Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1114

ตอนที่ 1114 ครอบครัวกับเผ่า

ซูหมิงเงียบ ข้างหูดังก้องไปด้วยเสียงซูเซวียนอีอยู่นานไม่หายไป

ก่อนหน้านี้เขาก็เคยคาดเดามาก่อนว่าซูเซวียนอีไม่ได้ยึดร่างเต้าเฉินอย่างราบรื่น แต่ไม่นึกเลยว่าหลังซูเซวียนอียึดวิญญาณเต้าเฉินแล้วจะสู้กับผู้ยิ่งใหญ่ของโลกแท้จริงดาราสัจธรรมในห้องลับนี้

และก็เป็นศึกครั้งนี้เองที่ทำให้ซูเซวียนอีขยับตัวไม่ได้มาตลอด ทำได้เพียงรักษาบาดแผลเงียบๆ อยู่ที่นี่

“ศึกครั้งนั้น ข้าไม่แพ้….ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกแท้จริงดาราสัจธรรมก็ไม่แพ้ ข้าใช้พลังพรสวรรค์ของเผ่ายมโลก ใช้วิชาร่างจริงหลอมรวมร่างแยกอย่างถาวร ใช้อาการบาดเจ็บสาหัสถึงขีดสุดจนร่างแข็งทื่อเป็นราคาต้องจ่ายเพื่อทำลายกายเนื้อของ ผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น ทว่าวิญญาณเขา…..ข้าไม่มีวิธีจัดการ ทำได้เพียงมองเขาหนีไป

สิ่งที่ข้าทำได้เพียงอย่างเดียวคือให้ร่างแยกอีกร่างของข้าในเตาหลอมลำดับห้าไปหามารดาเจ้า นำศพมารดาเจ้ากลับไปเตาหลอมลำดับห้า ใช้พลังชีวิตฟื้นฟู รอวันหนึ่งที่ข้ารักษาบาดแผลจนหายดีแล้วก็จะไปคืนชีพให้นาง

ร่างแยกนั้นของข้าอยู่ในเตาหลอมลำดับห้า ทว่าเขา….ออกไปไม่ได้” ร่างเงาที่หันหลังให้ซูหมิงกล่าวอย่างขมขื่น เสียงดังก้องในห้องลับ พอซูหมิงได้ฟังแล้วก็พูดไม่ออก ได้แต่เงียบ

“ตอนนั้นที่ร่างแยกข้าหามารดาเจ้าพบ นางอยู่ในมิติเสียหายแห่งหนึ่งใน แดนมรณะหยิน อยู่กลางกระบี่โบราณเล่มหนึ่งของโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ ที่นั่นก็มีเจ้าด้วย…..เจ้ายังเป็นเด็กทารกที่ตายไปแล้ว

ข้าไม่ได้พาเจ้าไปด้วย เพราะเจ้าในตอนนั้นถูกคำสาปกัดกินทุกอย่างแล้ว เพราะข้าพบว่าแดนมรณะหยินอันมหัศจรรย์นั้น เจ้า….เหมือนจะมีพลังชีวิตใน ความตายเสี้ยวหนึ่งกำลังรวมอยู่ช้าๆ” ซูเซวียนอีพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจเบา

“เรื่องเหล่านี้ข้าไม่พูดเจ้าก็น่าจะเดาออกแล้ว ข้าคือบิดาเจ้า ข้า….จะไม่ทำร้ายเจ้า ทุกอย่างที่ข้าทำก็เพื่อ….”

“ไม่ใช่เพื่อข้า” ซูหมิงเงยหน้าขึ้นพูดเสียงต่ำ

“ซูเซวียนอี บิดาข้า ทุกสิ่งที่ท่านทำลงไปไม่ใช่เพื่อข้า และก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำเพื่อข้า” ซูหมิงส่ายศีรษะ เขาไม่ใช่เด็กน้อยที่เพิ่งเดินออกมาจากภูเขาทมิฬ เขาคือเทพหมานของเผ่าหมาน เขาคือซูหมิงที่ผงาดขึ้นในแดนต้นกำเนิดจิต เขายังเป็น เต้าคงที่สร้างความหวาดหวั่นกับสำนักดาราสัจธรรม เขาเติบใหญ่แล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เรื่องเหล่านี้ดูเหมือนเป็นรูปแบบหนึ่ง แต่หากนึกดูดีๆ จะพบว่านั่นเป็นอีก แบบหนึ่ง

