Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1181

ตอนที่ 1181 วิหารเหล่าเทพ 3

ยันต์กดตะวัน หนึ่งในสามสุดยอดแดนลับโลกแท้จริงดาราสัจธรรม ทัดเทียมกับวงแหวนอาคมธูปสวรรค์และแดนมรณะหยินในด้านความลับ ไม่มีใครรู้ที่มาของมัน มันมีอยู่แล้วตอนกำเนิดโลกแท้จริงดาราสัจธรรมเหมือนกับวงแหวนอาคมธูปสวรรค์

ไม่รู้กี่ปีมานี้ ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกฌานเท่าไรมาที่นี่ หมายจะศึกษายันต์กดตะวัน กระทั่งยังหวังว่าจะเก็บยันต์นี้ไว้เป็นของตัวเอง แต่เรื่องนี้ยังไม่เคยมีใครทำสำเร็จ ผู้ฝึกฌานมาแต่ละระลอกและจากไปทีละระลอก แต่ยันต์นี้ก็ยังอยู่ในฟ้ากระจ่างดาว ไม่มีสิ้นสุดราวนิจนิรันดร์ มันเป็นประจักษ์พยานว่าโลกแท้จริงดาราสัจธรรมเดินไปถึงจุดสูงสุด และก็เห็นว่าจากจุดสูงสุดค่อยๆ กลับมาเป็นความว่างเปล่าอย่างตอนนี้ อีกทั้งมันยังลอยอยู่แบบนี้เงียบๆ มาตลอด ราวกับว่าต่อให้ผ่านไปล้านปีก็ยังเป็นเช่นนี้

เทียบกับน้ำวนแห่งแดนมรณะหยินที่ห้ามคนเป็นเข้าไปแล้ว ยันต์กดตะวันนี้ประหนึ่งเปิดประตูกว้าง ผู้ฝึกฌานเข้ามาได้ตามใจชอบ และเมื่อเทียบกับพลังประหลาดของวงแหวนอาคมธูปสวรรค์ที่ให้ร่างแยกเป็นอิสระ ให้ผู้ฝึกฌานที่มาหลงใหลในการทะลวงขั้นพลังปลอมๆ จนถอนตัวไม่ได้ จากนั้นวิญญาณจะบาดเจ็บ กระทั่งหากไม่ระวังก็มีโอกาสจะออกมาไม่ได้อีกแล้ว ยันต์กดตะวันนุ่มนวลกว่ามาก

ผู้ฝึกฌานมาได้และก็ออกไปได้ตามสบาย ที่นี่จะไม่ทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต เพียงแต่…หากเข้าไปในโลกมืดมิด พลังจะถูกยับยั้ง จิตสัมผัสจะถูกจำกัดไว้ในร่างกายไม่ให้ขยายออก ทำให้ผู้ฝึกฌานที่นี่กลายเป็นคนธรรมดา ทำให้คนที่ลืมตามองโลกนี้ได้เป็นคนตาบอด คล้ายกับว่านี่คือผลเพียงอย่างเดียวของยันต์กดตะวัน

ดังนั้นไม่รู้กี่ปีมาแล้วในโลกแท้จริงดาราสัจธรรม คนที่มายันต์กดตะวันจึงเยอะที่สุดและปลอดภัยที่สุดเมื่อเทียบกับวงแหวนอาคมธูปสวรรค์และแดนมรณะหยิน ทว่าเงื่อนไขคือ…จะต้องไม่มีการต่อสู้ระหว่างกันและกัน

ความจริงก็เป็นเช่นนี้จริงๆ หลายปีมาแล้วในโลกมืดมิดของยันต์กดตะวัน จำนวน คนตายก็ไม่ได้น้อยมาก แต่มั่นใจได้ว่าทุกคนที่ตายมิใช่ถูกพลังประหลาดของยันต์กดตะวันสังหาร แต่ถูกคนที่เข้ามาด้วยสังหาร อาศัยความประหลาดของที่นี่ลงมือตามเป้าหมายบางอย่าง

ตอนนี้ร่างแยกกลืนนภาของซูหมิงก็เป็นเช่นนี้

ซูหมิงยืนอยู่บนตัวย่วนเว่ย เมื่อย่วนเว่ยเข้ามาในโลกมืดมิด ซูหมิงพลันสัมผัสได้ว่าจิตสัมผัสตนถูกแรงกดดันแกร่งกล้าบีบอัดเอาไว้ พริบตาเดียวก็ถูกดีดเข้าไปในร่างกาย ทำได้เพียงแผ่ขยายบนผิวหนัง แต่ให้ออกจากร่างไม่ได้

