ตอนที่ 114 ดินแดนอรุณใต้
ความสงบนิ่งของเด็กหนุ่มไม่เหมือนแสร้งทำ แต่เขาไม่มีความหวาดกลัวจริงๆ สีหน้าเช่นนี้พบเห็นได้ไม่ยากในตัวผู้อาวุโส ทว่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งสงบนิ่งเช่นนี้นับว่าไม่ธรรมดา
เขามองซูหมิง แววตาไร้ประกายและคลื่นอารมณ์ ทว่าในช่วงที่มองไปราวกับแอบกวาดสายตามองซูหมิง เหมือนพยามหาจุดเล็กๆ เพื่อทราบถึงตัวตน
ซูหมิงนั่งอยู่ตรงนั้น มีเสื้อคลุมหนังสัตว์ทั้งตัว การกระทำของเด็กหนุ่มหลังฟื้นคืนสติ ทำให้นัยน์ตาเขาฉายแววชื่นชมเล็กน้อย แต่หากเด็กหนุ่มคิดจะหาเบาะแสอะไรจากตัวเขาละก็ คงเป็นไปไม่ได้
“อาการบาดเจ็บในตัวเจ้ามีมานานหลายปีแล้ว” ซูหมิงไม่ตอบเด็กหนุ่ม เพียงแต่กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
เด็กหนุ่มมองซูหมิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่กล่าวสิ่งใด เขาทราบดีว่าหากพูดมากไปอาจก่อให้เกิดผลเสียกับตัวเอง จึงมองคนที่จับตัวเขามาว่ามีเป้าหมายอะไรกันแน่
“น่าจะเป็นตั้งแต่เจ้าเกิดมาได้ไม่นาน ผู้แข็งแกร่งจงใจสร้างรอยแผลให้…..”
ซูหมิงกล่าวต่อเรียบๆ
จิตใจเด็กหนุ่มสั่นไหว ทว่าสีหน้ายังคงเรียบเฉย
“ลองสัมผัสอาการบาดเจ็บในร่างกายเจ้าดู ยามนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ ไม่มีคลื่นความรู้สึกแม้แต่น้อย กล่าวจบจึงหลับตาลง
เด็กหนุ่มตกตะลึง หลังมองซูหมิงด้วยความตื่นตัวแวบหนึ่งแล้ว จึงหลับตาโคจรโลหิตในร่างกายด้วยความลังเลเล็กน้อย ในช่วงที่เขาได้สติไม่ทันสังเกต ยามนี้พอโคจรจึงพลันลืมตาขึ้น เมื่อครู่นี้เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าอาการบาดเจ็บในร่างกายทุเลาลงเล็กน้อย
แม้จะตื่นตะลึง ทว่าก็ยังฝืนตัวสงบนิ่ง เขาทราบดีว่าอาการบาดเจ็บของเขาเกิดขึ้นเพราะถูกคนลงอาคมหมานเมื่อตอนห้าขวบ อีกฝ่ายกลับตั้งใจให้เขาบาดเจ็บไม่ถึงตาย ด้วยเหตุนี้จึงไปถ่วงขั้นพลังของบิดา เพราะบิดาและมารดาเขาต้องเสียพลังโลหิตจำนวนมากเพื่อยื้อชีวิตเขาเอาไว้
กระทั่งอาการบาดเจ็บของเขาร้ายแรงยิ่งนัก หลายปีมานี้เขาใช้สมุนไพรจำนวนมาก็ทำได้เพียงยื้อเท่านั้น อาการไม่ดีขึ้นเลย ต่อให้เป็นจ้าวหมานและจ้าวเผ่ายังจนปัญญา พวกเขาเคยบอกว่าถ้าอยากหายเป็นปกติมีอยู่วิธีเดียว นั่นคือหาคนลงอาคมหมานตอนนั้นให้พบ หลังจากสังหารเขาแล้วจะทำให้อาคมหมานสิ้นฤทธิ์ และแก้อาคมหมานได้
ทว่าตอนนี้ อาการบาดเจ็บในร่างกายเขากลับดีขึ้นเล็กน้อย นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน เขาหายใจกระชั้นถี่ รีบก้มหน้าลง ทำท่าทางสำรวจร่างกายเพื่อปกปิดประกายจากแววตา
เขาเคยร้องขอสวรรค์ให้ช่วยรักษาตัวเขานับครั้งไม่ถ้วน เขาไม่อยากเป็นภาระของบิดา ทว่าหลายปีที่ผ่านมา เขาเห็นใบหน้าค่อยๆ แก่ชราของบิดากลับมีความคิดจะสังหารตัวเอง หากไม่ใช่เพราะมีความห่วงใยคงลาลับไปแล้ว
