Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1172

ตอนที่ 1172 คนรู้ใจ…

เทียบกับหู่จื่อที่เผยความรู้สึกออกมาทั้งหมด กอดซูหมิงร้องไห้โฮ กระทั่งน้ำตาเปียกอาภรณ์ซูหมิงแล้ว ข้างหลังหู่จื่อตอนนี้ ศิษย์พี่รองเดินลงมาจากบนเรือโดดเดี่ยวราวดอกไม้ ใบหน้าเผยรอยยิ้ม ในรอยยิ้มแฝงไว้ด้วยความดีใจและชื่นใจลึกๆ

เขามองซูหมิง มองข้ามใบหน้าแปลกตาไป แต่เหมือนมองวิญญาณเขา

“ไม่เป็นอะไรก็ดี ข้าว่าแล้วศิษย์น้องเล็กแห่งยอดเขาลำดับเก้าของเรา ต่อให้เข้าไปในแดนอันตรายกว่านี้ก็ต้องเกิดเรื่องปาฏิหาริย์เติบโตอย่างรวดเร็วราวกับพืชป่า

อย่าว่าแต่แดนรกร้างต้นกำเนิดจิตอะไรนั่นเลย ถึงจะเป็นแดนที่อันตรายกว่านี้ ขอเพียงเป็นคนจากยอดเขาลำดับเก้าของเราจะต้องมีชีวิตอยู่ได้แน่ ทั้งยังมีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

ต้องพูดว่าบางครั้งข้ายังอิจฉาอาจารย์ของเรามาก อย่ามองว่าขั้นพลังเขาธรรมดาเชียว พรสวรรค์ในการรับศิษย์ของเขา สายตากว้างไกล ใครจะเทียบได้” ศิษย์พี่รองยิ้มเล็กน้อย มือขวาคลี่พัดออก และยังกระแอมไอหลายทีก่อนเงยหน้ามองฟ้าด้วยสีหน้ากำลังครุ่นคิด

สีหน้าแบบนี้ทำให้ศิษย์พี่ใหญ่อึ้งไป

“ก่อนหน้านี้ข้ากับศิษย์พี่รองก็เพิ่งเจอกัน ตอนนี้เขาไม่ใช่คนที่ยามกลางคืนจะเปลี่ยนเป็นอีกนิสัยไปดูแลพืชดอกและคิดว่ามีคนมาขโมยพืชดอกแล้ว แต่มีนิสัยแปลกเพิ่มมาอย่างหนึ่ง เขา…ชอบดื่มด่ำรสชาติในกวี…” หู่จื่อรีบพูดเตือนซูหมิงรวมถึง ศิษย์พี่ใหญ่ด้วยสีหน้าแปลกๆ

“ช่วงเวลาอันงดงาม พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องแห่งยอดเขาลำดับเก้ามาเจอกันอีกครั้ง อ่า ข้าพลันเกิดอารมณ์แต่งบทกวีพอดี เดี๋ยวข้าจะแต่งให้พวกเจ้าแห่งยอดเขาลำดับเก้าสักหนึ่งบท” ศิษย์พี่รองกระแอมไอทีหนึ่ง กวาดสายตามองพวกซูหมิง หลังโบกพัดในมือหลายทีแล้วดวงตาขยับประกาย

หู่จื่อมีสีหน้าขมขื่นทันที มีท่าทีจนปัญญา ศิษย์พี่ใหญ่เองก็รู้สึกไม่ดีเลยถอยหลังไปหลายก้าว

ซูหมิงมองบุคลิกตอนนี้ของศิษย์พี่รอง เขาไม่เคยเห็นศิษย์พี่รองแต่งกวีมาก่อน กระทั่งการแต่งกวีคืออะไรเขายังรู้ไม่แน่ชัด ก็เลยยังทึ่มทื่ออยู่

“อ้า!” ขณะซูหมิงกำลังตั้งใจฟัง ทันใดนั้นศิษย์พี่รองตะโกนเสียงดัง มันทำให้หู่จื่อถอยไปหลายก้าว ศิษย์พี่ใหญ่เผยกลิ่นอายมารออกมานอกร่าง เห็นได้ชัดว่ากำลังตกใจ

ซูหมิงใจเต้นตึกๆ เสียงตะโกนดังขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป ซ้ำยังมีความแหลมเล็ก ทำให้เขาต้องขยายจิตสัมผัสโดยจิตใต้สำนึก…

“อ้า! อ้า! อ้า! ยอดเขาลำดับเก้าอ้า!” ศิษย์พี่รองส่ายหน้าด้วนสีหน้าเคลิ้ม หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง มีท่าทางเหมือนกำลังดื่มด่ำกับบทกวีของตัวเอง

ซูหมิงอึ้งไป ศิษย์พี่ใหญ่ก็อึ้งไปอย่างชัดเจนเช่นกัน หู่จื่อกะพริบตาปริบๆ มีสีหน้าสงสัย

