Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1060

ตอนที่ 1060 โลหิตหนึ่งหยด

ผู้บัญชาการพันธมิตรเซียนหลายหมื่นคนที่นี่ ถึงจะเข้าวัยกลางคนแต่ก็มองออกว่าตอนหนุ่มหล่อเหลาคนนี้ ก็คือ…สหายในวัยเยาว์ของซูหมิง เป่ยหลิง!

ตอนอยู่ภูเขาทมิฬเขาเป็นพี่ใหญ่ที่ซูหมิงเคารพ ต่อมาก็เจอกันบนแดนหมาน และได้เข้าใจว่าทุกอย่างเป็นของปลอม ตอนนี้….เขาก็ยืนอยู่ในฟ้ากระจ่างดาวห่างจาก ซูหมิงไปไกล

ซูหมิงมองเขา เป่ยหลิงก็มองซูหมิงเช่นกัน สองคนสบสายตาผ่านฟ้า ผ่านผู้ฝึกฌานหลายหมื่นคน ตอนที่สบตากัน ในใจเป่ยหลิงเกิดเสียงดังสนั่น ใบหน้าพลันขาวซีด ร่างโซเซถอยหลังไปหลายก้าว แล้วก็ระเบิดพลังเจ้าปกครองโลกตอนปลายออกมา พลังม้วนตลบไปรอบๆ จึงจะฝืนไม่ถอยไปเพราะสายตาซูหมิงได้

แต่ก็มีโลหิตไหลมาจากมุมปาก แม้แต่หน้าจากซีดขาวยังเปลี่ยนเป็นตะลึง เมื่อครู่นี้ที่ซูหมิงมองเขา เขาเกิดความรู้สึกเด่นชัดว่าดวงตาซูหมิงเป็นดั่งกระบี่คมผ่านอากาศ ผ่านดวงตาสองข้างของตนทะลวงเข้าสู่ร่างกาย ขณะไหลเวียนในเส้นเลือดยังฉีกทึ้งเลือดเนื้อของตน หักกระดูกทั่วร่าง ทั้งในและนอกร่างกายถูกมองเห็นอย่างชัดเจนราวกับเปลือยเปล่าภายใต้สายตาของอีกฝ่าย

กระทั่งวิญญาณยังเผยออกมาภายใต้สายตานี้ ความลับทุกอย่าง ความทรงจำทุกอย่าง ถูกมองเห็นชัดด้วยสายตาของอีกฝ่าย ทำให้เขาเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวท่ามกลางผู้คนมากมาย

โดยเฉพาะในมุมมองเป่ยหลิง สายตานี้เหมือนมีพลังประหลาดบางอย่าง คล้ายกับว่ารู้อดีตทุกอย่างของตน ซ้ำยังทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยยิ่ง และก็แปลกตาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ในมุมมองเป่ยหลิง เรื่องนี้จะต้องเป็นเพราะอีกฝ่ายที่ฝึกฝนวิชาเนตรบางอย่างแน่นอน เขาไม่รู้ว่าซูหมิงเป็นใคร ถึงอย่างไรเปลือกนอกซูหมิงก็เป็นเต้าคง ขั้นพลังก็เหนือกว่าคนในความทรงจำเขา แต่เขามองออกว่าคนที่มานี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่

พอนึกถึงนามที่ผู้ฝึกฌานเกือบหมื่นคนก่อนหน้านี้ตะโกนไป ในใจเป่ยหลิงก็ปรากฏชื่อหนึ่ง

‘เต้าคง!’

ซูหมิงมีสีหน้าเรียบนิ่ง เขามองเป่ยหลิง ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นภาพความทรงจำต่างๆ ความทรงจำสุดท้ายคือตนสังหารเป่ยหลิงที่ยอดเขาลำดับเก้า

เพียงแต่ตอนนั้นที่สังหารอีกฝ่ายเป็นร่างเงาสะท้อนบนแดนหมาน แต่คนที่ยืนอยู่ตรงนี้คือร่างจริง

ซูหมิงมองแวบเดียวก็อ่านขั้นพลังเป่ยหลิงออก เป็นเจ้าปกครองโลกตอนปลาย ห่างจากสมบูรณ์อีกเสี้ยวเดียวเท่านั้น ด้วยอายุและขั้นพลังแบบนี้ มากพอจะยืนยันฐานะโอรสสวรรค์ได้ แม้เทียบกับซูหมิงแล้วจะต่างกันราวฟ้าดิน แต่ว่าเป่ยหลิงจะไปเทียบประสบการณ์กับซูหมิงได้อย่างไร สำหรับซูหมิงแล้ว การเดินทางในแดนต้นกำเนิดจิตคือการผลัดเปลี่ยนและก้าวกระโดดของร่างกายไปจนถึงวิญญาณ

