Skip to content

สู่วิถีอสุรา 11

ตอนที่ 11 โทสะของซูหมิง

ซูหมิงขบคิดอยู่นาน แต่ก็ยังมองสรรพคุณของโอสถชำระล้างไม่ออก ในความทรงจำมีเพียงขั้นตอนการหลอม แต่ไม่ได้กล่าวถึงสรรพคุณเอาไว้

กระทั่งถึงเที่ยงวัน ยามแสงตะวันเริ่มร้อนแรง ซูหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจากไป

ซูหมิงห้อตะบึงปานลมกรด กลับมายังถ้ำหลอมสมุนไพรพร้อมกับเสี่ยวหง เจ้าลิงไม่ได้อยู่ด้วยนานนัก พอกลับมาถึงก็ออกไปเที่ยวเล่นต่อ

ด้านนอก ซูหมิงเอนพิงหน้าผารับลมหุบเขา ในมือถือเม็ดโอสถสีเขียว ครุ่นคิดอย่างกลัดกลุ้ม

“ใช้อย่างไรกันแน่…ภายในไม่เห็นผล ภายนอกก็ไม่ได้ผล….” เขาขมวดคิ้ว

เม็ดโอสถที่หลอมอย่างยากลำบากนี้ กลับไม่ทราบวิธีใช้ ทำให้ซูหมิงรู้สึกว่าเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาคล้ายสูญเปล่า เขาจ้องเม็ดโอสถสีเขียวพลันขบกรามแน่น

“ช่างมัน ทุกอย่างต้องลองด้วยตัวเอง! กินเสียให้ร่างกายข้าได้สัมผัสมัน!” ซูหมิงเป็นคนเด็ดเดี่ยว เมื่อตัดสินใจแล้วจะไม่ลังเลอีก นำโอสถชำระล้างใส่ปากตนเองทันที

เมื่อโอสถละลายในปากแล้ว กลิ่นสมุนไพรหอมกรุ่นแผ่ซ่าน ราวกับมีกระแสไออุ่นหลั่งทะลักเข้าสู่กาย ก่อนหายไปอย่างรวดเร็ว แทบไม่เหลือความรู้สึกอยู่อีก

ซูหมิงตกตะลึง รีบนั่งขัดสมาธิลองรวมเส้นเลือด ทว่ากลับเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังรู้สึกว่าเลือดไม่เพียงพอเช่นเคย

เขาขยี้ศีรษะตนเอง อัดแน่นไปด้วยความหงุดหงิด ครั้งนี้เขารู้สึกเสียเวลาหนึ่งเดือนไปอย่างเปล่าประโยชน์จริงๆ

“เป็นไปไม่ได้ มันจะต้องมีผลอย่างอื่น!” แม้ซูหมิงจะผิดหวัง ทว่ากลับไม่ยอมแพ้ เพียงแต่ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ทำได้เพียงถอนหายใจยาว หัวเราะแห้งๆ กับตัวเอง

ผ่านไปครู่หนึ่ง เงาแดงของเจ้าลิงน้อยพลันทะยานขึ้นมาจากเชิงเขา ไม่นานก็มาถึงตัวซูหมิง มันกระโดดไปมาตรงหน้าเขาหลายครั้ง ก่อนโยนผลไม้ป่ากองใหญ่ แล้วออกไปเที่ยวเล่นต่อ

ซูหมิงถอนหายใจเงียบๆ ยามนี้ท้องว่างเปล่า จึงหยิบผลไม้ป่าขึ้นมากินพลางขบคิด

หนึ่งลูก สองลูก สาม…

ซูหมิงเรอดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว พ่นเมล็ดผลไม้พลางลูบท้องตนเอง เขาเริ่มไตร่ตรองอีกครั้ง สายตามองผลไม้ที่เหลืออยู่ ขณะกำลังจะเก็บเข้าไปพลันชะงักไปทั้งตัว

“อิ่มแล้ว? หืม!” ซูหมิงจ้องผลไม้เหล่านั้นเขม็ง ก่อนพ่นเมล็ดออกมาอีกหลายครั้ง นับได้ทั้งหมดสิบห้าเมล็ด เหมือนจับเบาะแสอะไรบางอย่างได้ หัวใจจึงเต้นโครมคราม

“ข้าชอบกินผลไม้ป่าพวกนี้ตั้งแต่ยังเล็ก หลายปีมานี้ได้เสี่ยวหงคอยเก็บมาให้บ่อยครั้ง…แต่ทุกครั้งข้าจะไม่ชอบกินจนอิ่มมาก กินไปสิบแปดสิบเก้าลูกก็อิ่มไปครึ่งท้อง…ทว่าเมื่อครู่ข้ากินไปเพียงสิบห้าลูกก็อิ่มแล้ว กระเพาะอาหารข้าเล็กลงหรือว่า…จะเกี่ยวกับมัน!” ซูหมิงเลียริมฝีปาก จำได้ว่าก่อนหน้านี้ตนกินโอสถชำระล้างไป

