Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1101

ตอนที่ 1101 ดวงตานั้น 5

ซูหมิงผมแดงเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะแฝงไว้ด้วยความบ้าคลั่ง มาพร้อมกับการระบายความแค้นมาตลอดไม่รู้กี่ปีมานี้ นั่นคือเริ่มสั่งสมตั้งแต่ภูเขาทมิฬมาจนถึงตอนนี้ก็เพิ่งปะทุเป็นครั้งแรก

ความโกรธที่แฝงอยู่ในคำพูดแห่งการปะทุวนเวียนไปทั่วห้องลับ ทำให้ร่างเงาที่ หันหลังให้ซูหมิงตัวสั่นเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเงียบ

“ชดเชย? ท่านจะเอาอะไรมาชดเชยให้ ท่านจะชดเชยอย่างไร!” ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อ ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ขณะหมุนตัวกลับใต้เท้าพลันเกิดระลอกคลื่นขึ้น อีกครั้ง จากนั้นจึงเดินหน้าไปทางมวลอากาศ

“มารดาข้า เต้าหลอมลำดับห้าที่นางอยู่เป็นของข้า จากนี้ไปข้าจะปกป้องนาง ท่าน….ไม่คู่ควร!” ช่วงที่เสียงซูหมิงดังขึ้น เกิดเสียงโครมบนตัวเขาพร้อมกับหายไปในห้องลับ

สามคำสุดท้ายเป็นดั่งกระบี่คมไร้รูปทะลวงสู่ร่างเงานั้นอย่างแรง ส่งผลให้ร่างเงาตัวสั่น ก้มหน้าลงพร้อมมีโลหิตไหลจากมุมปาก

โลหิตตกลงพื้น ย้อมบนกลองป๋องแป๋ง และก็ย้อมกระบี่ไม้สีม่วงยาวประมาณ ฝ่ามือเล่มหนึ่งข้างๆ กระบี่ไม้เล่มนี้ เขาเฝ้าบำรุงมาไม่รู้กี่ปีแล้ว เตรียมมอบให้กับ บุตรของเขา เป็นของขวัญแสดงการขอโทษและอยากชดเชยให้

หากซูหมิงเห็นจะต้องจำกระบี่ไม้เล่มนี้ได้แน่ นี่คือกระบี่ที่เขาแกะสลักตอน ยังเยาว์วัย ตอนที่เล่นในมือ เขายังเคยคุยโวประสาเด็กๆ กับเหลยเฉินว่าเขาจะฝึก วิชาหมาน เขาจะบินไปทั่วฟ้าดิน เขาจะถือกระบี่ไม้เล่มนี้ไปให้ทั่วแดนหมาน

โลหิตหยดลงบนกระบี่ไม้ หลอมรวมเข้าไปในลายไม้ ร่างเงานี้เหม่อมองกระบี่ไม้พลางหลับตาลงอย่างขมขื่น

แม้ห้องลับจะเป็นแดนนั่งฌานของเต้าเฉิน แม้ที่นี่จะมีการป้องกันอย่างหนาแน่น พูดได้ว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่ที่ที่ทรงพลังที่สุดในโลกแท้จริงดาราสัจธรรม ทว่าพลังของกระเรียนขนร่วงที่เมินเฉยต่อวงแหวนอาคมผนึกทุกอย่างสามารถลดทอนพลังการป้องกันของที่นี่ แม้ยังไม่ถึงขั้นให้ซูหมิงจากไปโดยไม่ต้องหยุดชะงักแม้แต่น้อยอย่างตอนนี้ก็ตาม แต่ว่า….การจากไปแบบนี้ จริงๆ แล้วในวินาทีที่ซูหมิงจากไป ซูเซวียนอีปลดผนึกอาคมแทบจะทั้งหมดของที่นี่ออกเพื่อไม่ให้มันกัดกินซูหมิง

นี่เป็นครั้งแรกในรอบไม่รู้กี่ปีที่ผนึกอาคมที่นี่ถูกปลดออก แต่ซูหมิงไม่รู้สิ่งเหล่านี้

ซูหมิงที่ออกจากห้องลับไม่เห็นว่าหลังจากเขาออกไป ร่างเงาที่หันหลังให้เขามาตลอดลูบกลองป๋องแป๋งด้วยอาการสั่นไหว ภายในดวงตาที่ปิดลงยังคงมีน้ำตาหยดลงมาจากแก้ม

และก็มองไม่เห็นว่าขณะที่เขาตัวสั่น มีพลังของผนึกขยับวูบวาบบนตัวเขา

“แผนการฟื้นฟูความรุ่งเรืองของเผ่ายมโลกสำคัญ หรือว่า…..ครอบครัวสำคัญกว่า…..” เสียงพึมพำดังมาจากปากร่างเงาอย่างเหนื่อยล้ายิ่ง