ความเป็นตายที่ประสบมาในช่วงเวลานี้ก็ห่างชั้นเกินกว่าคนทั่วไปจะรับไหว

ตอนนี้มองเป่ยหลิงอีกครั้ง ซูหมิงไม่สนใจความสับสนในอดีตแล้ว ความจริงของภูเขาทมิฬ เขาก็ไม่อยากนึกถึงมันอีก จริงก็ดี ปลอมก็ดี เขารู้ว่าตนเป็นของจริงก็พอแล้ว

แต่ว่าเมื่อซูหมิงเห็นคันศรนั้นข้างหลังเป่ยหลิง เขากลับมีสีหน้าซับซ้อน คันศรนี้อยู่ในความทรงจำเขา เป็นคันศรของบิดาเป่ยหลิงหรือผู้นำกองรักษาการณ์เผ่าเขาทมิฬ

ในความทรงจำเขา คันศรนี้ไม่ใช่ของบิดาเป่ยหลิงจริงๆ มันเป็นของภูเขาทมิฬ เป็นเครื่องยืนยันของผู้นำกองรักษาการณ์เผ่าเขาทมิฬทุกรุ่น

ถึงความทรงจำอาจจะเป็นของปลอม แต่หากซูหมิงคิดว่าเป็นจริง เช่นนั้นทุกอย่างก็จะเป็นจริงตามความทรงจำเขา

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น….ก็เอาคันศรไว้ที่นี่” ซูหมิงพูดพึมพำ ที่มีเพียงเขาที่ได้ยิน สวี่ฮุ่ยข้างกายก็ดี จูโหย่วไฉก็ดี ต่างไม่มีใครได้ยิน

ซูหมิงถอนหายใจเบาๆ เดินหน้าหนึ่งก้าวบนเรือ ตรงไปยังฟ้าข้างหน้า ทันทีที่เหยียบลงก็มาอยู่ในสนามรบ ก่อนจะเดินหน้าไปหาเป่ยหลิงแบบไม่ช้าไม่เร็วด้วย สีหน้าสงบนิ่ง สายตามองผู้ฝึกฌานหลายหมื่นคนข้างหน้าราวกับไม่มีสิ่งใด เพียงเดินผ่านไปอย่างสงบนิ่ง

ช่วงที่ซูหมิงเดินเข้ามา เป่ยหลิงหรี่ตาลงและถอยหลังไปอีกครั้ง หน้าเปลี่ยนสีติดกันไม่หยุด

“เซ่นไหว้สายฟ้าลบล้างตะวัน เจ้าสองคน…ไปหยั่งเชิงขั้นพลังเขา!” สองคนซ้ายและขวาลังเลอยู่เล็กน้อย แล้วจึงกัดฟันขานรับ กลายเป็นสายรุ้งยาวตรงไปหา ซูหมิงกลางสนามรบ

ซูหมิงมีสีหน้าราบเรียบ ขณะเดินหน้าก็มีผู้ฝึกฌานพันธมิตรเซียนพุ่งเข้ามาด้วยดวงตาแดงก่ำ มองไปแวบหนึ่ง ผู้ฝึกฌานเหล่านี้มีจำนวนแน่นขนัด ทุกคนต่างใช้วิชาอภินิหารและยังมีแสงวิบวับจากของวิเศษ ประดังประเดใส่ซูหมิงราวกับห่าฝนของ ฟ้ากระจ่างดาว

ซูหมิงยกมือขวาขึ้น เดินหน้าหนึ่งก้าว ตัวเขาเข้าไปอยู่ตรงหน้าผู้ฝึกฌานคนหนึ่ง ก่อนใช้มือขวาที่ชูขึ้นคว้าคอฝ่ายตรงข้ามเอาไว้แบบสบายๆ ระหว่างที่เอียงมือไปข้างๆ ก็เกิดเสียงกรุบดังขึ้น ผู้ฝึกฌานคนนี้หลบไม่ได้เลย ดวงตาสองข้างพลันมัวหมอง เขาถูกซูหมิงหักคอ ในเวลาเดียวกันมีเปลวเพลิงลุกลามมาจากในมือซูหมิง พริบตาเดียวก็เผาร่างผู้ฝึกฌานคนนี้จนกลายเป็นเถ้าธุลี

แม้แต่จิตแรกยังหนีไม่ได้ สิ้นชีพไปโดยพลัน

เพียงแต่ว่าการตายของผู้ฝึกฌานหนึ่งคนไม่ส่งผลใดๆ ต่อสนามรบหลายหมื่นคน มิหนำซ้ำยังมีผู้ฝึกฌานที่มากกว่าพุ่งเข้ามาหาซูหมิง

