ตอนที่ 1105 มือขวาข้า 3
ร่างเงาสี่คนนี้รวดเร็วอย่างยิ่ง อีกทั้งขั้นพลังจากตัวพวกเขาจะเห็นได้ว่าสองคนในนั้นอยู่ขั้นกุม แต่อีกสองคนอยู่ขั้นชะตา มิหนำซ้ำหนึ่งในนั้นยังเป็นผู้ฝึกฌานที่ควบคุมชะตาตัวเองได้แล้ว
สี่คนนี้ไม่ว่าอยู่โลกแท้จริงใดล้วนมีชื่อเสียงโด่งดัง หากสี่คนนี้รวมกันจะมีพลังอำนาจดุจดั่งสายรุ้งที่ยากจะมีใครมองข้าม
ทว่าสี่คนนี้กลับเลือกซ่อนตัว ต่อให้มังกรยมโลกขั้นกุมถูกสังหาร ต่อให้มังกรยมโลกพันตัวตายตกไป กระทั่งผู้ฝึกฌานโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกในตอนนี้ที่อยู่กลางทะเลเพลิงของบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงและกำลังตายตกไปทีละคนพร้อมเสียงร้องโหยหวนแหลมเล็ก แต่สี่คนนี้ก็ยังมีสีหน้าปกติ ยังคงซ่อนตัวอยู่รอบองค์ชายสาม รอซูหมิงเข้ามา จากนั้นพอม่านแสงปรากฏขึ้นและซูหมิงถูกดีดออกไปแล้ว พวกเขาถึงลอบโจมตีสังหาร
ร่างซูหมิงกระเด็นถอยไป ช่วงที่พลังโลหิตทั่วร่างไหลเชี่ยว สายรุ้งสี่สายนั้นเข้ามาใกล้แล้ว ชายวัยกลางคนสี่คนนี้มีดวงตาเฉยชา จิตสังหารเด่นชัดสี่ชนิดกลายเป็นอภินิหารที่เต็มไปด้วยพลังยมโลกโจมตีใส่ซูหมิงในพริบตา
ไม่อาจหลบหลีก ยากจะหนีพ้น กฏรอบๆ ถูกเปลี่ยน อากาศโดยรอบราวกับถูกแยกออก ทำให้ที่นี่กลายเป็นอิสระ ผนึกทางหนีทุกอย่างของซูหมิง และยังอาศัยพลังโลหิตไหลเชี่ยวก่อขึ้นเป็นค่ายกลสังหารที่เอาเกือบถึงชีวิต
องค์ชายสามหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง อวี่เซวียนกัดริมฝีปากล่าง ความยึดมั่นในดวงตาเหมือนกลายเป็นคำพูดในใจบอกตัวเองไม่หยุดว่าชายคนนั้นในดวงตานางสร้างปาฏิหาริย์ได้
โครม!
ซูหมิงร่างสั่นสะท้าน ต่อให้เขามีร่างกายแกร่งกล้า แต่ภายใต้การโจมตีพร้อมกันของสี่คนก็ยังบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน เขากระอักเลือดพร้อมกับถอยไป แต่เพิ่งถอย สี่คนนี้ก็ยิ้มเยาะพลางพุ่งเข้ามาอีกครั้ง สี่คนโจมตีสี่ครั้งอีกรอบ
“ฆ่ามัน อย่าลืมเอาวิญญาณมันออกมา ข้าจะให้มันเห็นว่าข้าย่ำยีนางสารเลวนี่อย่างไร!” องค์ชายสามในม่านแสงที่คิดว่าตนไม่มีอันตรายใดๆ มั่นใจว่าตนชนะแน่ๆ แล้ว ตอนนี้เขายกมือขวาขึ้นตบหน้าอวี่เซวียนอย่างแรงทีหนึ่ง
“นางสารเลว เขาคงจะเป็นซูหมิง เขาคือซูหมิงคนที่เจ้าเจอในแดนหมานใช่หรือไม่ ถึงมันจะปรากฏตัวแล้วอย่างไร ถึงมันจะมีขั้นพลังแข็งแกร่งแล้วอย่างไร!
