Skip to content

สู่วิถีอสุรา 117

ตอนที่ 117 ออกเดินทาง

ถึงเวลาควรไปเมืองเขาหานแล้ว ในยามเช้าตรู่ ซูหมิงตื่นจากฌานสมาธิ สีหน้ายังคงมีความซับซ้อนจากการขบคิดมาทั้งคืน ทว่าในใจเขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว

ซูหมิงจัดระเบียบสมุนไพรในตัว มองไปรอบๆ ถ้ำ เขาอาศัยอยู่ในนี้มานานสองปี และไม่คิดจะกลับมาอีก เขาคุ้นชินที่แห่งนี้ เป็นสถานที่ฝึกฝนที่เยี่ยมมาก

“ข้อมูลที่ฟางมู่บอกในระแวกใกล้เคียง น่าจะเป็นจริงเก้าส่วน ทว่าก็ต้องไปลองพิสูจน์ด้วยตัวเอง โดยเฉพาะเผ่าผู่เชียง! อีกอย่าง……เมืองเขาหานเป็นทางต้องผ่านไปยังเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ของแดนอรุณใต้ ในนั้นอาจมีแผนที่ไปแดนพันธมิตรตะวันตก”

แววตาซูหมิงเป็นประกาย เดินออกจากรอยแยกถ้ำมายืนอยู่ข้างนอก สายลมพาความชื้นพัดผ่าน ยามนี้มาถึงฤดูฝนช่วงที่เขามาถึงแดนแห่งนี้เมื่อสองปีก่อน เขาคลำถุงชำรุดในอกเสื้อ สิ่งนี้ยังคงเหมือนกับเมื่อสองปีก่อน รอยแตกภายในมิติไม่ได้ขยายใหญ่ขึ้น ทำให้ซูหมิงวางใจไม่น้อย

ภายในถุงนอกจากเม็ดโอสถจำนวนมากแล้ว ยังมีหนังสัตว์ป่าที่เขาล่ามา รวมถึงพวกอวัยวะและกระดูกเหล่านั้น จากฟางมู่ ซูหมิงได้เข้าใจว่าชนเผ่าในแดนอรุณใต้กับพันธมิตรตะวันตกต่างกันเล็กน้อย แดนแห่งนี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการหาสมุนไพร ทว่าที่มากกว่าคือหาเอาจากสัตว์ป่าบางชนิด

อย่างเช่นครั้งแรกที่ซูหมิงเจอฟางมู่ พวกเขากำลังล่างูเหลือม เพราะต้องการอวัยวะภายในของมัน และยังมีพวกกระดูกงู เพื่อนำมาหลอมเป็นสมุนไพร

เมื่อเตรียมตัวเสร็จแล้ว ซูหมิงขยับร่าง พุ่งทะยานเข้าไปในป่าฝน เมื่อยามค่ำคืนมาเยือน ซูหมิงเดินออกมาจากเขตป่าฝนเป็นครั้งแรก เขาสวมเสื้อสีท้องฟ้า เส้นผมดำกวัดแกว่งท่ามกลางลมพายุฝน เบื้องหน้าเขาเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่

ซูหมิงก้มหน้า ละสายตาเดินไปเบื้องหน้า ยามนี้ฟ้าดินกว้างใหญ่ ทว่าโดยรอบนอกจากตัวเขาแล้ว ไม่มีผู้อื่น ความจริงป่าฝนแห่งนี้มีผู้คนสัญจรน้อยมากอยู่แล้ว ต่อให้มีคนมา ส่วนใหญ่ก็เพื่อล่าวัตถุสำหรับการปรุงยาเท่านั้น

แสงจันทร์บนท้องฟ้าสาดส่องบนผืนดินกว้างใหญ่ ซูหมิงเดินหน้าไปอย่างเงียบๆ ความเร็วของเขาประดุจสายรุ้งลากยาว เพียงแต่สายรุ้งไม่ได้ลอยขึ้นฟ้า ทว่าแนบชิดกับพื้น ขยับวูบวาบตรงไปเบื้องหน้า

“ฟางมู่เคยบอกว่า ทางนี้ต้องใช้เวลาสิบวัน” ซูหมิงรู้ทางไปเมืองเขาหานอยู่ก่อนแล้วจากฟางมู่ อีกทั้งยังอธิบายเมืองอย่างละเอียด ทำให้เข้าใจเป็นอย่างดี