“หรือว่ามันจะเป็นโอสถที่ใช้แทนอาหารได้?” นัยน์ตาซูหมิงครุ่นคิด

“หรือบางทีโอสถชำระล้างนี้อาจจะเพิ่ม…ประสิทธิภาพอาหารได้!” ซูหมิงใจเต้นระรัว สูดลมหายใจเข้าลึก สำหรับเรื่องสรรพคุณของโอสถเม็ดนี้ เขาคิดหาทุกวิถีทางแล้วแต่ก็ยังไร้ผล ตอนนี้เหมือนจับจุดอะไรบางอย่างได้ เขาไม่สนว่ามันจะถูกต้องหรือไม่ รีบมุดเข้าถ้ำเล็กแล้วตรงไปยังถ้ำหลอมสมุนไพรของตน

เขาจำได้ว่ายังเหลือน้ำลายมังกรทมิฬอยู่เล็กน้อย สิ่งนี้ล้ำค่ายิ่งนัก หากไม่ใช่ฤดูฝนย่อมไม่มีทางได้มาครอบครอง ยามนี้เหลือเพียงเล็กน้อย เขาจึงไม่อาจทำใจดื่มมันได้มาโดยตลอด

หลังรีบกลับมาถึงถ้ำภูเขาไฟ ซูหมิงหยิบขวดเล็กที่บรรจุน้ำลายมังกรหลายหยดจากตะกร้าสาน เปิดฝาออกและดื่มมันอย่างไม่ลังเล

ซูหมิงคุ้นชินกับน้ำลายมังกรทมิฬอย่างยิ่ง เมื่อมันไหลลงสู่ท้อง พลันแผ่ไอเย็นไหลเวียนทั่วตัวเขา ก่อนค่อยๆ หลอมเข้าสู่โลหิต

ทว่าในขณะนั้นเอง ไอเย็นจากน้ำลายมังกรทมิฬกลับเพิ่มขึ้นอย่างประหลาด ราวหนึ่งส่วนสิบโดยประมาณ แม้ดูไม่เยอะ ทว่าซูหมิงกลับสัมผัสได้อย่างชัดเจนยิ่ง

ไอเย็นไหลเอื่อยหลอมเข้ากับโลหิตและเริ่มเดือดพล่าน ทำให้ยามโคจรโลหิตปรากฏเส้นเลือดเส้นที่สี่ขึ้นบนตัว ขับแสงโลหิตสีแดง

ผ่านไปครู่ใหญ่ ซูหมิงลืมตาขึ้น ผ่อนลมหายใจยาว ดวงตาทั้งสองข้างฉายแววตื่นเต้น

“เป็นเช่นนี้จริงๆ! โอสถชำระล้างหากกินเดี่ยวจะไร้ผล ทว่าหากกินคู่กับสิ่งอื่นจะเพิ่มประสิทธิภาพได้ ดูเหมือนธรรมดา แต่ความจริงมันไม่ธรรมดาเลย!” ซูหมิงตื่นตะลึง เคล็ดการหลอมสมุนไพรนี้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่เขาอย่างมาก

“บนประตูเคล็ดการหลอมสมุนไพรมีอยู่สิบห้าหลุม เห็นได้ชัดว่าต้องการให้ข้าวางเม็ดโอสถเช่นนี้สิบห้าเม็ด ทว่าตอนนี้ข้ายังมีไม่พอใช้เลย….” ซูหมิงครุ่นคิดและลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจค่อยว่ากันทีหลัง

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เขาจึงรีบตรงไปยังหม้อฮวง และใช้สมุนไพรที่เหลืออยู่ทำการหลอมต่อ

นอกจากหลอมสมุนไพรแล้ว เขายังให้เสี่ยวหงช่วยออกไปหาสมุนไพรมาให้ เลือกเอาสมุนไพรที่จำได้ว่าท่านปู่หยิบไปทุกครั้งจากกองที่เขาหามาได้ จากนั้นจึงใช้วิธีการบดให้เป็นน้ำแบบชนเผ่า ก่อนจะดื่มมันเข้าไป ด้วยสรรพคุณของโอสถชำระล้าง ยามนี้ความเร็วในการฝึกฝนพลังจึงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

กาลเวลาหมุนเวียนผ่านไปอีกสองเดือน ตลอดสองเดือนนี้ซูหมิงแทบไม่ได้ออกไปข้างนอก ยามนี้ถ้ำภูเขาไฟเป็นดั่งบ้านหลังที่สองของเขา อีกทั้งที่นี่ยังซ่อนตัวได้ดียิ่ง ทำให้ซูหมิงฝึกฝนได้อย่างสบายใจ

