ความเศร้ามาก่อนแล้วพลันถลึงตามอง มันจ้องบรรพบุรุษ หุ่นเชิดเพลิงตาเขม็ง รู้สึกถึงอำนาจคุกคามที่เด่นชัดยิ่งพุ่งไปยังสมองมัน
อำนาจคุกคามแบบนี้มาจากสีหน้าประจบของบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง สีหน้าแบบนี้ทำให้มันรู้สึกไม่สบายตัวนัก มันจึงกางปีนขนร่วงทันที เผยท่าทีสูงส่ง สายตาจ้องบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงอย่างมีความหมายลึกซึ้งแวบหนึ่ง
จากนั้นมันก็โค้งตัวลงทันที สายตามองซูหมิงด้วยความประจบเช่นเดียวกัน แล้วรีบเอ่ยขึ้น
“พี่ใหญ่ ให้ขนร่วงน้อยเข้าไปดูก่อนดีหรือไม่ หากมีอันตราย ข้าย่อมแก้ไขให้ด้วยความสามารถของข้า ไม่เหมือนเจ้าคนที่มีเปลวเพลิงท่วมตัว ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่ต้องแบกภาระเรื่องอันตราย” คำพูดเอาใจใส่ของกระเรียนขนร่วงแบบนี้พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก ซูหมิงจึงชำเลืองตามองมันแล้วยิ้มเล็กน้อย
บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงตะลึงงันก่อน พอพิจารณามองกระเรียนขนร่วงอย่าง ถี่ถ้วนแล้ว เขาก็มีสีหน้าเหมือนต้องแบกภาระอันตรายให้ซูหมิงด้วยเช่นกัน ถึงเขาจะเป็นยอดฝีมือขั้นกุม ทว่าต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ขั้นพลังสูงกว่านี้อีกก็ยากจะเปลี่ยนสันดานเดิม อย่างเช่นบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง ตอนนั้นที่ยังไม่เป็นบรรพบุรุษ ถึงเขาจะมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา แต่มีขั้นพลังระดับนี้ได้ ได้รับมรดกบรรพบุรุษรุ่นแรกของ เผ่าหุ่นเชิดเพลิงก่อนถึงบรรลุถึงขั้นกุม และยังต้องฝ่าฟันในเผ่าออกมา สิ่งเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับความชำนาญของเขารวมถึงมรดกจากบรรพบุรษ
เพียงแต่ไม่ได้ใช้สัญชาตญาณนี้มานานเกินไป ตอนใช้จึงติดขัดเล็กน้อย ไม่ลื่นไหลดั่งตอนนั้น
ซูหมิงไม่สนใจการประชันกันอย่างลับๆ ของกระเรียนขนร่วงและบรรพบุรุษ หุ่นเชิดเพลิง แต่ขยับตัวห้อเหยียดไปยังรอยแยกแดนประหลาดวงแหวนบูรพา ร่างเงาหายเข้าไปในรอยแยกในพริบตา
กระเรียนขนร่วงดีแต่พูด เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ยอมเข้าไปแดนประหลาดวงแหวนบูรพาอีก ภาพยามที่หมดสติในตอนนั้นสร้างเงามืดในใจให้มัน ตอนนี้เห็นซูหมิงเข้าไปคนเดียวมันจึงถอนหายใจโล่งอก แต่สีหน้ากลับร้อนรน ซ้ำยังหันไปถลึงตามองบรรพบุรุษ หุ่นเชิดเพลิงอย่างเหี้ยมโหด
บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงสีหน้าปกติ เขายิ้มตาหยีมองกระเรียนขนร่วง ใบหน้าดูประจบสอพลอ ทว่าในใจกลับยิ้มเยาะ คิดว่าท่าทางแบบนี้ของตนทำให้ชาวเผ่าประมาทมาไม่รู้เท่าไรแล้วในอดีต ถึงตนจะหลอกซูหมิงคนเจ้าแผนการคนนั้นไม่ได้ แต่เจ้านกน้อยตัวนี้จะต้องถูกหลอกจนหัวหมุนแน่นอน
เห็นบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงมีท่าทีแบบนี้ กระเรียนขนร่วงใจเต้นตึกๆ เกิดความรู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตนดูถูกอีกฝ่ายขึ้น ดังนั้นยามที่ใจเต้นดัง มันหน้าเปลี่ยนสี จากมองด้วยความโกรธเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม ก่อนเดินเข้าไปกอดบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงร่างผอม หัวเราะเสียงดังด้วยท่าทีเหมือนกับว่าสองฝ่ายสนิทสนมกันมาก
“เจ้าเพลิงน้อย ท่านกระเรียนเห็นเจ้าในแวบแรกก็รู้สึกว่าเจ้าคือคนที่ควรผูกมิตรด้วยอย่างยิ่ง”
“พูดดีๆ เพียงแต่สหายกระเรียนดูสง่าถึงเพียงนี้ ตาแก่อย่างข้ามิอาจเอื้อม”
“หืม? เจ้าดูถูกท่านกระเรียนคนนี้รึ?”