“เป็นเมืองที่วุ่นวาย ควบคุมร่วมกันโดยสามชนเผ่า อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลาง จึงมีผู้แข็งแกร่งจำนวนมาก…..ทว่าทั้งสามชนเผ่าส่วนใหญ่จะปล่อยตามใจ ทั้งยังมีการเลือกแขกพิเศษจากกลุ่มผู้แข็งแกร่งเหล่านั้น และเรียนเชิญด้วยผลประโยชน์มากมาย” นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย ความเร็วเพิ่มมากขึ้น

แดนอรุณใต้มีเทือกเขาเป็นหลัก บนแดนกว้างใหญ่แห่งนี้ มีเทือกเขานับแสนหรือมากกว่า จะว่ามันเป็นแดนแห่งเทือกเขาก็คงไม่เกินไป แต่ละชนเผ่าจะสร้างโอบล้อมภูเขา ต่างกับเขตแดนพันธมิตรตะวันตกโดยสิ้นเชิง

เพราะชนเผ่าในแดนอรุณใต้มีจำนวนมาก จึงทำให้มีเคล็ดวิชาหมานพิลึกหลากหลาย นักรบหมานในนั้น มีผู้แข็งแกร่งไม่น้อย อีกอย่างยังมีเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์อยู่ โดยเฉพาะการสถาปนาสำนักเหมันต์สวรรค์ ก็เพื่อความยิ่งใหญ่ของแดนอรุณใต้

สำนักเหมันต์สวรรค์ เป็นสถานที่แปลกภายใต้การควบคุมของเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ทั้งสิ้น มันไม่ใช่ชนเผ่า แต่เป็นสำนัก! เป็นสำนักสำหรับนักรบหมาน ขอแค่เป็นนักรบหมานของแดนอรุณใต้ ไม่ว่าจะมาจากเผ่าไหน หากผ่านการทดสอบของสำนัก ก็จะได้เข้าร่วม

สำนักเหมันต์สวรรค์มีชื่อเสียงมากสุดในแดนอรุณใต้ ตำนานเล่าว่าเมื่อหกพันปีก่อน จ้าวหมานเผ่าสวรรค์หิมันต์เป็นคนสร้างขึ้นโดยมีผู้อื่นช่วยเหลือ กาลเวลาผ่านไป เหมันต์สวรรค์จากเผ่ากลางก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นหนึ่งในสองเผ่าใหญ่แห่งแดนอรุณใต้ สำนักเหมันต์สวรรค์ก็ได้สถาปนาขึ้นเพราะเหตุนี้ และได้รับขนานนามว่า เหมันต์สวรรค์แสนนักรบหมาน!

มันเป็นสิ่งแรกในแดนอรุณใต้ที่ทำลายข้อจำกัดระหว่างชนเผ่า ถ่ายทอดเคล็ดวิชาหมาน ให้ผู้มีพรสวรรค์เหล่านั้น มีสถานที่ฝึกฝนจนเติบใหญ่กลายเป็นผู้แข็งแกร่ง เล่าขานกันมาว่า เผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งรุ่งเช้าตอนใต้ เกี่ยวดองกับสำนักเหมันต์สวรรค์อย่างแน่นแฟ้น อีกอย่างสำนักนี้ยังมีข่าวลือว่า ทุกอย่างในนั้นล้วนเลียนแบบมาจากต่างแดนลึกลับและยากจะคาดเดา เล่าขานกันมาว่าที่นั่นไม่มีชนเผ่า มีแต่สำนัก

เพราะความสำเร็จของสำนักเหมันต์สวรรค์ หลายพันปีมานี้ ทั้งแดนอรุณใต้ราวกับเกิดกระแสสำนัก ชนเผ่าจำนวนมากต่างพากันเลียนแบบ โดยเฉพาะเผ่าใหญ่ทะเลตะวันออกที่มีชื่อเสียงเทียบเท่ากับเผ่าเหมันต์สวรรค์ จัดตั้งสำนักทะเลตะวันออก จึงเกิดการแข่งขันกันขึ้น

ขณะเดียวกัน นอกจากเผ่าเล็กแล้ว เผ่ากลางที่พอมีขุมพลังอยู่บ้าง ก็เลียนแบบจัดตั้งสำนักของตัวเองเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าสำนักเหล่านี้ ยังใช้นักรบหมานของตัวเองเป็นหลัก จิตใจต่อต้านคนภายนอกยังไม่อาจลบล้างไปได้ อย่างมากก็แค่ถ่ายทอดเคล็ดวิชาหมานส่วนหนึ่ง เพื่อดึงดูดผู้แข็งแกร่งจากรอบแปดทิศให้มาเป็นแขกพิเศษ และเพิ่มความแข็งแกร่งของเผ่าตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วจะมีผลประโยชน์ร่วมกัน อีกทั้งยังระแวงกันตลอดเวลา