ซูหมิงไปแล้ว เขาไม่ต้องการขั้นพลัง ไม่ต้องการอภินิหาร และก็ไม่ต้องการถาม สิ่งใด เพราะเขาในตอนนี้อยู่ในร่างบ้าคลั่งผมแดง มีความแค้น มีความโกรธที่ไม่อาจยับยั้ง เขาเดินออกจากแดนนั่งฌาน ตอนที่ปรากฏตัวก็มายืนอยู่บนแท่นบวงสรวงกลางฟ้าดิน

ซังยืนอยู่ข้างกายเขา เต้าหลินกับเต้าหวาอยู่ไกลๆ ไม่รู้ว่ากลับมาเมื่อไร ตอนนี้กำลังหลับตาเหมือนนั่งฌาน แต่ความจริงร่างกายกับวิญญาณถูกหยุดไว้

ซูหมิงที่ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยมองซังโดยไม่พูดอะไร ก่อนเดินลงแท่นบวงสรวงไปทีละก้าว ความเหี้ยมโหดอัดแน่นอยู่ในร่างกาย เขาอยากจระบายออก แต่ตอนนี้หาที่ระบายไม่พบ

ซูหมิงในเวลานี้กำลังคลุ้มคลั่ง เป็นร่างที่ไม่มีสติแม้แต่น้อย ขอเพียงมีเปลวไฟ สักเล็กน้อยเขาจะระเบิดทะเลเพลิงออกมาได้โดยพลัน อีกทั้ง….ยังไม่ตรึกตรองถึง ผลตามมาด้วย!

ซังมองซูหมิงพลางถอนหายใจเบา เขาคาดการณ์ถึงผลแบบนี้เอาไว้ก่อนแล้ว เพราะเขา….เข้าใจซูหมิง

เขาสะบัดแขนเสื้อพลางถอนหายใจ มวลอากาศพลันบิดเบี้ยว สายลมไร้รูปกลุ่มหนึ่งม้วนซูหมิงกับเต้าหลินรวมถึงเต้าหวาหายไปในฟ้าดิน มุ่งหน้าไปยัง…..แดนพิธีแต่งตั้ง!

‘ลาซูน้อยเติบใหญ่แล้ว’ ซังส่ายศีรษะ นัยน์ตาฉายแววปลงอนิจจัง และยังมี ความเมตตาที่ซูหมิงมองไม่เห็น เขามองร่างเงาซูหมิงจากไปไกล ผ่านไปพักใหญ่ถึงยกเท้าเหยียบวงแหวนอาคมบนแท่นบวงสรวงแล้วหายวับไป ก่อนมาปรากฏอีกทีอยู่ในแดนนั่งฌานของซูเซวียนอี

“อาจารย์ เขา….ไปแล้ว” ซังมองร่างเงาที่ตอนนี้ยังคงสั่นไหวเบาๆ พลางลอบถอนหายใจและก้มหน้าลง

“ซัง การฟื้นฟูความรุ่งเรืองของเผ่ายมโลกกับครอบครัวสิ่งใดสำคัญกว่า หากเป็นเจ้า….เจ้าจะเลือกอย่างไร?” ร่างเงานั้นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนถามขึ้นเนิบๆ ด้วยความเหนื่อยล้า

ซังก็เงียบเช่นกัน ผ่านไปพักหนึ่งถึงเงยหน้าขึ้นมองร่างเงานั้นพร้อมพูดเบาๆ มาประโยคหนึ่ง

“บุญคุณของอาจารย์ ซังไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต ถึงข้าจะไม่ใช่เผ่ายมโลก แต่ข้าจะโค่นล้มโลกดาราสัจธรรมเพื่ออาจารย์ จะทำทุกอย่างที่อาจารย์ต้องการ เพราะว่าท่านคืออาจารย์ข้า

แต่ในขณะเดียวกัน เพื่อ….ซูหมิง ข้าก็ยอมจ่ายทุกอย่างเหมือนกัน เพราะว่า…..เขาคือลาซูน้อยที่ข้าเฝ้าดูจนเติบใหญ่ ชีวิตข้านี้อยู่เพื่อพวกท่านบิดาและบุตรสองคน” เขาไม่ตอบคำถามซูเซวียนอี แต่กลับตอบอ้อมๆ

ซูเซวียนอีหลับตาลง เงียบอยู่นานมาก กระบี่ไม้สีม่วงตรงหน้าเขาพลันขยับประกายวาวและพุ่งตรงไปหาซัง

“เอากระบี่เล่มนี้ให้เขา…..”