“เทพหมานรุ่นหนึ่งแห่งแดนมรณะหยินท้าประลองเต้าเฉิน แม้จะพ่ายแพ้แต่ก็ยังรอดมาได้ ก่อนหน้านี้ข้าคาดเดามาตลอดว่าเทพหมานรุ่นหนึ่งก็เป็นหมากตัวหนึ่งของท่าน เป็นตัวหมากที่ท่านวางลงในแดนมรณะหยิน! ประโยชน์ของตัวหมากนี้คือต่อต้าน เผ่าเซียน ขณะเดียวกันก็เพื่อเข้าใจแดนมรณะหยิน

เทพหมานรุ่นสองก็เป็นตัวหมากของท่านเช่นกัน กระทั่งข้าคิดมาตลอดว่าการปรากฏตัวของเทพหมานแห่งเผ่าหมานเกี่ยวข้องกับการควบคุมทางไกลของท่าน

ในภาพที่ข้าเห็นเป็นเทพหมานรุ่นสองอุ้มข้าที่ยังเป็นทารกออกมาจากในโลก เก้าหยิน ทว่าสุดท้ายเผ่าเซียนก็บุกเข้ามา ข้ากลายเป็นหินวิญญาณที่เผ่าเซียนใช้ฝึกฝน จนกระทั่งกายเนื้อข้ากับวิญญาณถูกเผ่าเซียนแยกออกมา กายเนื้อถูกผนึก วิญญาณถูกส่งไปยังแดนมรณะหยิน

ท่านรู้ทุกอย่าง หรืออาจพูดได้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งในแผนการท่าน วัฏจักรภูเขาทิมฬสามสิบกว่าครั้ง ท่านปู่….ที่อยู่ข้างกายข้าหลายต่อหลายครั้งก็คือตัวหมากของท่าน

ตี้เทียนจ้องหาโอกาสเงียบๆ เขาหาอะไรบางอย่างในตัวข้ามาตลอด ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยเข้าใจว่าเหตุใดขั้นพลังตี้เทียนถึงได้แตกต่างมากขนาดนี้ ตอนนั้น อดีต ตอนนี้ เหมือนว่าเขาจะแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ข้าคิดว่า…..ข้ารู้แล้ว” ซูหมิงมองซูเซวียนอีด้วยแววตาเจ็บปวด

“เขาคือวิญญาณของผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกแท้จริงดาราสัจธรรมที่เสียกายเนื้อแล้วหนีไป สุดท้ายวิญญาณนี้เลือกศิษย์ของจักรพรรดิเซวียนแห่งเผ่าเซียน หรือก็คือตี้เทียนในตอนนั้น!” ซูหมิงยิ้ม รอยยิ้มขมขื่นและมีความแปลกตา

“ตี้เทียนหาอะไรจากในตัวข้าเสมอ เขายังวางแผนต่อกายเนื้อข้า ข้าคิดว่า…..เขากำลังหาจุดอ่อนของเผ่ายมโลก เพราะเขาที่เป็นเพียงวิญญาณได้รับบาดเจ็บสาหัสมา เขาจะสังหารท่าน เลยต้องจะหาจุดอ่อนของเผ่ายมโลก

ดังนั้นเขาจึงสร้างวัฏจักรให้กับวิญญาณข้า เขาเก็บกายเนื้อร่างจริงข้าเอาไว้ และข้ายังคิดว่าเขาก็เคยคิดจะยึดร่างข้า บิดาข้า ข้าพูดถูกหรือไม่?” ซูหมิงมองซูเซวียนอีพลางเอ่ยด้วยความขมฝาด

ซูเซวียนอีเงียบ

“ที่เขาจะทำทุกอย่างก็เป็นเพราะคนที่เขาจะจัดการในท้ายที่สุดก็คือท่าน แม้ข้าจะไม่รู้ว่าแผนการสุดท้ายของตี้เทียนคืออะไร แต่ข้าก็คาดการณ์ได้ว่าท่านรู้ทุกอย่าง ที่ท่านไม่พาข้าในร่างทารกมรณะในตอนนั้นไปด้วย บางทีอาจเป็นอย่างที่ท่านว่าไว้เมื่อครู่ แต่สาเหตุที่สำคัญกว่าคือ…..ท่านรู้ว่าผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นรวมเข้าไปในร่างตี้เทียน ท่านรู้ว่าตี้เทียนสนใจข้า ดังนั้นท่านเลยเอาข้าเป็นตัวหมาก ประโยชน์ของข้าคือ ทำให้ตี้เทียนสับสน ให้เขาเดินผิดทาง จนสุดท้าย…..ไม่มีอำนาจคุกคามต่อท่าน