เรื่องเหล่านี้ ซูหมิงทราบจากฟางมู่ขณะแลกเปลี่ยนกันหลายครั้งภายในเวลาครึ่งปีจนเข้าใจอย่างถ่องแท้ ความแปลกของแดนอรุณใต้

เขาไม่ได้ประหลาดใจมากนัก แม้เขาจะมาจากแดนพันธมิตรตะวันตก ทว่าตั้งแต่เยาว์วัยก็อยู่ในระแวกภูเขาทมิฬเท่านั้น ความเข้าใจในแดนพันธมิตรตะวันตก กลับยังเทียบไม่เท่ากับแดนอรุณใต้

เมืองเขาหาน กล่าวได้อย่างมั่นใจเลยว่า สร้างขึ้นจากสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ความจริงแล้วแม้มันจะมีประวัติศาสตร์ยาวนานสองพันปี ทว่าก็ถูกผู่เชียง เหยียนฉือและบูรพาสงบสามชนเผ่ายึดครอง นี่เป็นเวลาเพียงไม่ถึงสี่ร้อยปีเท่านั้น

ซูหมิงเคยได้ยินฟางมู่เล่าว่า มู่เจี่ยน (แผ่นไม้ใช้บันทึก)ในชนเผ่าของพวกเขาบันทึกถึงสงครามครั้งใหญ่เมื่อสี่ร้อยปีก่อน เมืองเขาหานในตอนนั้น มีชนเผ่าหานขนาดกลางที่แข็งแกร่งครอบครอง จากนั้นมาเสื่อมถอยลง ถูกบริวารสามเผ่ากลืนกิน เมื่อสังหารชาวเผ่าทุกคนแล้ว จึงชิงเมืองเขาหาน

ด้วยเหตุนี้มีแต่คนอยากชิงเมืองเขาหาน เพราะว่าใครครอบครองเมืองนี้ จะมีสิทธิเกี่ยวดองกับสำนักเหมันต์สวรรค์ อีกทั้งในแดนแปดทิศใกล้เคียง หากครองครองเมืองหาน ก็เท่ากับเป็นจ้าวแดนแห่งนี้ มีผลประโยชน์และอำนาจพิเศษที่ฟางมู่ยังไม่ทราบบางส่วน

เพียงแต่ว่าทั้งสามชนเผ่ามีขุมพลังใกล้เคียงกัน ไม่มีปัญญาสู้รบกันได้ มิเช่นนั้นแล้ว เมืองเขาหานคงมีการเปลี่ยนมือเจ้าของอีกครั้ง ฉะนั้นผู้นำสามชนเผ่าจงลงสนธิสัญญา ครอบครองเมืองร่วมกัน ทว่าคนที่ควบคุมไม่ใช่ชนเผ่า แต่เป็นสำนักจากทั้งสามเผ่า

ข้อมูลต่างๆ ที่ทราบจากฟางมู่ผุดขึ้นในความคิดซูหมิง หลายวันต่อมา เขายืนอยู่บนยอดเขา มองไปเบื้องหน้า ยามนี้โพล้เพล้ ห่างไปไม่ไกลมีภูเขาสูงหนึ่งลูก ด้านบนไม่มีต้นไม้ใบหญ้าใดๆ แต่เป็นเมืองภูเขา ทุกส่วนล้วนทำจากหินภูเขา ดูแข็งแกร่งยิ่งนัก เป็นสิ่งที่เมืองหินผาไม่อาจเปรียบได้ และยังเป็นเมืองที่น่าตะลึงที่สุดตั้งแต่เขาเกิดมา

มิเช่นนั้นแล้วสิ่งที่เติบโตไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นจิตวิญญาณของเขา

ซูหมิงไม่ได้เดินทางต่อทันที แต่นั่งขัดสมาธิลง ทุกครั้งที่ลมหุบเขาพัดผ่านจะทำให้เส้นผมปลิวไสว ก่อนมาถึงตรงนี้เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าวิญญาณค้างคาวจันทราจำนวนมากในร่างกายเขาดูร้อนรน ยามนี้นั่งขัดสมาธิหลับตา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงลืมตาขึ้น พบว่าในดวงตาเขามีเงาจันทร์โลหิต

เงาจันทร์โลหิตดูเลือนรางยิ่งนัก ผู้อื่นมองไม่เห็น ทว่ายามนี้ในสายตาซูหมิง ฟ้าดินพลันเปลี่ยน! เขาเห็นบนเมืองภูเขามีหมอกสามก้อนลอยขึ้นแบ่งกันอย่างเห็นได้ชัด หมอกสามก้อนแบ่งเป็นสี แดง ดำ ขาว!