“กระบี่เล่มนี้….เขาควบคุมมันได้หรือ?” ซังลังเลอยู่ชั่วครู่ สายตามองกระบี่ไม้ สีม่วงที่ดูเหมือนธรรมดา

“เดิมทีเขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ ไม่รู้ทุกอย่าง ไม่เข้าใจทุกอย่าง ใช้ชีวิตไปในแต่ละชาติอย่างมีความสุข ถึงจะเป็นของปลอม แต่เขาก็มีความสุข

ทว่าเขาเลือกอีกเส้นทางหนึ่ง เส้นทางนี้ลำบากคดเคี้ยว ตอนนี้เขา….เดินมาเกือบ ครึ่งแล้ว สิ่งที่ข้าช่วยเขาได้ก็มีขีดจำกัด หากเขาควบคุมกระบี่เล่มนี้ได้ เช่นนั้นอนาคตของเขาจะไปได้เร็วกว่าเดิม กระทั่ง….ออกจากมหาโลกสามรกร้าง หากเขาควบคุมไม่ได้ เช่นนั้น…..สำหรับเขาแล้วก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน” ซูเซวียนอีเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเบาๆ

ซังพยักหน้าเงียบๆ

ณ สำนักดาราสัจธรรม มวลอากาศระหว่างเก้าแผ่นดินโลกข้างบน มังกรดำ พยัคฆ์ขาว นกกระจอกแดงและเต่าทมิฬสี่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์บนมวลอากาศต่างค้ำยัน สี่แผ่นดินใหญ่โดยมีแผ่นดินใหญ่ของมังกรดำเป็นศูนย์กลาง

บนสี่แผ่นดินใหญ่มีโต๊ะยาวอยู่จำนวนมาก พิธีแต่งตั้งศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้ยังคงดำเนินต่อไป

บนแผ่นดินมังกรดำ ในผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรมสิบล้านคนมีคนที่มีสิทธิ์นั่งอยู่ที่นี่ไม่ถึงล้านคน ซึ่งตอนนี้พวกเขากำลังยืนอยู่ตรงกลุ่มโต๊ะยาวบนแผ่นดินมังกรดำ

ผู้ฝึกฌานที่เหลือต่างอยู่ในแดนมวลอากาศพิธีแต่งตั้ง พวกเขายังไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปบนแผ่นดินใหญ่มังกรดำ

ทว่าเหนือแผ่นดินใหญ่ของนกกระจอกแดง พยัคฆ์ขาวและเต่าทมิฬจากสามด้านรอบแผ่นดินใหญ่มังกรดำตอนนี้ภายใต้เสียงคำรามของสัตว์สามตัว แต่ละแผ่นดินเกิดรอยแยกยักษ์ขึ้นและยังมีสายฟ้าไหลเวียนออกมาไม่หยุด

รอบๆ รอยแยกสามสายนี้ แต่ละที่มีผู้อาวุโสสำนักยี่สิบสี่คนยืนคุมอยู่ โดยเฉพาะผู้เฒ่าตะวันจันทราและดาราสามคนต่างแยกกันอยู่สามแผ่นดิน

อันดับแรกในรอยแยกด้านบนแผ่นดินเต่าทมิฬปรากฏร่างเงาคนห้อเหยียดออกมาจากกลางรอยแยกทีละร่าง คนนำหน้าสุดคือชายชราแห่งโลกคุมขังวิญญาณหรือ โลกแท้จริงที่สี่ เขาสวมเสื้อคลุมสีฟ้า ช่วงที่ก้าวเดินออกมา เซียนจื่อหลงก็ตามมาติดๆ

“ยินดีต้อนรับโลกแท้จริงที่สี่!” ในผู้อาวุโสสำนักยี่สิบสี่ท่านรอบรอยแยกบนแผ่นดินเต่าทมิฬมีคนพลันกล่าวขึ้น ทันใดนั้นผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรมล้านคนบนแผ่นดินใหญ่มังกรดำต่างประสานมือคารวะไปทางแผ่นดินใหญ่เต่าทมิฬพร้อมกัน

“โลกแท้จริงที่สี่!” เสียงคนล้านคนดังสนั่นราวฟ้าผ่า ช่วงที่เสียงดังก้อง ชายชราเสื้อคลุมฟ้าจากโลกแท้จริงที่สี่ที่เดินออกมาจากในรอยแยกยิ้ม แล้วประสานมือคารวะผู้อาวุโสสำนักยี่สิบสี่ท่านข้างรอยแยกเช่นกัน เซียนจื่อหลงข้างหลังรวมถึงผู้ฝึกฌานโลกแท้จริงที่สี่อีกพันกว่าคนล้วนประสานมือคารวะ

“สหายทุกท่านไม่ต้องเกรงใจ ยินดีด้วยที่สำนักดาราสัจธรรมได้แต่งตั้งใต้เท้า ข้าเตรียมของขวัญมาด้วย อยากจะมอบให้เหล่าใต้เท้าของสำนักดาราสัจธรรม” ชายชราเสื้อคลุมฟ้ายิ้มพลางกวาดสายตามองผู้อาวุโสสำนักยี่สิบสี่ท่านนั้น สุดท้าย ก็มองชายชราดวงตะวันหนึ่งในสามผู้เฒ่าดวงตะวันจันทราและดาราแห่งสำนัก ดาราสัจธรรม