ครั้งนี้ แม้แต่หญิงงามหลายคนที่เดินตามเขาลงมาจากเรือข้างหลัง รวมถึงอาจารย์ของเขาก่อนหน้านี้แต่ต่อมากลายเป็นคนรักของเขาก็ยังลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้ตอบออกไปทันที

“อะแห่มๆ ศิษย์พี่รอง จากนั้นล่ะ?” ซูหมิงกระแอมไอ เขาไม่อยากขัดความเคลิบเคลิ้มของศิษย์พี่รอง แต่ก็อดถามไปมิได้

“อืม? จากนั้นอะไร? ไม่มีแล้ว ข้าแต่งกวีจบแล้ว พวกเจ้าไม่รู้สึกถึงความงามในบทกวีรึ ไม่สัมผัสถึงความรู้สึกที่แฝงอยู่ในบทกวีรึ มองความคิดถึงที่ข้ามีต่อพวกเจ้าและยอดเขาลำดับเก้าในบทกวีไม่ออกจริงๆ หรือ…” ศิษย์พี่รองมีท่าทีเหมือนคนมีชื่อเสียงและฐานะสูงส่ง เขาปลงอนิจจังเล็กน้อย จนปัญญาเล็กน้อย และยังรู้สึกเหงาที่ยากจะหาคนที่เข้าใจในบทกวีเขาอีกเล็กน้อย

ศิษย์พี่ใหญ่เงียบ เขาคลายมือขวาออกและคว้าไปโดยจิตใต้สำนึก ขวานสงครามพลันโผล่ขึ้นมา

หู่จื่อมองซูหมิงแล้วก็มองศิษย์พี่ใหญ่ เขาพลันแสยะยิ้มพลางกำหมัดแน่น

ซูหมิงเงียบ เขายิ้มเฝื่อนมองศิษย์พี่รองดุจดั่งดอกไม้ซึ่งตอนนี้กำลังเคลิบเคลิ้มและมีสีหน้ายั่วยวน เขาพลันรู้สึกว่าศิษย์พี่รองตอนชอบให้แสงตะวันส่องแถบใบหน้า ให้แสงตะวันส่องครึ่งใบหน้า คิดว่าท่าทางนี้สง่างามมาก คิดว่ามีรสชาติของบุรุษมากและยังคิดว่าดึงดูดสายตาเพศตรงข้าม ท่าทางตอนนั้นดูเบากว่าตอนนี้ที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับตัวเองมาก

“เป็นกวีที่ดีมากท่านชาย!”

“ใช่ ในกวีแฝงไว้ด้วยอารมณ์มากมาย มิใช่กวีธรรมดา…”

“ไม่ผิดๆ กวีนี้ควรจะอยู่บนสวรรค์เท่านั้น ในโลกมนุษย์…”

“กวีนี้…” หญิงหลายคนข้างหลังศิษย์พี่รองรีบพูดขึ้น แต่พูดไปพูดมา ด้วยความที่ซูหมิงมองด้วยสายตาประหลาด หญิงหลายคนรวมถึงคนรักงดงามคนนั้นยังอด หน้าแดงขึ้นมามิได้ ซ้ำยังพูดต่อไปไม่ได้

โดยรอบเงียบ…แต่ยามนี้เอง มีแสงสีดำสายหนึ่งบินออกมาจากถุงเก็บวัตถุซูหมิง หลังกลายเป็นกระเรียนขนร่วงแล้ว มันมองศิษย์พี่รองด้วยสีหน้าเคารพ ก่อนตะเบ็งเสียงแหลมและแหบแห้งดังราวกับเสียงเป็ด

“กวีดี เป็นกวีที่ดีมาก หลายปีมาแล้วที่ท่านกระเรียนไม่ได้ยินบทกวีที่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน อ้าคำแรก น่าจะเป็นการมองศิษย์พี่ใหญ่อย่างซึ้งใจ อ้าคำ ที่สอง น่าจะดีใจและตกใจที่ตนคิดบทกวีเช่นนี้ออกมาได้ อ้าคำที่สามเห็นได้ชัดว่า เสียงต่ำลงเล็กน้อย น่าจะรู้สึกว่าหู่จื่อไม่เข้าใจ ส่วนอ้าคำที่สี่ นั่นคือความดีใจที่ได้พบเจ้าซูน้อย

โดยเฉพาะยอดเขาลำดับเก้าอ้า นี่คือสุดยอด มันคือสุดยอด!” กระเรียนขนร่วงตัวสั่น ตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นเต้น