เจ้ามันสารเลว เจ้าซูหมิงคนที่เจ้าเจอในแดนหมานก็เป็นคนบ้าโง่เขลา หากเขาอยู่ในสำนักดาราสัจธรรมอย่างสงบเสงี่ยม ปิดซ่อนชื่อแซ่เอาไว้ก็คงไม่เผยอะไรออกมา แต่ตอนนี้ช่างโง่เขลานัก!” องค์ชายสามหัวเราะเสียงดัง
ทว่าโดยรอบกลับเข้าสู่ความเงียบอย่างน่าประหลาด นอกจากสงครามกลางอากาศแล้ว ความเงียบของผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรมทั้งหมดกลายเป็นคำพูดขององค์ชายสามแห่งโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกในความคิดพวกเขาก่อนหน้านี้รวมถึงตอนนี้
โดยเฉพาะสามผู้เฒ่าตะวันจันทราและดารา พวกเขามีสีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“โง่เขลาอย่างนั้นรึ……” ซูหมิงที่กระเด็นถอยไปมองอวี่เซวียนถูกตบหน้าด้วยดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย มุมปากมีโลหิตไหล วิญญาณเขากำลังเผาไหม้ ทุกอย่างของเขากำลังเดือดพล่าน ขณะพึมพำพลังทำลายล้างที่เข้มข้นถึงจุดสูงสุดพลันปะทุมาจากตัวเขาอย่างรุนแรง
ช่วงที่กลิ่นอายพลังทำลายล้างทุกสิ่งมีชีวิตในจักรวาลปะทุออกมา ห่างจากที่นี่ไปไกลยิ่ง ยังคงเป็นโลกแท้จริงดาราสัจธรรม แต่กลับเป็นพื้นที่ของพันธมิตรเซียน ร่างจริงซูหมิงด้านบนแท่นบวงสรวงที่รวมขึ้นจากเศษแผ่นดินนับไม่ถ้วนกับวงแหวนอาคมเหลือคณานับ ร่างเขา…..เกิดการสั่นไหวขึ้นอย่างรุนแรง
อะไร ถูกเรียกว่าไม่สนทุกอย่างได้
อะไร ถูกเปรียบว่าไม่สนผลตามมาทุกอย่างได้
ความบ้าคลั่ง บางครั้งก็ใช้พรรณนาได้ แต่มีคำหนึ่งที่ชัดเจนยิ่งกว่าคำว่าบ้าคลั่งหลายเท่า นั่นคือรากฐานที่สามารถแสดงความปราถนาทุกอย่างออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นั่นคือ…ความสนใจ!
เพราะสนใจบางเรื่องราว สนใจบางคน เพื่อคนคนนี้ เพื่อเรื่องนี้ เพื่อความสนใจนี้ จึงโค่นล้มจักรวาล…..จึงทำได้ทุกอย่าง!
ความสนใจนี้ กับบางคนแล้วเรียกว่าความขัดแย้ง!
“โง่เขลาอย่างนั้นหรือ อาจจะใช่…..ข้าไม่ใช่คนฉลาดยิ่ง เผยฐานะแล้วอย่างไร เผยทุกอย่างแล้วอย่างไร…..” เส้นเลือดฝอยในดวงตาซูหมิงหายไปทีละน้อย ผมแดงฉานก็กลับมาเป็นปกติ จากสภาพบ้าคลั่งกลับมามีสติปัญญา ทว่าส่วนลึกในใจกลับเกิดความคลุ้มคลั่งกว่าร่างผมแดง และยังมีความสนใจเพิ่มมากขึ้นหลายร้อยหลายพันเท่า
ชีวิตนี้คนที่เขาสนใจมีไม่กี่คน อวี่เซวียน ตั้งแต่จูบนั้นก็ฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งหัวใจเขา กลายเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เขาสนใจไปชั่วชีวิต
นางชอบเขา…..หากแม้แต่นางยังปกป้องไม่ได้ ต่อให้ข้าควบคุมสำนักดาราสัจธรรมมันจะคุ้มค่าหรือ…..
ชีวิตคนเรามักมีไม่กี่คนที่ถึงจะจ่ายทุกอย่างก็ต้องยึดมั่นอย่างไม่ลังเล!
ยึดมั่น…..ยึดมั่น…..แม้เส้นเลือดในดวงตาซูหมิงจะหายไป แต่กลับรวมขึ้นเป็นความยึดมั่นแน่วแน่ มันอัดแน่นอยู่ในใจเขา ทำให้ในตัวเขาเหมือนมีปราการชั้นหนึ่ง พริบตาเดียวปราการไร้รูปก็พังลง จากนั้นด้านหลังพลันรวมออกมาเป็นสามภูผาสะท้อนจันทราโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ มันปรากฏขึ้นกลางฟ้า ปรากฏในสายตาของ ผู้ฝึกฌานที่นี่ทั้งหมด
ดวงจันทร์ภัยพิบัติยักษ์นั้น การไหลเวียนของแสงสามสีนั้น ทำให้ผู้ฝึกฌานโดยรอบทั้งหมดสูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจ โดยเฉพาะสี่คนที่เข้าใกล้ซูหมิง แทบเป็นทันทีที่พวกเขาโจมตีอีกครั้ง กลิ่นอายพลังที่ปะทุมาจากในตัวซูหมิงพลันถาโถมไปรอบๆ ครั้นปะทะกับสี่คนพร้อมกัน สี่คนนี้ล้วนถูกอัดให้ถอยไปไม่หยุด พวกเขาหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน ดูเหลือเชื่อ!