“ไม่ได้เจอกันนานสหายคงสบายดี”

“สหายถานก็ยังเหมือนเดิม ฮ่าๆ เชิญ!” ชายชราดวงตะวันเผยรอยยิ้มแล้วผายมือไปยังแผ่นดินใหญ่เต่าทมิฬ ชายชราชุดคลุมฟ้ายิ้มเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าแล้วพา จื่อหลงข้างหลังกับผู้ฝึกฌานพันกว่าคนไปยังแผ่นดินใหญ่เต่าทมิฬพร้อมกัน

เซียนจื่อหลงดวงตาวาววับ เขามองทุกคนบนแผ่นดินใหญ่มังกรดำอย่างละเอียด ด้วยขั้นพลังเขามองแวบเดียวก็เห็นทุกคนแล้ว เหมือนว่าเขากำลังหาอะไรบางอย่าง สุดท้ายดวงตาเป็นสมาธิจ้องมวลอากาศข้างบน

ตอนนี้เองมีกลิ่นอายหนาวเยือกปะทุมาจากในรอยแยกข้างบนแผ่นดินพยัคฆ์ขาว ในเวลาเดียวกัน มีกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์ลากยาวมาจากในรอยแยกทีละเล่มอย่างอวดดีและบ้าอำนาจ มีจำนวนหลายหมื่นเล่ม แวบเดียวก็อัดแน่นไปรอบๆ ท้ายที่สุดยังมีชายชราที่เหมือนลืมตาไม่ขึ้นเดินออกมาจากในรอยแยกอีกสองคน พวกเขา มีสีหน้าทะมึนทึบ ระหว่างที่เดินออกมายังยิ้มเยาะพลางหันไปมองผู้อาวุโสสำนัก ยี่สิบสี่ท่านข้างรอยแยกแวบหนึ่ง รวมถึงผู้เฒ่าจันทราหนึ่งในสามตะวันจันทรา และดารา

ผู้เฒ่าจันทราประสานมือคารวะด้วยรอยยิ้ม

สองชายชราโยวหมิงแค่นเสียงหึเย็นชา ไม่พูดอะไร เพียงพากระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์หลายหมื่นเล่มพุ่งไปยังแผ่นดินใหญ่พยัคฆ์ขาว พอไปถึงแล้ว ผู้ฝึกฌานบนกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์หลายหมื่นเล่มกลับไม่มีใครลงมา แต่อยู่บนกระบี่ทั้งหมด สีหน้ามีความไม่เป็นมิตร มีเพียงสองชายชราโยวหมิงรวมถึงชายชราขั้นเกิดที่ก่อนหน้านี้เฝ้าแดนต้นกำเนิดจิตตามหลังไปเงียบๆ ก่อนไปยืนบนแผ่นดินพยัคฆ์ขาว

“ยินดีต้อนรับโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์” ในผู้อาวุโสสำนักยี่สิบสี่ท่านมีคนกล่าวด้วยเสียงน่าเกรงขาม สิ้นเสียงผู้ฝึกฌานล้านคนบนแผ่นดินใหญ่มังกรดำต่างมีสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็ประสานมือคารวะไปทางแผ่นดินพยัคฆ์ขาว

“ข้าไม่รับ เต้าคงอยู่ที่ใด?” ผู้เฒ่าหมิงหนึ่งในสองผู้เฒ่าโยวหมิงพูดขึ้นด้วย ความเย็นชา เสียงแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายเสื่อมโทรม ทว่าตอนที่พวกเขาเอ่ยขึ้น ทันใดนั้น มีเสียงคำรามมังกรดังสนั่นฟ้ามาจากในรอยแยกมวลอากาศเหนือแผ่นดินนกกระจอกแดง ก่อนมังกรยมโลกยักษ์ตัวหนึ่งโผล่หัวยักษ์มาจากในรอยแยก ตอนที่มันพุ่งออกมา มังกรยมโลกพันตัวข้างหลังต่างบินออกมาจากรอยแยกพร้อมกัน

บนตัวมังกรยมโลกที่ใหญ่ที่สุดตัวแรกเป็นองค์ชายสามแห่งโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกนั่งอยู่ ข้างกายเขา…..คืออวี่เซวียนที่มีสีหน้าซับซ้อนวูบผ่าน และยังเฉยชา ราวกับหัวใจตายด้าน

“ยินดีต้อนรับ โลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก!”

จนถึงตอนนี้ สามโลกแท้จริงมาถึงหมดแล้ว รอเพียง…..ใต้เท้าสำนักดาราสัจธรรมลงมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!