การเข้ามาในป่าฝนครั้งนี้ก็เพื่อเก็บเกี่ยวสมุนไพรให้กับชนเผ่า ที่เขาตามมาด้วยไม่ใช่เพื่อรักษาการอาการบาดเจ็บของตัวเอง แต่เพราะอยากพิสูจน์ตัวเองว่าเขาก็เป็นสมาชิกในเผ่าเหมือนกัน แต่ระหว่างทางมีคนคุ้มกันตลอด ทำให้เขาแอบถอนหายใจ
ยามนี้เขาก้มหน้า จิตใจสั่นไหว ช่วงที่เงยหน้าขึ้นไม่ปกปิดความในใจอีก แต่มองซูหมิงอย่างเหม่อลอย สีหน้าเผยความตื่นเต้นและปรารถนาจะมีชีวิตรอด
“เจ้า……” เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
“บาดแผลในร่างกายเจ้าสาหัสยิ่งนัก ข้าเองก็ไม่อาจทำให้เจ้าหายเป็นปกติได้ ทำได้เพียงให้มันทุเลาลง” ซูหมิงลืมตา สายตาที่ซ่อนอยู่ในเสื้อคลุมมองเด็กหนุ่มราวกับมองทะลุจิตใจของเขา ขณะกล่าวเสียงเบา
สายตาซูหมิงกวาดมองเด็กหนุ่ม ทำให้เขาพลันรู้สึกราวกับถูกมองทะลุ สติปัญญาของเขาล้ำเลิศมาแต่เยาว์วัย ความตื่นเต้นและปรารถนาก่อนหน้านี้ เขาตั้งใจแสดงให้เห็น ยามนี้พอได้ยินซูหมิงกล่าวจึงแอบถอนหายใจเบา หากซูหมิงกล่าวอย่างมั่นใจ เขาคงไม่เชื่อ เพราะเขาเข้าใจอาการบาดเจ็บของตัวเองดี
“เจ้าต้องการอะไร?” เด็กหนุ่มเงียบอยู่นาน สีหน้ากลับมาเป็นปกติ ซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ในส่วนลึก มองซูหมิงพลางกล่าวเบาๆ
“ที่นี่คือที่ไหน?” ซูหมิงไม่อยากใช้แผนการอะไรมากมาย จึงถามออกไปตรงๆ ข้อมูลที่เขาต้องการผู้อื่นยากจะมองออกถึงเป้าหมาย ไม่ต้องปิดบังก็ได้
“ที่นี่คือป่าหานก่วง (ป่าหานใหญ่ไพศาล)” เด็กหนุ่มกล่าวเสียงเบา แต่จิตใจกลับสั่นไหว กล่าวต่อว่า “ป่าหานก่วงกว้างใหญ่มาก ตรงนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หากเดินลึกเข้าไปอีก ด้านหลังภูเขาหานจะมีป่าฝนที่กว้างใหญ่กว่า รายละเอียดย่อยๆ ข้าเองก็ไม่แน่ใจ
ข้ารู้เพียงแค่ว่า หากออกไปจากทิศทางที่ข้ามา เดินทางราวครึ่งเดือนก็จะเป็นเมืองเขาหาน เมืองนี้สร้างขึ้นจากภูเขา อีกทั้งยังเป็นทางผ่านไปยังเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ ฉะนั้นจึงเจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างละเอียด แม้ในใจสงสัย ทว่าก็ไม่เผยให้เห็น
“เผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์…” ซูหมิงขมวดคิ้ว แอบถอนหายใจเบาๆ ตั้งแต่เยาว์วัยเขาเคยไปไกลสุดเพียงเผ่าร่องลม ส่วนเผ่าอื่นๆ เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
“เผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์เป็นหนึ่งในสองเผ่าใหญ่แห่งแดนอรุณใต้ เมืองเขาหานอยู่ทางทิศใต้ของดินแดนนี้” เด็กหนุ่มมองซูหมิงแวบหนึ่งก่อนกล่าวอธิบาย ในใจเกิดความสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ
สังเกตได้ว่าซูหมิงไม่ใช่คนแถบนี้ จึงทำให้เจตนาร้ายต่อซูหมิงลดน้อยลงมาก สิ่งที่เขาเป็นกังวลมากที่สุดคืออีกฝ่ายเป็นคนจากเผ่าศัตรูหรือไม่ ยามนี้พอได้เบาะแสมาบ้าง จึงวางใจไม่น้อย
“เมืองเขาหานเป็นของเผ่าไหน?” น้ำเสียงซูหมิงเป็นปกติ หากไม่ใช่ว่าเขาต้องการให้เด็กหนุ่มเผยข้อมูลที่มากขึ้น เขาคงจะไม่เผยร่องรอยและเบาะแสให้อีกฝ่ายเห็น
คำพูดของซูหมิงทำให้เด็กหนุ่มผ่อนคลายมากขึ้น ใบหน้าเผยรอยยิ้ม