“พลังแห่งการรวมฝ่ามือ! นี่คือพลังเหนี่ยวนำฟ้าดินที่ยอดฝีมือทุกคนต้องรวมขึ้นตอนบรรลุถึงขั้นกุม!”
“เขา….ก่อนหน้านี้ความแกร่งที่เขาแสดงออกมาก็เหนือกว่าขั้นกุมไปแล้ว จะเพิ่งเกิดพลังแห่งการรวมฝ่ามือได้อย่างไร!”
“ภัยพิบัติจันทรา เขาไม่ใช่ผู้ฝึกฌานขั้นกุม เขาอยู่ขั้นภัยพิบัติจันทรา! ดวงจันทร์ภัยพิบัติใหญ่ขนาดนี้ เขาฝึกวิชาใดกันแน่ ไม่อยากเชื่อว่าจะใช้พลังภัยพิบัติจันทราสู้กับยอดฝีมือได้!” สี่คนลมหายใจกระชั้น ขณะกระเด็นถอยไปล้วนมีสีหน้าหวาดกลัวจนยากจะปกปิด เพราะส่วนลึกในใจพวกเขาตอนนี้มีความคิดน่าสะพรึงกลัวและเหลือเชื่ออย่างหนึ่งลอยขึ้นมา
“ภัยพิบัติจันทราก็สู้กับยอดฝีมือได้แล้ว หากเขาบรรลุถึงขั้นกุม เช่นนั้นเขา….จะแกร่งเพียงใด!”
ยามนี้ไม่ใช่แค่สี่คนที่หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง แม้แต่สองผู้เฒ่าโยวหมิงที่เพิ่งประมือกับจูโหย่วไฉด้วยความพาว้าพะวงยังหรี่ตาลงและฉายแววตกใจ
และยังมีเซียนจื่อหลงจากโลกแท้จริงที่สี่ เขาพลันยืนขึ้น สีหน้าเหลือเชื่อ ลมหายใจกระชั้นในทันใด จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งรู้ว่า ที่แท้…..อีกฝ่ายเป็นเพียงขั้นภัยพิบัติจันทรา! ขั้นพลังที่อีกฝ่ายจงใจเปิดเผยในตอนนั้นไม่ได้ปิดบังใดๆ เลย อีกฝ่ายเป็นเพียงขั้นภัยพิบัติจันทราจริงๆ
ชายชราเสื้อคลุมฟ้าข้างกายเซียนจื่อหลงดวงตาขยับประกายวาวเด่นชัด ตอนที่จ้องซูหมิง นัยน์ตาเผยความชื่นชมเด่นชัดทีละน้อย
ทางด้านสำนักดาราสัจธรรม แม้จะมีไม่น้อยคนที่ก่อนหน้านี้เคยเห็นดวงจันทร์ภัยพิบัติของซูหมิง ทว่าตอนนี้กลิ่นอายพลังจากตัวซูหมิงกลับแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความเร็วน่าตกตะลึง!
ผู้อาวุโสสำนักตะวันจันทราและดาราสามท่านต่างมองหน้ากันและกัน ต่างเห็นถึงประกายวาวและความตกใจกันเอง
“ภัยพิบัติจันทราสู้กับยอดฝีมือได้ หากเขาบรรลุถึงขั้นกุม…..” สามคนนี้ลมหายใจกระชั้นพร้อมกัน ดวงตาพลันสว่างพร่างพราว
“ใต้เท้าเต้าคง!” ศิษย์สำนักดาราสัจธรรมบนแผ่นดินมังกรดำ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเกิดความลังเลเล็กน้อยเพราะคำพูดขององค์ชายสาม แต่ยามนี้กลับมีคนส่งเสียงขึ้นด้วยความตื่นเต้น
สิ้นเสียง ผู้ฝึกฌานทั้งหมดบนแผ่นดินมังกรดำ ผู้ฝึกฌานเก้าล้านคนจากโลกข้างล่าง เสียงจากพวกเขาที่ดังขึ้นเรื่อยๆ หลอมรวมกันจนกลายเป็นคลื่นเสียงดังกึกก้อง
“ใต้เท้าเต้าคง!”