เมื่อใช้จิตสัมผัสไม่ได้ สำหรับผู้ฝึกฌานแล้ว นี่เท่ากับว่าเสียดวงตาไปข้างหนึ่ง และที่นี่ไม่มีแสงสว่างอีก แต่มืดทึบ ความมืดแบบนี้ ถึงจะรวมพลังไว้ที่ดวงตาก็ยังมองเห็นความมืดไม่ชัด นี่คือการเสียดวงตาไปอีกข้างหนึ่ง เมื่ออยู่ที่นี่จะกลายเป็น คนตาบอด

ขณะเดียวกันพลังซูหมิงยังถูกยับยั้งอย่างเด่นชัดในพริบตาที่เข้ามาในโลกมืดมิด การยับยั้งนี้เบาบาง แต่เด่นชัดยิ่ง ทำให้พลังเขาจากขั้นชะตาเหลืออยู่ขั้นกุม อีกทั้งดูจากท่าทางแล้ว เหมือนว่ายิ่งเข้าใกล้ใจกลางโลกมากเท่าไร การยับยั้งพลังจะยิ่งแกร่งมากเท่านั้น

ซูหมิงยิ้มเยาะมุมปาก เขาให้ย่วนเว่ยห้อเหยียดเดินหน้าไปอย่างไม่ลังเล เขาไม่ต้องตามหาร่างแยกกลืนนภา เพราะเขาเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องมาหาเองแน่

อีกทั้งต่อให้อีกฝ่ายไม่มา เขาก็มวิธีหาร่างแยกกลืนนภาเหมือนกัน

เพราะโลกยันต์กดตะวันนี้ก็เป็นจุดที่เขาหวังให้ร่างแยกกลืนนภามาเหมือนกัน ความจริงขณะไล่ล่าก่อนหน้านี้ ร่างแยกกลืนนภาเป็นเหมือนเหยื่อสำหรับซูหมิง ภายใต้การใช้จิตวิทยาอันชาญฉลาดและการไล่ล่าแล้ว อีกฝ่ายจึงต้องมาที่นี่ เพราะนี่เป็นทางเลือกเดียว

ระหว่างทางซูหมิงมีสีหน้าปกติ แม้จะมองไม่เห็นรอบตัว แต่ย่วนเว่ยใต้ร่างเหมือนจะคุ้นเคยกับความมืดมาก ขณะเดินหน้าไปยังไม่รู้สึกไม่ชินแม้แต่น้อย จุดนี้ซูหมิงก็คาดเดาไว้ก่อนแล้ว ถึงอย่างไรย่วนเว่ยก็มาจากในมวลอากาศเคลื่อนย้ายของทะเลดาราต้นกำเนิดจิต แม้ที่นั่นจะมีสีสันหลากสี แต่ความจริงแล้วมืดมิดตลอดปีมากกว่า

ย่วนเว่ยที่อาศัยอยู่ที่นั่นย่อมคุ้นเคยกับความมืดโดยธรรมชาติมากกว่าคนปกติมาก นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ซูหมิงเลือกที่นี่ โดยเฉพาะด้วยความสัมพันธ์กับย่วนเว่ย ตอนที่เขาหลับตาลงและจิตใจสัมผัสกับย่วนเว่ยแล้ว เขาสามารถใช้ดวงตาของมันมองในโลกมืดมิด เห็นในสิ่งที่ผู้ฝึกฌานส่วนใหญ่มองไม่เห็น

นั่นคือโลกสีเทา นอกจากสีเทาแล้วก็ไม่มีสีใดอีก รอบๆ เป็นพื้นที่กว้างโล่ง มีเพียงตรงหน้าที่มีม่านแสงสีเทายักษ์กลุ่มหนึ่งขยับไหวอย่างต่อเนื่อง ราวกับเพลิงเทียน

ซูหมิงใช้ดวงตาย่วนเว่ยมองไปรอบๆ เขาไม่เห็นร่างเงาร่างแยกกลืนนภา ทว่าโลกมืดมิดนี้ใหญ่เกินไป ดังนั้นหาไม่พบในพื้นที่เล็กก็ไม่แปลก