“เมืองเขาหานไม่เป็นของชนเผ่าใด แต่เป็นของสามชนเผ่า แบ่งเป็นเผ่าผู่เชียง เผ่าเหยียนฉือ และยังมีเผ่าบูรพาสงบ ทั้งสามเผ่านี้ร่วมกันควบคุมดูแล
ข้าเป็นชาวเผ่าผู่เชียง ท่านรักษาอาการบาดเจ็บของข้าได้ เหตุใดจึงไม่เข้าร่วมกับเผ่าของข้าในฐานะแขกพิเศษ เผ่าผู่เชียงให้ความเคารพต่อแขกเป็นอย่างมาก หากท่านยอมตกลง จะได้มีที่พักและยังเข้าใจดินแดนแห่งนี้มากขึ้นด้วย กระทั่งหากโชคดี อาจมีโอกาสเข้าร่วมกับสำนักเหมันต์สวรรค์!” เด็กหนุ่มกล่าวถึงตรงนี้ ก็เหมือนสังเกตร่างกายของซูหมิงอย่างเปิดเผยชั่วครู่
“การเข้าร่วมสำนักนี้ยากเย็นเกินไป” สีหน้าซูหมิงเรียบเฉย การกระทำของเด็กหนุ่มอยู่ในสายตาของเขา เพียงแวบเดียวก็มองออก เทียบกับเขาแล้วคนตรงหน้าเป็นเพียงลาซูเท่านั้น
เด็กหนุ่มถูจมูก หัวเราะกล่าวต่อ “ท่านกล่าวถูกแล้ว แม้การเข้าร่วมสำนักเหมันต์สวรรค์จะยาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เมืองเขาหานเมื่อสิบปีก่อน เคยมีคนผ่านการทดสอบกลายเป็นหมานแห่งสำนักเหมันต์สวรรค์”
ซูหมิงขบคิดเล็กน้อยก่อนยืนขึ้น เขามองคำพูดของเด็กหนุ่มออก นอกจากเรื่องฐานะตัวเขาแล้ว ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นเรื่องจริง ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่ความลับอะไร อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องโกหก หลังจากจัดข้อมูลเหล่านี้ในความคิดแล้ว ซูหมิงก็พอเห็นเค้าโครงคร่าวๆ ของดินแดนแห่งนี้ มันเป็นเขตแดนที่ต่างจากบ้านเกิดของเขาโดยสิ้นเชิง
ความจริงแล้วในจุดนี้ เมื่อเขามองท้องฟ้าดาวทอประกายยามค่ำคืน ก็พบแล้วว่าในความคุ้นเคยบนท้องฟ้ามีความแปลกซ่อนอยู่เล็กน้อย
ซูหมิงยืนขึ้น ไม่มองเด็กหนุ่มอีก แม้แต่ชื่อของเด็กหนุ่มเขายังไม่ถาม ต่อให้อีกฝ่ายบอกว่ามาจากเผ่าผู่เชียง เขาก็ไม่ถามต่ออยู่ดี เพราะชนเผ่าบ้านเกิดที่เด็กหนุ่มกล่าวซูหมิงไม่เชื่อแม้แต่น้อย
เทียบกับเขาแล้ว แม้เด็กหนุ่มจะชาญฉลาด ทว่าก็ยังอ่อนหัด เหมือนกับลูกนกที่ไม่เคยบินผ่านคลื่นลม เห็นเขาแล้วทำให้ซูหมิงนึกถึงตัวเองเมื่อก่อน
จนกระทั่งซูหมิงเดินเข้าไปในป่าฝน เด็กหนุ่มเหม่อลอย ในใจนึกถึงเหตุการณ์ล่วงหน้าไว้จำนวนมาก กระทั่งยังเตรียมคำพูดเอาไว้ เป้าหมายแท้จริงคือปกป้องตัวเอง ทว่ายามนี้แผนการทั้งหมดกลับลอยหายไปตามซูหมิง ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย
‘เขาแค่จะถามข้อมูลแถบนี้จริงๆ หรือ…เป็นคนที่แปลกมาก น่าจะไม่มีพิษมีภัย…’ เด็กหนุ่มคลำปาก ความจริงแล้วในช่วงที่เขาได้สติ ก็รู้สึกแล้วว่าในปากมีรสฝาด น่าจะกินอะไรบางอย่างลงไป
ยามนี้อาการบาดเจ็บทุเลาลงเล็กน้อย อีกทั้งซูหมิงยังหายไปไหนแล้วไม่ทราบ เด็กหนุ่มจึงมั่นใจได้ว่าบุคคลนี้ไม่มีเจตนาร้ายต่อตัวเขาจริงๆ
‘หากเขาคิดจะทำร้ายข้า คงไม่จำเป็นต้องช่วยข้ารักษา แต่น่าจะทารุณมากกว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความลับของชนเผ่า ข้าจึงพูดออกไปได้…..