เสียงโครมดังสนั่นฟ้าดิน อภินิหารวิชาเหลือคณานับโจมตีใส่ซูหมิงพร้อมกัน แต่กลับขวางเขาไว้ไม่ได้เลย พลังเหล่านั้นระเบิดบนตัวเขา ทว่าซูหมิงกลับไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย เขาใช้เพียงพลังจากร่างกายก็เพียงพอจะกวาดล้างไปรอบๆ แล้ว

ของวิเศษจำนวนมากพุ่งตรงเข้ามา แต่ทันทีที่ปะทะกับซูหมิงกลับเกิดเสียงราวเหล็กกระทบกัน ของวิเศษต่างๆ สั่นสะท้านและม้วนกระเด็นถอยไปพร้อมกัน แสงสว่างมอดดับลงในพริบตา ประหนึ่งว่าแรงสะท้อนกลับจากร่างกายซูหมิง สร้างความหวาดหวั่นให้กับวิญญาณวัตถุ

เหตุการณ์แรกเริ่มทำให้ผู้ฝึกฌานที่เข้ามาต่างหวาดกลัว อีกทั้งยังทำให้เป่ยหลิง กลางฟ้าไกลๆ หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง

ตอนนี้เอง ซูหมิงเดินหน้าอีกหนึ่งก้าว เมื่อเหยียบลงไป ฟ้ากระจ่างดาวเกิดเสียงดังสนั่น เกิดระลอกคลื่นจำนวนมากใต้เท้า เมื่อวงระลอกคลื่นสัมผัสกับผู้ฝึกฌาน ผู้ฝึกฌานเหล่านั้นต่างตัวสั่น ร่างระเบิดเป็นชิ้นๆ

ซูหมิงยังคงรักษาจังหวะก้าวที่มั่นคง ไม่ช้าและไม่เร็ว ยังคงเดิมตลอด เดินไปทีละก้าว ส่วนด้านหลังรวมขึ้นเป็นร่องรอยโลหิตเข้มข้นทีละน้อย ผู้ฝึกฌานตรงหน้าเขาทั้งหมดต่างถอยไป ไม่มีใครกล้าขวางแม้แต่น้อย

ขั้นพลังซูหมิงเหนือเกินกว่าผู้ฝึกฌานเหล่านี้ไปมาก หากเป็นผู้แข็งแกร่งคนอื่น บางทีอาจจะยึดถือฐานะไม่สนใจจะลงมือ แต่ซูหมิงไม่มีวิธีแบบนั้น ไม่ว่าเป็นใคร ขอเพียงขวางหน้าเขา เช่นนั้นก็ต้องรับพลังทำลายล้างจากเขา

ปลาใหญ่กินปลาเล็ก เดิมทีเป็นกฎของฟ้าดิน หากผู้แข็งแกร่งเห็นผู้อ่อนแอแล้วไม่ใส่ใจจะลงมือ แต่จะลงมือกับผู้แข็งแกร่งด้วยกัน เช่นนั้นโลกนี้ก็จะดูเหมือนมีกฎ ทว่าในมุมมองของซูหมิง สิ่งนี้คือความวุ่นวาย

ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจะมีแรงขับเคลื่อนอะไรผลักดันให้ผู้อ่อนแอยอมสละทุกอย่างเพื่อเป็นผู้แข็งแกร่ง บางครั้งผู้แข็งแกร่งรังแกผู้อ่อนแอ ก็เป็นความปรารถนาจากส่วนลึกในใจพวกเขาที่ไม่ยอมพูดออกมา แต่กลับเฝ้าใฝ่หา

ซูหมิงเดินมาตลอดทาง ผู้ฝึกฌานหลายหมื่นคนจากพันธมิตรเซียนต่างหลีกทางให้พร้อมกัน สายตาที่มองซูหมิงมีความตื่นกลัว ธารโลหิตข้างหลังเป็นเครื่องยืนยัน จุดจบของทุกคนที่กล้าขวางเขา

ตอนนี้เองพลันมีสายรุ้งยาวสองสายบินออกมาจากในกลุ่มคนอย่างว่องไว ยังไม่ทันเข้าใกล้ซูหมิง ก็มีแสงทมิฬสี่สายปล่อยมาจากมือสองคนนี้ ชั่วขณะที่แสงทมิฬ สี่สายบินออกมาก็เกิดเสียงลากยาวแหลม ก่อนกลายเป็นนกทมิฬสี่ตัว แผ่แรงกดดันเทียบเท่าภัยพิบัติตะวันพุ่งเข้าไปหาซูหมิงในพริบตา

สายฟ้าลบล้างตะวัน!