และข้ายังมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือล่อดวงจิตโบราณเหล่านั้นแห่งแดน มรณะหยินให้ไปตามวิธีของท่าน ให้ข้าออกจากแดนมรณะหยินไปแดนต้นกำเนิดจิต ท่านส่งเต้าคงมาให้ข้ายึดร่างก็เพื่อให้แผนการนี้เสร็จสิ้น ข้าเดาว่าท่านบิดาคงจะเฝ้าดูข้าตลอด หากข้ามีอันตรายเป็นตายใดๆ ระหว่างทาง ท่านจะลงมือช่วย หรือก็ไม่…..ท่านอาจจะเคยลงมือมาแล้ว

การลงมือทุกครั้ง ท่านจะคิดว่าท่านคือบิดาข้า แต่ท่านแค่ไม่อยากให้ข้าตาย อยากให้ข้าเดินไปตามแผนการก็เท่านั้น หลังจากข้าเกิดมาตอนยังเป็นทารก ท่านก็จัดการชีวิตข้าแล้ว จนข้าเติบใหญ่ท่านก็จัดการอีกครั้ง ในสายตาท่าน ในโลกนี้นอกจากตัวหมากแล้วยังมีสิ่งอื่นอีกหรือไม่?” ซูหมิงยิ้มด้วยความปวดร้าว สายตามองซูเซวียนอีที่หันหลังให้ตน น้ำเสียงไม่ใช่ตะโกน แต่ราบเรียบ

“ตั้งแต่ที่ข้ารู้จักไป๋หลิงแห่งสำนักในสังกัดสำนักดาราสัจธรรม ตอนที่นางปรากฏตัวที่ภูเขาทมิฬ ตอนนั้นข้ามองดวงจันทร์บนฟ้า ดื่มสุรา ในความซับซ้อนในใจข้ามีนาง และก็มีท่าน เพราะข้าเข้าใจว่าท่านเองก็เข้าร่วมทุกอย่างในภูเขาทมิฬด้วย

ท่านมองทายาทตัวเองเจ็บปวดได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลยอย่างนั้นหรือ?” ซูหมิงถอนหายใจเบา

“ท่านวางแผนต่อผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น วางแผนต่อแดนมรณะหยิน กระทั่งยังวางแผนต่อฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนหนึ่งร้อยแปดสิบมหาโลกที่อยู่เบื้องหลังพันธมิตรเซียน ท่านวางแผนต่อสิ่งเหล่านี้ เสี่ยวหงก็เป็นท่านที่พาเข้าไปในโลกข้า รวมถึงเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิตของผู้เฒ่าเมี่ยเซิงก็เป็นท่านที่นำไป ท่านให้ข้าหลอมรวมกับเศษหินนั่น ให้ข้ากลายเป็นผู้เฒ่าเมี่ยเซิงในยุคสมัยนี้ ให้ข้าไปทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ให้ข้าทำลายทะเลลำดับห้าในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตภายใต้การควบคุมของท่าน……รวมถึงจุดเคลื่อนย้ายแห่งหนึ่งของฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณหนึ่งร้อยแปดสิบมหาโลก

ข้าไม่รู้ว่าท่านทำเพราะเหตุใด แต่ข้าคาดการณ์ได้ว่าท่านจะให้ฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนกับเงามืดรุ่งอรุณเปิดฉากสงครามที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในมหาโลกสามรกร้างหรือไม่ก็ข้างนอก

ท่านจะแก้แค้น ท่านจะให้เผ่ายมโลกผงาดขึ้น ท่าน…..พูดออกมาได้ว่าทำเพื่อข้าอย่างนั้นรึ?” ซูหมิงยิ้ม รอยยิ้มมีความเศร้าลึกๆ เหมือนกับกำลังเย้ยเยาะ ไม่ใช่ เย้ยเยาะซูเซวียนอี แต่เป็นตัวเอง

“เดินจากความตายสู่ความเป็น นี่คือเส้นทางเดียวที่สุดท้ายเจ้าจะปลดคำสาปออกได้” ผ่านไปพักใหญ่ซูเซวียนอีก็พูดเสียงเบา

“เส้นทางนี้ ท่านเป็นคนให้ข้าด้วยหรือไม่?” ซูหมิงมองเงาแผ่นหลังซูเซวียนอีพลางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาทีละน้อย

“เจ้ายังเด็ก เจ้าไม่เข้าใจ….” ผ่านไปพักหนึ่งซูเซวียนอีถอนหายใจเบา ในน้ำเสียงมีความขมฝาด

“รอจนเจ้าเข้าใจคำว่าไม่มีเผ่าจะมีครอบครัวได้อย่างไรก่อน เจ้าจะเข้าใจข้า จะเข้าใจข้าจริงๆ”