ทว่าเขาก็ไม่ทำ แต่กลับรักษาบาดแผลให้ข้าก่อน….และยังมีสัตว์หนามดำที่เขาล่อมาตอนจับตัวข้า พอตอนนี้มาคิดดูแล้ว เขาน่าจะตั้งใจเลือกสัตว์ตัวนี้ เพราะมันเทียบเท่ากับลำดับเจ็ดขั้นรวมโลหิตเท่านั้น พี่ใหญ่อาเหมิ่งเลยจัดการได้โดยไม่มีชาวเผ่าล้มตาย’
เด็กหนุ่มคิดทบทวนในหัวเป็นร้อยรอบ เห็นเงาซูหมิงกำลังเลือนหาย จึงรีบลุกขึ้นวิ่งตามไป
“ผู้อาวุโส ช้าก่อน!”
เสียงของเขาดังขึ้นในป่าฝน ทว่ากลับไม่ทำให้ซูหมิงหยุดฝีเท้า ร่างขยับไหว ก่อนหายลับไปจากสายตาเด็กหนุ่ม เขาไล่ตามมาสักระยะแต่ก็ไม่พบ สีหน้าอดเผยความรู้สึกเสียใจภายหลังมิได้
‘เฮ้อ เหตุใดเขาถึงได้รวดเร็วนัก เป็นข้าที่ระวังตัวมากเกินไป เลยพลาดโอกาสรักษา’ เด็กหนุ่มยิ่งคิดยิ่งนึกเสียใจภายหลัง สีหน้าลังเล ราวกับยากจะตัดสินใจได้
ยามนี้ ไกลออกไปในป่าฝนมีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา เด็กหนุ่มไม่ขยับกาย เขาสัมผัสได้ว่าเป็นชาวเผ่ากำลังใกล้เข้ามา เป็นอย่างที่คาดไว้ ผ่านไปไม่นาน ชายหนุ่มลำดับเจ็ดขั้นรวมโลหิตตรงเข้ามา ด้านหลังเขาเป็นชาวเผ่าพวกนั้น ไม่มีใครเสียชีวิต
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มปลอดภัย คนเหล่านั้นจึงถอนหายใจโล่งอก
ชายหนุ่มนามอาเหมิ่งเดินเข้ามาใกล้เพื่อสอบถาม ทว่าเด็กหนุ่มกลับส่ายศีรษะ ไม่กล่าวสิ่งใด และไม่ได้เล่าถึงเรื่องการสนทนากับซูหมิง ในใจของเขามีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ลังเลอีกต่อไป แต่แน่วแน่
ภายในป่าฝน ซูหมิงกำลังเดินอย่างเงียบๆ เขาถอดเสื้อคลุมออกแล้ว สีหน้าเขาสับสนขณะเดินกลับไปยังเทือกเขาเบื้องหน้า
“แดนอรุณใต้”
“เมืองเขาหาน”
“เผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์…..สำนักเหมันต์สวรรค์!” ซูหมิงไม่ทราบว่าอะไรคือสำนักเหมันต์สวรรค์ ทว่าจากคำพูดและสีหน้าของเด็กหนุ่มเขาพอจะเข้าใจบ้าง
“สำนักเหมันต์สวรรค์น่าจะไม่เหมือนกับชนเผ่า…”
“แดนอรุณใต้แห่งนี้ห่างจากบ้านข้า……ไปไกลเพียงใด…”
ซูหมิงถอนหายใจเบา เขาจำได้เพียงว่าคนเสื้อคลุมดำเคยกล่าวถึง ภูเขาทมิฬเป็นเขตแดนพันธมิตรตะวันตก เผ่าร่องลมเป็นสายเลือดจากเผ่าเหมียวหมาน