ในระหว่างสองเดือนเขาหลอมโอสถชำระล้างได้ไม่น้อย

ใช้กินร่วมกับน้ำสมุนไพรที่ใช้เพิ่มโลหิต ทำให้บนตัวเขาเริ่มปรากฏเส้นเลือดเส้นที่ห้าขึ้น แม้แต่เส้นเลือดเส้นที่หกยังปรากฏเลือนราง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกไม่นานก็จะรวมจนสมบูรณ์

ยามนี้ด้านนอกเป็นฤดูหนาว ยอดเขาลูกอื่นถูกหิมะปกคลุม มีเพียงรอบๆ ยอดเขาเพลิงทมิฬเท่านั้นที่หิมะยังไม่ทันได้สัมผัสพื้นก็ละลายหายไป แต่ถึงอย่างนั้น มันกลับถูกหมอกปกคลุม พอมองไกลๆ ดูพิลึกยิ่งนัก หากมีคนนอกมาที่นี่เป็นครั้งแรก จะต้องสนใจมันอย่างยิ่งแน่นอน ทว่าสำหรับซูหมิงที่เติบใหญ่ในแถบนี้ เขาคุ้นชินกับความแปลกของมันมานานแล้ว

วันนี้ซูหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิ แสงโลหิตบนกายค่อนข้างเข้มข้น เส้นถี่เล็กห้าเส้นวนเป็นเกลียวรอบตัวเขาราวกับมีชีวิต ดูน่าตะลึงยิ่งนัก

โลหิตขับแสงอย่างต่อเนื่อง บนตัวซูหมิงเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ อีกทั้งกายเขายังสั่นไหวเล็กน้อย ทว่าสีหน้ากลับดูหนักแน่น ตลอดครึ่งเดือนมานี้ เขารวมโลหิตเส้นที่หกเป็นครั้งที่สาม หากสำเร็จก็จะทะลวงสู่ลำดับสองขั้นรวมโลหิต

และที่สำคัญที่สุด เขาจะสามารถใช้วิชาหมานได้เป็นครั้งแรกในชีวิต ในชนเผ่าพวกเขานามของมันคือ วิชาสูบวิญญาณ!

วิชาหมานสูบวิญญาณจะต้องใช้พื้นที่ในการสำแดงพลัง อีกทั้งยังต้องใช้ศพสัตว์ป่าที่เพิ่งตายไป เพื่อสัมผัสถึงวิญญาณมันผ่านเส้นโลหิตหมานที่รวมตัวกัน หลังจากสูบเสร็จจะเพิ่มความสามารถส่วนหนึ่งให้กับตนได้ในเวลาอันสั้น

เมื่อสำเร็จวิชาหมานแล้วถึงจะได้รับขนานนามว่านักรบหมาน และดูแตกต่างจากคนในเผ่าอย่างชัดเจน แข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า

ผ่านไปครู่ใหญ่ ร่างซูหมิงสั่นสะท้าน แสงโลหิตรอบตัวค่อยๆ หายไป เส้นเลือดห้าเส้นบนผิวหนังจางลง เขาพยามรวมเส้นเลือดเส้นที่หก ทว่าก็ล้มเหลวอีกครั้ง

ซูหมิงถอนหายใจยาว เงียบขรึมอยู่สักพัก ก่อนหยิบน้ำสมุนไพรขึ้นมาดื่มคู่กับเม็ดโอสถชำระล้าง แล้วจึงเริ่มฝึกฝนอีกครั้ง

วันเวลาหมุนเปลี่ยน พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน ทั่วทั้งเขามังกรทมิฬถูกหิมะหนาปกคลุม ต่อให้เป็นยอดเขาเพลิงทมิฬก็ยังมีหมอกหนาขึ้นไม่น้อย แม้แต่ไอระอุยังมีท่าทีว่าจะหายไป

ช่วงเวลาที่หนาวที่สุดในรอบปีมาถึงแล้ว

ทว่าสำหรับซูหมิง ตอนนี้เป็นช่วงที่สำคัญที่สุด ด้วยความพยามอย่างไม่ย่อท้อ รวมกับการใช้โอสถชำระล้างคู่กับน้ำสมุนไพรที่เพียงพอ ทำให้ระดับความเร็วในการฝึกฝนของเขาเพิ่มขึ้นสูง ตอนนี้เส้นเลือดเส้นที่หกปรากฏเป็นรูปร่างแล้ว กำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่จะรวมตัวกัน