หนึ่งคนหนึ่งกระเรียนต่างมีความคิดในใจ คำพูดประชันกันแบบลับๆ
ในแดนประหลาดวงแหวนบูรพาตอนนี้เงียบสงบ แผ่นศิลาแสนอัน มีไม่น้อยสูงเกินแสนจั้งไปแล้ว ตอนนี้ตั้งตระหง่านบนแผ่นดิน
ในนั้นมีแผ่นศิลาหมื่นอันที่สีดูเหมือนปกติ แต่หากมองดีๆ จะเห็นว่ามัน….เป็นสีม่วง!
ใต้แผ่นศิลาทั้งแสนมีคนนั่งฌานอยู่ไม่น้อย คนเหล่านี้เงยหน้าขึ้นเป็นบางครั้ง ตอนที่มองแผ่นศิลาสีม่วงหมื่นอันจะมีสีหน้าเฝ้าปรารถนาและอิจฉา
ตอนนี้ใต้แผ่นศิลาสีม่วงหมื่นอันมีคนนั่งฌานนิ่งอยู่หลายสิบคน พวกเขามี สีหน้าปกติ ทว่าในความสงบนิ่งกลับแฝงไว้ด้วยความยึดมั่นและสูงส่ง
เพราะพวกเขามีแผ่นศิลาสีม่วง เพราะว่าพวกเขาเป็นกลุ่มเดียวในแสนแผ่นศิลาที่ไม่ถูกดวงจิตของกฎที่นี่ลบ แผ่นศิลาสีม่วงมีแต่เพิ่มขึ้น ไม่มีลดลง
แต่ก็ไม่แน่เสมอไป ถึงจะไม่เกิดการตายเพื่อมาแทนที่เพราะคนนอกเข้ามา ทว่า…บนแผ่นศิลาสีม่วงมีกฎหนึ่งเพิ่มเข้ามา ทุกคนที่นี่ต่างรู้กฎนี้ดี
ทุกปีจะมีคนตายสิบคน สิบคนนี้จะมีขั้นพลังอ่อนแอที่สุด
ไม่ว่าเจ้าจะมีศิลาสูงเพียงใด หากในร้อยปีขั้นพลังยังอยู่หางแถว เช่นนั้นจุดจบคือถูกลบหายไป ดังนั้นแล้วผู้มีแผ่นศิลาสีม่วงจึงมีความพิเศษอยู่เล็กน้อย ในเวลาเดียวกันผู้ฝึกฌานศิลาสีม่วงก็ได้เข้าสู่การฝึกฝนเพื่อชีวิตด้วยเช่นกัน
“แผ่นศิลาสีม่วง…น่าเสียดายตอนที่ข้าเข้ามา แผ่นศิลาสีม่วงไม่ได้เลือกข้า มิเช่นนั้นคงได้เป็นเครื่องบรรณาการของมัน และก็คง…ไม่ต้องหวาดผวาทุกวันแบบนี้ แค่เพียงฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งเพื่อหนีเคราะห์ภัยถูกสังหารเท่านั้น”
“นี่คือโชคชะตา ทว่าเหตุใดแผ่นศิลาสีม่วงถึงพิเศษ อีกทั้งข้าว่าจำนวนคนของศิลาสีม่วงมีเพียงหลายพันคนเอง”
“เจ้ามาที่นี่ไม่นาน เรื่องนี้เกี่ยวกับตำนานหนึ่งในตอนนั้นอย่างยิ่ง” แดนแผ่นศิลาแสนอันที่เงียบสงบแห่งนี้ บางครั้งจะมีสายตามองมายังแผ่นศิลาสีม่วงหมื่นอันพร้อมกับมีเสียงเบาของคนหลายคนดังก้อง
ช่วงที่พวกเขากำลังสนทนากัน ทันใดนั้น แผ่นศิลายักษ์สูงราวแสนกว่าจั้งซึ่งสูงที่สุดกลางศิลาสีม่วงขยับแสงแวววับ จากนั้นก็มีชายชราคนหนึ่งเดินออกมา
ชายชรามีใบหน้าแก่เฒ่า ชั่วขณะที่เดินออกมาก็ดึงดูดสายตาของทุกคนที่นี่ทันที โดยเฉพาะหลายสิบคนนอกแผ่นศิลาสีม่วงตอนนี้ พวกเขาต่างคารวะชายชราลงลึกๆ
“คารวะท่านบรรพบุรุษ”
ชายชราพยักหน้า แต่ไม่ได้กล่าวอะไร เพียงนั่งฌานลงหลับตา
“เป็นบรรพบุรุษตระกูลจ้าว!” เสียงสนทนาเบาๆ จากคนศิลาหินอื่นดังขึ้นอีกครั้ง
“ไม่ผิด ศิลาหินของเขาถึงระดับที่ออกไปได้แล้ว แต่เขาไม่ออกไป เอาแต่ฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง…”
“ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าที่นี่เคยมีตำนานหนึ่ง…เกี่ยวกับคนชื่อโม่ซู…”
“เงียบ! อย่าพูดชื่อนี้ที่นี่จะดีที่สุด เขาไม่ใช่คนที่ระดับอย่างพวกเราจะเอ่ยถึงได้”
“อ้อ? เช่นนั้นเหตุใดพี่ใหญ่โจวถึงพูดได้?”