“ใต้เท้าเต้าคง!” เสียงดังขึ้นไม่หยุด ก่อเป็นเสียงครึกโครมสั่นสะเทือนฟ้าดิน เขย่าฟ้า เมฆลมเปลี่ยนสีพลางหมุนตลบไปรอบๆ ซูหมิงเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า เปล่งเสียงลากยาวแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจนสร้างความตกใจกับผู้ฝึกฌานทั้งหมดที่นี่
ขณะตะโกนลากยาว ดวงจันทร์ภัยพิบัติยักษ์ข้างหลังพลันระเบิดออก จากนั้น เศษนับไม่ถ้วนก็รวมกันใหม่อีกครั้งในมวลอากาศข้างหลังจนออกมาเป็น…..ดวงตะวันเลิศล้ำที่ใหญ่ยักษ์กว่าผู้ฝึกฌานภัยพิบัติคนอื่นๆ ในอดีตจนถึงตอนนี้ กระทั่งในภายภาคหน้าอาจไม่มีอีกแล้ว!
ดวงตะวันภัยพิบัติยังคงมีสามสี ความบ้าคลั่งของสีแดง เทพศักดิ์สิทธิ์ของสีทอง ความหนาวเยือกของสีเทา ทำให้ดวงตะวันภัยพิบัติกลายเป็นสิ่งที่เด่นตาอย่างยิ่งในสายตาทุกคนที่นี่
สามภูผาสะท้อนดวงจันทร์ ในตอนนี้เองกลายเป็น….สามภูผาส่องแสงตะวัน!
“เฝ้ารักษา…..ความสนใจ…..” ร่างเงาซูหมิงอยู่ในดวงตะวันเลิศล้ำนั้น ระดับความแรงในการปะทุขั้นพลังของเขาเขย่าจักรวาล ตอนนี้เองซูหมิงเกิดความเข้าใจในความคิด
ที่เขาทะลวงขั้นพลังได้เป็นเพราะการเฝ้ารักษา ความสนใจคือพลังชนิดหนึ่ง การเฝ้ารักษาที่เปลี่ยนจากพลังนี้คือความบ้าคลั่งที่ทำลายล้างได้ทุกสรรพสิ่ง นี่คือ การตระหนักรู้ เป็นการตกตะกอนหลังซูหมิงจิตใจเปลี่ยนหลายครั้ง และเป็น…. การเฝ้ารักษาที่ทำให้เขาในตอนนี้เข้าใจซูเซวียนอีอยู่เล็กน้อย
‘ต้นกำเนิดของพลังไม่ได้มาจากฟ้า ไม่ได้มาจากอากาศ และก็ไม่ได้มาจากต่างโลก…..อาศัยพลังของต่างโลก ถึงที่สุดแล้วนั่นก็ยังเป็นพลังภายนอก…..
พลังที่แท้จริงมาจากจิตวิญญาณ มาจากจิตใจแน่วแน่ มาจากตัวเอง
เหมือนกับการให้พลังของตัวเองไม่ออกไปข้างนอก สิ่งที่จำเป็นไม่ใช่พลังภายนอก แต่เป็นจิตใจตัวเอง ก็เหมือนกับแรงสะท้อนกลับ มันไม่ได้ต้องการพลังภายนอก แต่ต้องการร่างกายตัวเอง
พลังที่แท้จริง มหาเต๋าที่แท้จริง บางทีต้นกำเนิดของโลกแท้จริงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนอาจเป็นหนึ่งชนิด แต่ไม่ว่าชนิดใด เส้นทางสุดท้ายของมันคือการฝึกฝนจิตวิญญาณตัวเอง!’ ซูหมิงเข้าใจแล้ว
วินาทีที่เขาเข้าใจ มีระลอกคลื่นพลังที่แกร่งยิ่งกว่าระเบิดมาจากในตัวเขาอีกครั้ง การระเบิดพลังครั้งนี้ทำให้ดวงตะวันภัยพิบัติที่เพิ่งรวมมาหลอมละลาย ในเวลาเดียวกันกลิ่นอายพลังของขั้นกุมก็โผล่ตามขึ้นมา!
“ขั้นกุม ที่เรียกว่ากุมก็เพราะ…..กุมคือการเฝ้ารักษา ใช้ฝ่ามือปกป้อง….สมบัติล้ำค่าในฝ่ามือนั้น…..” ซูหมิงพึมพำ
ขณะเดียวกัน ภายในพื้นที่พันธมิตรเซียน บนแท่นบวงสรวงที่เต็มไปด้วย เศษแผ่นดินมากมาย ตรงกายเนื้อร่างจริงซูหมิง มือขวาเขา…..บิดงอเหมือนจะกำหมัด!