สิ้นคำพูดมัน ซูหมิงยิ้มเฝื่อนมากกว่าเดิม ศิษย์พี่ใหญ่ยกขวานสงครามขึ้นช้าๆ มาเสียดสีกับขาหลายที มีเพียงหู่จื่อที่มองกระเรียนขนร่วงอย่างอึ้งๆ สีหน้าเหมือนกำลังขบคิด คล้ายกับว่า…กำลังตรึกตรองความหมายแฝงในบทกวีอยู่จริงๆ

ศิษย์พี่รองตัวสั่นไปทั่วร่าง เขาเอียงตัวพิจารณากระเรียนขนร่วงอย่างละเอียด ผ่านไปพักใหญ่ก็มีสีหน้าตื่นเต้น

“คนรู้ใจ! นี่ต่างหากคือคนรู้ใจ สหายมีความสามารถด้านกวีสูง นอกจากแซ่ฮวาแล้ว เจ้าเป็นคนที่มีความสามารถด้านกวีสูงที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา…ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าจะช่วยให้ข้านึกออกถึงความหมายแฝงและความงามในบทกวี…

ชีวิตคนเรายากจะพบเจอคนรู้ใจ ไม่ได้การแล้ว วันนี้ข้าต้องทำลายหลักการของข้าที่ต้องแต่งกวีอย่างมากสุดวันละหนึ่งบทไป ข้าต้องแต่งกวีอีกเพื่อเป็นการฉลองที่ได้เจอคนรู้ใจ!” ศิษย์พี่รองกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้นมาก ตั้งแต่ที่เขาเรียนการแต่งกวี ก็คิดมาตลอดว่ามันน่าสนใจกว่าการให้แสงตะวันส่องแถบใบหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังไม่เคยเจอใครที่เป็นคู่ต่อสู้เลยจริงๆ ถึงจะมีน้อยคนมากที่เข้าใจ แต่เขามีความสุขกับตัวเองก็พอใจแล้ว ทว่าในใจก็ยังเสียดายอยู่เล็กน้อย

วันนี้พอได้ยินคำพูดกระเรียนขนร่วง เขาก็ตื่นเต้นขึ้นมา พลันรู้สึกว่าความสามารถในด้านกวีของตนมีฝีมือเพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนอย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้ตัว ขณะดีใจยังรีบเตรียมการอีกครั้ง

“หู่จื่อ ศิษย์น้องเล็ก พวกเราช่วยให้เขาได้สติหน่อยเถอะ ไม่ได้เจอน้องรองมาหลายปี พบหน้ากันก็เอาแต่พูดเอะอะเสียงดัง แต่งกวีรึ ไปแต่งกวีให้บิดาเจ้าเถอะ!” ศิษย์พี่ใหญ่แค่นเสียงหึเย็นชาก่อนเดินเข้าไป หลังศิษย์พี่รองหลับตาเคลิบเคลิ้มเหมือนจะสัมผัสกับบทกวีด้วยความเหนื่อยยาก ตอนที่ลืมตาขึ้นจะกล่าวบางอย่างนั้น ศิษย์พี่ใหญ่เดินเข้ามาถีบเข้าไปทีหนึ่ง

หู่จื่อแสยะยิ้ม เขารีบวิ่งเข้าไปยกเท้าเตะเข้าไปทีหนึ่งพลางกล่าวอธิบาย

“ศิษย์พี่รองจะโทษข้าไม่ได้นะ ข้าเองก็ไม่อยากทุบตีท่านหรอก แต่ศิษย์พี่ใหญ่บอกมา ขะ ข้า….ข้าจะไม่เชื่อฟังไม่ได้ ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ท่านแต่งกวี ใครใช้ให้ท่านแต่งกวีตลอดทางกัน!” หู่จื่อปลดรูดเสื้อขึ้น สีหน้าดูตื่นเต้น

ซูหมิงกะพริบตาปริบๆ มองศิษย์พี่รองร้องโอดครวญด้วยน้ำมือศิษย์พี่ใหญ่กับหู่จื่อ ในใจก็อยากอยู่เหมือนกัน จึงกระแอมไอทีหนึ่งแล้วพูดตามหู่จื่อ

“ศิษย์พี่รอง โทษข้าไม่ได้จริงๆ…” เขาพูดพลางปรี่เข้าไปอย่างเร็วแล้วถีบเข้าไปทีหนึ่ง

“นี่ก็จะโทษข้าไม่ได้เหมือนกันนะศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่ใหญ่สั่งให้ทำ อาจารย์ไม่อยู่ ข้าเลยต้องเชื่อฟังคำพูดเขา”

“อ้า…ต่อให้พวกเจ้าทุบตีข้า ข้าก็จะร้องกวี อ้า…เจ้าขนร่วง อ้า…พวกเราไม่ได้เจอกันนานอ้า…” ศิษย์พี่รองพยายามพูดขึ้นด้วยท่าทางไม่ยอม