“พี่ใหญ่โจว? คนที่เจ้าพูดถึงคงจะเป็นโจวคัง เขา…ไม่เหมือนกับพวกเรา”
ช่วงที่คนเสียงจากศิลาหินอื่นสนทนากันเสียงดังกังวาน ทันใดนั้นทั้งแดนศิลา หินแสนอันพลันเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มีเสียงครึกโครมดังมาจากในมวลอากาศรอบทิศ
เสียงอึกทึกดังกังวานไปรอบๆ ทำให้แผ่นดินใหญ่สั่นไหว ทำให้มวลอากาศม้วนตลบไม่หยุด เกิดเป็นการเปลี่ยนแปลงกวาดล้างใส่ที่นี่
เสียงร้องด้วยความตกใจดังระงม แผ่นดินใหญ่ที่มีศิลาหินนับไม่ถ้วนตั้งตระหง่านเดิมทีมีผู้ฝึกฌานเล็กน้อยนั่งอยู่นอกศิลาหิน ทว่าตอนนี้เมื่อเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ศิลาหินทั้งหมดล้วนสั่นสะเทือนขึ้นมา
ขณะที่ศิลาหินเหล่านั้นสั่นสะเทือน พวกมันต่างเปล่งแสงสว่างพร่างพราวในทันที ผู้ฝึกฌานต่างถูกบีบออกมา หลังออกมาแล้วพวกเขาบางคนมีสีหน้าจริงจัง บางคนมี สีหน้าตระหนก ทุกสายตามองไปข้างบน
โครม!
เสียงดังสนั่นมาจากข้างบนประหนึ่งอานุภาพสวรรค์ ศิลาหินสีม่วงหมื่นอัน กลางศิลาหินแสนอันบนแผ่นดินเดิมทีไม่ได้เผยเป็นสีม่วงชัดเจนนัก แต่ในวินาทีนี้กลับเปล่งแสงสีม่วงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ท่ามกลางแสงสว่างจ้าแสบตา มันปกคลุมแผ่นดินในพริบตา ทำให้ศิลาหินสีม่วงหมื่นอันในแสนอันดูเด่นตาอย่างยิ่ง!
บรรพบุรุษตระกูลจ้าวใจสั่นสะท้าน ช่วงที่เขาลืมตาขึ้นมองฟ้า สีหน้าดูตื่นเต้นอย่างพบเห็นได้ยาก ผู้มีศิลาหินหินสีม่วงข้างกายล้วนตัวสั่นอย่างรุนแรง พวกเขารู้สึกถึงความคุ้นเคยอย่างยิ่ง เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะไปคารวะขึ้นอย่างเด่นชัด เมื่อแผ่นดินสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้น มันก็เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ในก้นบึ้งหัวใจ
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ในความทรงจำของคนจำนวนมากแล้วถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่มีคนกลุ่มหนึ่งที่นึกไปถึงเหตุการณ์บางอย่าง สีหน้าจึงตื่นเต้นและก็เหมือนกังวล
โจวคังนั่งอยู่ใต้ศิลาหินอย่างเงียบๆ เขาเงยหน้ามองมวลอากาศหมุนตลบข้างบน นัยน์ตาฉายแววปลงอนิจจัง เขารู้ว่า…โม่ซูกลับมาแล้ว
“จ้าวเทียนกัง ขอต้อนรับนายท่านกลับมา!” บรรพบุรุษตระกูลจ้าวยืนขึ้นประสานมือคารวะไปบนฟ้า
ช่วงที่เสียงแก่ชราดังก้อง ผู้มีศิลาหินสีม่วงต่างคุกเข่าคารวะฟ้าพร้อมกัน
“ขอต้อนรับนายท่านกลับมา!” เสียงดังกังวานไป สั่นสะเทือนเจ้าของศิลาหิน คนอื่นอีกเก้าหมื่นคน พวกเขาต่างหน้าเปลี่ยนสีไม่หยุด พร้อมกันนั้นชั้นหมอกพลันม้วนออกเป็นสองฝั่ง เผยเป็นรอยแยกยักษ์สายหนึ่ง รวมถึงร่างเงาสีหน้าเฉยชาก้าวเดินมาจากไกลสู่ใกล้จึงเห็นชัดเจนขึ้น
โม่ซู!