ทว่านอกเมืองเขาหานก็เป็นเช่นนี้ สายตามองทอดไกลออกไป มีสามภูเขาสูงโอบล้อมเมืองแห่งนี้ บนยอดเขาสามลูก มีหมอกสามสีต่างกันลอยอยู่บนอากาศ ลักษณะของมันน่าตะลึงยิ่งนัก ราวกับกลัวว่าผู้อื่นจะไม่ทราบถึงความพิสดารของมัน

ภูเขาสูงทางซ้ายของเมืองภูเขา หมอกเป็นสีแดง เห็นได้รางๆ ว่าภายในหมอกราวกับมีใบหน้าสตรีคนแฝงไว้ด้วยความเย็นชา เมื่อมองไป สภาพจิตใจย่อมสั่นสะท้าน

ทางขวาเมืองเขาหาน เป็นยอดเขาอีกลูกหนึ่ง มันมีหมอกสีขาว มองดูแล้วเหมือนกับหมอกเซียน ขณะรวมตัวกันเผยจิตสังหารขึ้นจากสี่ด้าน ภายในหมอก มีเงาแมงป่องขาวยักษ์ปรากฎเลือนรางเป็นบางครั้ง เห็นได้รางๆ ว่าตรงหางของแมงป่อง ราวกับมีกระดิ่งสีดำ

ยอดเขาลูกสุดท้ายอยู่หลังเมืองเขาหาน เขาลูกนี้มีหมอกดำปกคลุม เผยกลิ่นอายแห่งความตาย ดูมืดครึ้มไร้ที่เปรียบ ภายในหมอกราวกับมีโครงกระดูกสีดำทั้งตัวกำลังนั่งขัดสมาธิ

“หมอกดำคือเผ่าผู่เชียง หมอกแดงคือเผ่าเหยียนฉือ ส่วนสีขาวคือเผ่าบูรพาสงบ!” ซูหมิงพึมพำ เงาจันทร์โลหิตในดวงตาหายไป

แม้ยอดเขาทั้งสามลูกจะโอบล้อมเมืองเขาหาน และดูเหมือนว่าจะอยู่ไม่ไกล ทว่าความจริงแล้วหากเดินแบบคนธรรมดา จำเป็นต้องใช้เวลาหลายวัน

มีโซ่เหล็กสามเส้นค่อนข้างเล็กในระยะสายตา ยืดมาจากเมืองเขาหาน เชื่อมกับทั้งสามชนเผ่า ด้านล่างโซ่เหล็กเป็นเหวลึกหมื่นจั้ง เว้นแต่จะเป็นขั้นชะระล้าง มิเช่นนั้นต้องตายอย่างแน่นอน โซ่เหล็กสามเส้นนี้เหมือนว่าจะอยู่สูงมาก เมื่อลมหุบเขาพัดผ่านเกิดการโคลงเคลง

ไกลออกไปอีก หลังยอดเขาชนเผ่าทั้งสามที่ถูกเชื่อมด้วยโซ่เหล็ก ยังเห็นว่ามีโซ่เหล็กขยายไปยังที่ห่างไกลกว่า เพียงแต่ว่าตรงนั้นมีหมอกปกคลุม มองสุดสายตาเห็นเพียงเลือนรางไม่ชัดเจน

“สามชนเผ่าขยายอำนาจปกครองเมืองเขาหาน เห็นได้ชัดว่าพลังอำนาจนอกจากทำให้ผู้อื่นเกรงกลัวแล้ว ยังดึงดูดผู้แข็งแกร่งจากดินแดนที่เหนือกว่าให้เข้ามา” นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย จ้องยอดเขาหลังเมืองเขาหานที่ถูกโอบล้อมด้วยหมอกดำ ตรงนั้นเป็นของชนเผ่าผู่เชียง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!