ทว่าดวงตาที่ปิดลงของซูหมิงสั่นไหวเล็กน้อย ถึงจะไม่ได้ลืมตา แต่กลับยกมือขวากำหมัดไปข้างหน้า

‘ไม่ว่าเจ้าจะอยากอยู่ที่นี่หรือไม่ แต่ในเมื่อมาแล้วก็อย่าออกไปอีก’ ซูหมิงมีสีหน้าโอหัง นั่นคือความมั่นใจที่ทุกอย่างอยู่ในมือตน

ขณะเดียวกับที่ซูหมิงกำหมัดขวา อีกด้านหนึ่ง ร่างแยกกลืนนภากำลังห้อเหยียดพุ่งออกจากโลกมืดมิด หลังออกจากโลกสีดำแล้ว ตรงหน้าเขาสว่างขึ้น มองเห็นผืนฟ้า ก่อนหันหน้าไปยิ้มเยาะมุมปากด้วยความลำพองใจ

‘เจ้าคือร่างจริง นิสัยและจิตสำนึกข้าได้รับจากเจ้าไม่น้อย ดังนั้นในเมื่อเจ้ามีวิธีตามหาข้า เช่นนั้นข้าก็จะใช้มันวางแผนต่อเจ้าเช่นกัน ตอนถูกเจ้าล่าสังหาร ข้านึกถึงสถานที่หนึ่งที่จำกัดเจ้าได้และยังกินเจ้าด้วยได้โดยจิตใต้สำนึก ดังนั้นข้าเลยเลือกที่นี่

แต่ว่านี่เป็นการแสดงหลอกๆ หึ ข้าล่อเจ้ามาที่นี่ แล้วข้าก็ออกไป เจ้าจงอยู่ในโลกมืดมิดไปเถอะ ซูหมิง เจ้าเชื่อมั่นในความคิดตัวเองต่อไปว่าข้าจะต้องลงมือก่อนแน่ รอจนเจ้าพบความผิดปกติ ข้าก็ออกจากโลกแท้จริงดาราสัจธรรมไปแล้ว!’

ร่างแยกกลืนนภาแค่นเสียงหึเย็นชาพลางขยับวูบไหวตัว ขณะกำลังจะออกไปจากที่นี่นั้น พลันเกิดเสียงอื้ออึงดังก้องจักรวาล ตอนนี้เองร่างแยกกลืนนภาที่กำลังห้อเหยียดหน้าเปลี่ยนสีและหยุดชะงัก

เขาหน้ามืดทะมึนถึงขีดสุด ร่างไม่เดินหน้าแต่ถอยหลังอย่างรวดเร็ว เพราะเขาเห็นว่าตรงหน้ามีระลอกคลื่นสีขาวราวคลื่นยักษ์กำลังถาโถมเข้ามา ดูจากท่าทางแล้วนี่เป็นเพียงส่วนเล็กของคลื่นเท่านั้น ระดับพื้นที่ปกคลุมของมันคือทั้งเขตยันต์กดตะวัน!

ระลอกคลื่นนี้คือสมบัติล้ำค่าแหวนของซูหมิง ช่วงที่เข้ามาที่นี่เขาก็ได้ส่งสมบัติ ล้ำค่านี้ออกมา ให้มันลอยอยู่ข้างบนและขยายใหญ่ไม่หยุด จนกระทั่งปกคลุมพื้นที่ยันต์กดตะวันทั้งหมดแล้วก็กลายเป็นระลอกคลื่นผนึกเอาไว้ ก่อนเริ่มหดตัวกลับมา

ดังนั้นแล้วที่เท่ากับว่าเปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นคุกอย่างแท้จริง หากร่างแยกกลืนนภาฝ่าออกไป ภายใต้แรงกดดันจากสมบัติล้ำค่า เกรงว่าคงจะถูกผนึกอยู่ภายในทันที นี่บีบให้เขาต้องถอย ต้องกลับเข้าไปในโลกมืดมิดของยันต์กดตะวันอีกครั้ง

“สมควรตาย!” ร่างแยกกลืนนภามีสีหน้าลนลานเป็นครั้งแรก เขาคิดว่าตนคาดการณ์ถึงผลสุดท้ายแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ยังพบว่าแผนการของซูหมิงมักจะนำหน้าเขาหนึ่งก้าวเสมอ ทำให้เขาถูกสกัดกั้นจนถึงทางตัน