นี่คือหนึ่งในอาวุธของพันธมิตรเซียน มีชื่อเสียงเทียบเท่ากับสายฟ้าลบล้างจันทรา พันธมิตรเซียนสร้างขึ้นเมื่อพันปีมานี้ เล่าลือว่าวิธีสร้างมีเพียงวิหารศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ถึงจะรู้ พลานุภาพของมันเป็นแสงสว่างจ้าเด่นตาที่สุดในสงครามหลายครั้งของพันธมิตรเซียนกับสำนักดาราสัจธรรม

มันมีนามว่าลบล้างตะวัน ถึงจะไม่มีพลังสังหารผู้ฝึกฌานภัยพิบัติตะวันได้จริงๆ แต่ก็บีบให้ถอยไปได้ กระทั่งหากมีจำนวนมากก็ใช่ว่าจะสังหารไม่ได้!

ความจริงแล้ว ในสงครามหลายครั้งของพันธมิตรเซียนกับสำนักดาราสัจธรรม มียอดฝีมือภัยพิบัติตะวันตายด้วยสายฟ้าลบล้างตะวันไปมากกว่าหลายสิบคน ทุกครั้งจะใช้สายฟ้าลบล้างตะวันหลายร้อยอัน พลังทำลายล้างหมุนวนไปโดยรอบ มากพอจะทำให้คนที่พบเห็นใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ซ้ำแล้วยังมีผลให้เสียความมุ่งมั่นใน การต่อสู้ทั้งหมดไป

ซูหมิงมองนกทมิฬจากแสงทมิฬสี่สายพุ่งตรงมาที่ตนพร้อมกับเสียงแหลมลากยาว เขาไม่หลบ แต่ปล่อยให้แสงทมิฬสี่สายเข้ามาใกล้ ภายใต้สายตาเหี้ยมโหดของ ผู้ฝึกฌานวัยกลางคนสองคน เขายกมือขวาขึ้น…คว้านกแสงทมิฬตัวหนึ่งในนั้น

โครม โครม โครม!

เสียงระเบิดดังสนั่นติดกันสามครั้ง ดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกฌานที่กำลังสู้กันอยู่โดยรอบทั้งหมด ทว่าเมื่อมองไปกลับต้องใจสั่นสะท้าน สายฟ้าลบล้างตะวันสามสายระเบิดบนตัวซูหมิง ทว่าขณะระเบิดอยู่นั้นซูหมิงกลับเป็นปกติ กระทั่งเส้นผมยังไม่ปลิวไสวแม้แต่น้อย

นกทมิฬจากสายฟ้าลบล้างตะวันตัวหนึ่งในมือเขาดิ้นรนไม่หยุด แต่กลับหนีออกจากมือไม่ได้ ซูหมิงยืนอยู่กลางฟ้า ก้มหน้ามองนกทมิฬในมือ ระหว่างที่ดวงตาขยับประกายวาว ในมือขวาเขายังมีกิ่งไม้เล็กที่คนอื่นมองไม่เห็นโผล่มา มันทะลวงเข้าไปกลางนกทมิฬแล้วเริ่มวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว

‘เชื่อมวิชาเชมัน ใช้กฎจักรวาล ใช้พลังระเบิดแก่นสำคัญโลหิตของผู้ฝึกฌานภัยพิบัติตะวัน เร่งรัดให้เกิดปฏิกิริยา ผู้ฝึกฌานภัยพิบัติตะวันหนึ่งคนสร้างสายฟ้าลบล้างตะวันแบบนี้ได้เกือบพันสาย บางที…สัตว์ร้ายระดับเทียบเท่ากับภัยพิบัติตะวันก็อาจจะทำได้

 

แต่ว่าพลังจากแก่นสำคัญโลหิตภายในดูแปลกตาเล็กน้อย’ ซูหมิงบีบมือขวา นกทมิฬพลันละลายออกเป็นชั้นๆ ภายใต้สายตาหวาดกลัวของคนรอบด้าน พวกเขาเห็น นกทมิฬในมือซูหมิงละลายไม่หยุด จากนั้นมีของเหลวสีทองหนึ่งหยดไหลมาจาก ข้างใน

กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นยืนยันได้ว่านี่คือโลหิตหนึ่งหยด

ซูหมิงมองหยดโลหิตในมือ ดวงตาแวววาว หลังวางไว้ริมปากและใช้ปลายลิ้นแตะเบาๆ แล้ว ดวงตาเขาพลันเผยประกายประหลาดใจ

‘ไม่มีกลิ่นอายพลังด้านลบแม้แต้น้อย กระทั่งใช้บำรุงวิญญาณได้ ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ใต้แสงตะวันอบอุ่น นี่คือของเปลวจากสัตว์ร้ายชนิดใด ไม่คิดเลยว่าจะมีสรรพคุณแบบนี้!’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!