“ไม่มีครอบครัวแล้วจะมีเผ่าได้รึ?” ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามกลับ

“หากเจ้ายังยึดมั่นที่จะเกลียดข้า เจ้าก็จงเกลียดเถอะ ทุกอย่างที่ข้าทำไม่ใช่เพื่อเจ้าจริงๆ แต่ข้าทำเพื่อทั้งเผ่ายมโลกของเรา!” ซูเซวียนอีตัวสั่น ตอบกลับด้วยเสียงพึมพำ

“ข้าจะไปเกลียดอะไรท่าน?” ซูหมิงส่ายศีรษะ

“คิดว่าข้าเกลียดตอนที่ข้าต้องการท่าน ตอนที่ข้าเห็นคนอื่นมีบิดามารดา แต่ท่านกลับไม่อยู่ข้างกายข้าอย่างนั้นรึ? ความแค้นของข้ามันลึกมากจริงๆ แต่ข้าไม่ใช่ เด็กน้อยในตอนนั้นแล้ว ข้าเพียงแค่อารมณ์เปลี่ยนชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว….ข้าไปเกลียดอะไรท่าน?

คิดว่าข้าเกลียดที่ท่านจัดการชีวิตข้ารึ? เดิมทีชีวิตข้าเป็นของท่านอยู่แล้ว ข้าจะเอาอะไรมาเกลียดท่าน หรือคิดว่าข้าเกลียดที่ท่านไม่อยู่ข้างกายข้า? ข้าชินกับความโดดเดี่ยวแล้ว ชินกับความสับสนแล้ว ข้าจะไปเกลียดอะไรท่าน

หรือคิดว่าข้าเกลียดท่าน….ที่เสียสละชีวิตภรรยาท่านเพื่อเผ่ายมโลกอย่างนั้นรึ?” ซูหมิงพูดถึงตรงนี้ก็น้ำตาตก น้ำตาลากผ่านแก้ม สะท้อนเป็นความเสียใจของเขา

ทันทีที่กล่าวประโยคนี้ ซูเซวียนอีพลันตัวสั่น

“ข้าไม่เด็กแล้ว ข้าโดดเดี่ยวมาตลอด เรียนรู้การวิเคราะห์เรื่องราวผ่านร่องรอยได้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่ข้าไม่อยากคิดให้ลึก ข้าแค่ไม่อยาก

รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงจะเอาเตาหลอมลำดับห้าไป เหตุใดข้าไม่ให้ไว้กับท่าน ไม่ใช่เพราะท่านให้มันเป็นของข้า แต่ท่านไม่อยากเผชิญหน้า ท่านไม่อยากมอง เตาหลอมลำดับห้า

มารดาข้า ถึงนางจะตายไปแล้วก็ยังกอดทารกไว้ในอ้อมกอด เรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษ แต่….นางกำลังกอดข้า ลอยอยู่ในฟ้าอย่างโดดเดี่ยว นางจะปกป้องข้า มันคือการปกป้องโดยจิตใต้สำนึก คนที่นางจะกันให้ห่างคือใคร?”

ซูเซวียนอีลมหายใจหนักหน่วง เขาตัวสั่นแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ในใจไม่สงบนิ่งอย่างยิ่ง อีกทั้งรอบตัวเขายังมีมวลอากาศเหลือคณานับถูกทำลาย

“คนที่นางจะกันให้ห่างก็คือท่าน ถึงนางจะตายไปแล้ว แต่ก็พาข้าให้ออกห่างจากท่าน บิดาข้า ท่านคิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่รู้อะไรเลย?”

“นั่นเป็นเรื่องบังเอิญ!” ซูเซวียนอีตะโกนใส่ซูหมิงเป็นครั้งแรก ขณะที่เสียงตะโกนดังก้อง ซูหมิงกระเด็นถอยไป ซ้ำยังกระอักเลือด

“เรื่องบังเอิญ….เป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ ข้าจะไปเกลียดท่านเรื่องอะไร นางคือภรรยาท่าน อีกทั้งท่านยังส่งนางเข้าเตาหลอมลำดับห้าเพื่อจะคืนชีพให้อีก

ดังนั้นข้าเลยไม่ได้เกลียดท่าน ข้ามีแต่ความแค้น เพราะนางเป็นภรรยาท่าน เพราะท่านคือบิดาข้า ข้าจะไปเกลียดท่านได้อย่างไร? ข้าแค่จะเอาเตาหลอมลำดับห้าไป ไม่ให้ท่านเข้าใกล้ก็เท่านั้น…..” ซูหมิงเช็ดคราบโลหิตตรงมุมปากแล้วพูดขึ้นเรียบๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!