กระเรียนขนร่วงตัวสั่นเล็กน้อย มันรีบถอยหลังไปหลายก้าวอย่างเร็วรี่ มองศิษย์พี่ศิษย์น้องสี่คนตรงหน้าอย่างหวาดกลัว พลันรู้สึกว่าตนออกมาจากถุงเก็บวัตถุแบบนี้อันตรายมาก โดยเฉพาะได้ยินศิษย์พี่รองยังคงท่องกวี มันจึงถอยไปอีกหลายก้าว แต่ก็รู้สึกว่าแบบนี้เหมือนจะยังเกี่ยวข้องอยู่ ดังนั้นมันจึงยกกงเล็บขวาขึ้นขยับไหวกลายเป็นพัดอันหนึ่ง แล้วรีบวิ่งไปทางพวกซูหมิง คอยพัดให้อยู่รอบๆ

“พวกท่านทุกคน เชิญทุบตีตามสบาย ข้าน้อยจะคอยพัดให้พวกท่านหายเหนื่อยกันบ้าง หืม เท้าของท่านหู่คมกริบจริงๆ วาดเท้าออกเป็นสายรุ้งยาวสะเทือนฟ้าดิน อู้ ของศิษย์พี่ใหญ่ก็ชกหมัดนี้ได้ดี ดูดุดันสมวีรบุรุษ มิใช่ธรรมดาเลย โอ้ย สุดยอด ดรรชนีของท่านซูก็สะเทือนฟ้า ความเลิศล้ำและท่วงท่าของดรรชนีมากพอจะทำให้ผู้ฝึกฌานคนอื่นเรียนรู้เป็นหมื่นปีก็ยังได้แค่พื้นฐาน…”

ครึ่งก้านธูปต่อมา…

ที่นี่มีโต๊ะยาวเพิ่มมาตัวหนึ่ง พวกซูหมิงสี่คนนั่งอยู่ตรงนั้น กระเรียนขนร่วงคอยรินสุราอย่างแข็งขันด้วยท่าทีประจบอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะศิษย์พี่รองที่หน้าปูดหน้าเขียวเหมือนจะเสียโฉม เขาทำให้กระเรียนขนร่วงเกิดความกังวลในใจ พอรินเสร็จแล้วก็รีบกลับไปอยู่ข้างหลังซูหมิง ก่อนเขย่าตัวกลายเป็นแมวน้อยสีดำตัวหนึ่ง ทำท่าทางน่ารักมาเลี่ยงศิษย์พี่รอง

“ให้พวกเจ้าทุบตีไปรอบหนึ่งแล้วก็ได้สติขึ้นมาไม่น้อย ข้าจะไม่แต่งกวีแล้ว ศิษย์น้องเล็ก เจ้าออกมาจากแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตได้ ศิษย์พี่ดีใจมาก พวกเรามาดื่มกันเถอะ!” ศิษย์พี่รองเผยรอยยิ้มอบอุ่นโดยไม่สนใจหน้าปูดเขียวตอนนี้ แต่ยกแก้วสุราขึ้นมาดื่มไปอึกใหญ่

ตอนที่ดื่มลงไป ใบหน้าศิษย์พี่รองยังเกิดการกระตุก เขาจึงยกมือขวาขึ้นตบบน หัวตัวเองทีหนึ่ง พลันมีควันดำลอยขึ้นมาและหายไปในพริบตา จากนั้นใบหน้า เขากลับมาเป็นปกติ เขายิ้มมองซูหมิง มองหู่จื่อ มองศิษย์พี่ใหญ่ ก่อนพลันยกมือซ้ายโบกไปข้างหลัง หญิงงามหลายคนต่างเดินเข้ามา ประสานมุทราด้วยสองมือ ผลักออกไป กลายเป็นแสงสีขาวหลายสายรวมอยู่ตรงหัวศิษย์พี่รอง กลายเป็นลำแสงคล้ายดวงตะวันส่องสะท้อนแถบใบหน้าเขา

ศิษย์พี่รองเงยหน้าขึ้นยิ้มมองทุกคน

“พวกเจ้าคิดว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

ศิษย์พี่ใหญ่ถอนหายใจยาว เขาตบบนไหสุราทีหนึ่ง น้ำสุราในนั้นถูกดื่มไปจนเกลี้ยง หู่จื่อก็ขยี้ตาด้วยความอึ้ง สีหน้าดูเคารพเลื่อมใส เขาเลื่อมใสความคิดเหล่านี้ของ ศิษย์พี่รองว่ามันมหัศจรรย์จริงๆ

ซูหมิงหัวเราะ เสียงหัวเราะในวันนี้มากกว่าพันกว่าปีรวมกันก่อนหน้านี้อีก ขณะกำลังจะพูดอะไรบางอย่างเขากลับหน้าเปลี่ยนสี นัยน์ตามีประกายวาววูบผ่านแล้วมองไปทางตะวันออก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!