เจ้าลิงน้อยไม่ยอมออกไปเที่ยวเล่นยามฤดูหนาวเช่นนี้ ขนทั้งตัวมันเป็นสีแดง ดูเด่นตานักบนหิมะขาว ดังนั้นเมื่อถึงเหมันตฤดูมันจึงนิ่งสงบลง

เวลานี้มันนั่งยองข้างซูหมิง หาวนอนน้ำตาไหลพลางมองเขา ทว่าในขณะนั้นมันพลันหันมองทางอื่น แววตารวดเร็วและดุดัน ใบหูกระดิกหลายครั้ง

มีเสียงแผ่วเบาดังมาจากด้านนอก…

“อวี้ฉื่อ ว่านหินฟ้าที่เจ้าว่าอยู่ที่นี่จริงๆ รึ? พวกเราหามาตั้งนานแล้วยังไม่เจอ นี่เจ้ามั่วหรือไม่?” น้ำเสียงเย็นเยือกกระทบหูเจ้าลิงน้อย ทำให้มันตัวสั่น

“ไม่น่าใช่ ข้าจำได้ว่าตอนนั้นมันยังเป็นต้นกล้าอยู่ เลยลงอาคมหมานไว้ใกล้ๆ เพื่ออำพราง ตอนนี้นับดูเวลาก็น่าจะสุกงอมแล้ว เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าพวกชาวเผ่าธรรมดาชอบมาเก็บสมุนไพรที่นี่ แต่พวกมันมองวิชาหมานข้าไม่ออกหรอก” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงค่อนข้างโกรธเคือง

“เช่นนั้นก็รีบหาเถิด หากมีว่านหินฟ้าจริงๆ บางทีมันอาจทำให้ข้าทะลวงขั้นพลังลำดับสาม ก้าวสู่ลำดับสี่ได้เร็วขึ้น ส่วนเจ้าก็น่าจะทะลวงสู่ลำดับสามได้”

“ไม่ต้องรีบหรอก มันน่าจะอยู่ที่นี่ ข้าสัมผัสได้ว่าอาคมหมานยังอยู่..…หากเจ้าทะลวงสู่ลำดับสี่แล้ว ก็จะได้เข้าร่วมกับกลุ่มล่าสัตว์ภูผาดำ ข้าได้ยินมาว่าล่าสัตว์ครั้งนี้ ท่านปู่กำหนดด้วยตัวเองว่า…ล่าได้เท่าไรก็เป็นของตัวเองทั้งหมด”

เสียงพูดคุยทั้งสองดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ราวกับอยู่ข้างนอก เจ้าลิงน้อยตึงเครียดจนไม่กล้าหายใจเสียงดัง มันสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวอย่างยิ่งของคนทั้งสอง

มันหันไปมองซูหมิงหลายครั้ง ทว่าเขายังหลับตาแน่น ร่างสั่นไหวเล็กน้อย แสงโลหิตบนร่างชัดเจนยิ่งขึ้นทุกที ประหนึ่งเส้นเลือดเส้นที่หกสามารถแข็งตัวได้ตลอดเวลา

ทว่าในขณะนั้นเอง!

“หาเจอแล้ว! หืม? เจ้าดู ตรงนี้มีถ้ำอยู่ด้วย น่าเสียดายที่มันเล็กเกินไปหน่อย!”

“ไม่ผิด เป็นว่านหินฟ้าจริงๆ! ส่วนถ้ำนี้….เหมือนว่าจะเคยเป็นแดนของหมานเพลิง รอบๆ ถ้ำมีเปลวไฟ ด้านในน่าจะมีที่ว่าง ในเมื่อมาแล้วก็เข้าไปดูหน่อยเถอะ กับอีแค่ปากถ้ำขวางข้าไม่ได้หรอก” เสียงคนทั้งสองดังขึ้น เนื้อความคำพูดทำให้เจ้าลิงหน้าถอดสี

มันขบฟันแน่น หันกลับไปมองซูหมิงอย่างลึกล้ำ ก่อนกลายเป็นเงาแดงทะยานตรงไปยังปากถ้ำ

ทันใดนั้น ด้านนอกมีเสียงตื่นเต้นและตกใจดังขึ้น

“นี่มันวานรเพลิง อีกทั้งยังเล็กอยู่ด้วย ฮ่าฮ่า!”

“ที่นี่เป็นที่หลบหนาวของมัน จับมันไว้ เลือดมันเป็นของข้า ส่วนหนังมันมอบให้ท่านปู่!”

เสียงร้องแหลมดังขึ้น ก่อนค่อยๆ ดังไกลออกไป ทว่าในถ้ำภูเขาไฟ ซูหมิงกลับมีใบหน้าบิดเบี้ยว ตัวสั่นสะท้านรุนแรง

“พวกเจ้า…รนหาที่ตาย…” ซูหมิงพลันแหงนหน้าขึ้น แผดเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!