‘ในเมื่อเจ้าอยากตาย ข้าจะช่วยเจ้าอย่างเต็มที่เอง!’ ร่างแยกกลืนนภาไม่มีวิธีอื่นแล้ว เขาจึงกัดฟันเผยสีหน้าคลุ้มคลั้ง ในโลกมืดมิดนี้ แม้จะถูกยับยั้งพลัง แม้จะขยาย จิตสัมผัสไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นพลังหรือจิตสัมผัส สำหรับร่างแยกกลืนนภาแล้วคือ สิ่งภายนอก สิ่งที่เขาแกร่งจริงๆ คือร่างกาย

เขาพุ่งเข้าไปในโลกมืดมิด ตามหาไปรอบๆ ด้วยจิตสังหารและความบ้าคลั่ง

ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง เขาอาศัยดวงตาย่วนเว่ยมองผืนฟ้าสีเทาในโลกมืดมิด ปล่อยให้ย่วนเว่ยห้อวิ่งไป เวลาผ่านไปทีละนิด ยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมากเท่าไร พลังเขายิ่งถูกยับยั้งมากเท่านั้น ตอนนี้จะถูกกำราบจากขั้นกุมลงไปภัยพิบัติตะวันแล้ว

ตอนนี้เอง พลันปรากฏร่างเงาหนึ่งในสายตาเขาภายในโลกสีเทา ร่างเงานี้ร่างออกมาจากเส้นนับไม่ถ้วน แผ่กลิ่นอายพลังที่ต่างกับโลกนี้อย่างสิ้นเชิง แทบเป็นทันทีที่กลิ่นอายพลังแผ่มาก็ถูกสีเทารอบๆ กินไปทันที

ร่างเงานี้ ถึงจะเป็นเพียงเค้าโครง แต่ซูหมิงมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าคือร่างแยกกลืนนภา เขาไม่เห็นสีหน้าอีกฝ่าย แต่ตอนที่มองเส้นเหล่านั้นจากเค้าโครงอีกฝ่ายในโลกสีเทา เขารู้สึกถึงความหัวแข็งเข้มข้นจากในเส้นเหล่านั้น

เขาเห็นว่าเดิมทีร่างแยกกลืนนภามุ่งหน้าไปอีกทาง แต่พลันหยุดชะงัก แล้วมองมาทางตน ภาพนี้ทำให้ซูหมิงใจสั่นไหว

‘มีไหวพริบดี นี่น่าจะเป็นเพราะในจิตสำนึกที่เขาได้รับมาปลุกไหวพริบของหงส์งูเพลิง ดังนั้นต่อให้อยู่ในที่มืดก็ยังรู้สึกถึงข้ารางๆ’ ซูหมิงเข้าใจ ตอนนี้เอง ร่างแยกกลืนนภาในสายตาเขาพุ่งเข้ามาหาอย่างเงียบเชียบ และยังยกมือขวาขึ้นรวมพลังเพื่อใช้กระบวนท่าสังหารในครั้งเดียว

‘ถึงจะใช้ร่างกายเป็นหลัก แต่ก็ยังถูกจำกัดที่นี่ ดูจากเวลาในการรวมพลังแล้ว น่าจะถูกลดมาเหลือขั้นกุม’ ซูหมิงยิ้มเยาะมุมปาก สายตามองร่างแยกกลืนนภาเข้ามาอย่างรวดเร็ว ดวงตาสองข้างวาววับ ก่อนยกเท้าขวาเดินออกจากตัวย่วนเว่ย พริบตาเดียวก็มาอยู่ตรงหน้าร่างแยกกลืนนภา ร่างแยกกลืนนภาพลันหน้าเปลี่ยนสี เห็นได้ชัดว่าสังเกตเห็นจึงคิดจะถอยแต่ก็ช้าไปแล้ว ซูหมิงคว้ามือขวาเข้ามาโดยพลัน ร่างแยกกลืนนภาร้องคำรามเสียงต่ำทีหนึ่งก่อนยกมือขวาขึ้น รวมพลังทั่วร่างไปที่หมัดก่อนชกใส่มือขวาซูหมิงที่คว้ามา

ระหว่างที่เกิดเสียงดังสนั่นในโลกมืดมิด ซูหมิงแค่นเสียงหึเย็นชา เขาไม่ถอยแต่บุกเข้าไป ส่วนร่างแยกกลืนนภาหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง เขากระอักเลือดพร้อมกระเด็นถอยไปอย่างรวดเร็ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!