ตอนที่ 1184 หากข้าปราถนาในชีวิต ก็มีแต่ต้องยึดชีวิต
“สี่ปี….” ในแดนหมอกกว้างใหญ่ไม่มีสุดเขต มองไปไม่เห็นสุดปลาย ความชื้นรอบๆ และยังมีเสียงหยดน้ำเดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกลดังแว่วมาคอยอยู่เป็นเพื่อซูหมิงในที่ประหลาดแห่งนี้มาสี่ปีแล้ว
หมอกที่นี่แบ่งเป็นสีต่างกัน บ้างเปลี่ยนแปลง บ้างตัดสลับกัน….
ยามนี้กลางหมอกสีม่วงมีร่างเงาหนึ่งกำลังเดินกะเผลก เทียบจังหวะก้าวแล้ว ช้ามาก ราวกับว่าทุกก้าวร่างกายเขาจะต้องเจ็บปวดอย่างสาหัส จนกระทั่งผ่านไป ครู่หนึ่ง ร่างเงานั้นถึงเผยตัวมาจากหมอกสีม่วง
เป็นร่างเงาเส้นผมขาว รอยย่นเต็มใบหน้า ดูแล้วเหมือนเพิ่งคลานออกมาจากหลุมศพ ร่างกายอ่อนแอ ไม่มีระลอกคลื่นพลังใดๆ ดุจดั่งคนธรรมดา
หากไม่ใช่เพราะความยึดมั่นในดวงตารวมถึงใบหน้าแก่ชราที่มองออกว่าเป็น ซูหมิงแล้ว คงไม่มีใครจินตนาการได้ว่าชายชราที่เหมือนเพียงลมพัดก็จะล้มลงคนนี้คือ…ซูหมิงที่ถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่เมื่อสี่ปีก่อน
ซูหมิงหอบหายใจแรง เขาเดินออกจากหมอกมาช้าๆ ทว่าทันทีที่เดินออกมา กลับมีสายรุ้งยาวสายหนึ่งพุ่งออกมาจากในหมอกม่วงเข้ามาหาเขาในพริบตา ทะลวงผ่านร่างกาย ก่อนผ่านไปพร้อมโลหิตเกือบสีดำสาดลงพื้น ส่งเสียงดังซ่าๆ สิ่งที่ทะลวงผ่านร่างเขาคือปลาบินตัวหนึ่ง
ทันทีที่ปลาบินตัวนี้ทะลวงผ่านร่างก็หลอมรวมกับโลหิตสีดำที่ไหลมาจากตัวเขา ซูหมิงขาสั่น ก่อนล้มลงแน่นิ่งไป
เวลาผ่านไปช้าๆ จนกระทั่งครึ่งก้านธูปต่อมา หมอกม่วงค่อยๆ เกิดเค้าลางจะเปลี่ยนสี ตอนที่เกิดเป็นสีแดงทีละน้อยนั้น ทันใดนั้นมีร่างเงาอีกหนึ่งร่างบินออกมา นั่นคือสุนัขป่าที่ทั่วร่างพ่นเปลวเพลิง
สุนัขป่าตัวนี้มีหกดวงตา ตอนนี้ดวงตาทั้งหมดล้วนขยับประกายวาว มันพุ่งเข้ามาใกล้ซูหมิงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่เข้าใกล้ทันที เพียงแค่วนอยู่หลายรอบ อีกทั้งยังเงยหน้ามองหมอกที่กำลังจะเปลี่ยนสีเป็นบางครั้ง พอเห็นว่าหมอกจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ดวงตาหกดวงของมันเกิดความลังเล ก่อนพลันก้มหน้าลงกัดเข้าที่คอซูหมิงทีหนึ่ง
แต่ทันทีที่มันอ้าปากจะงับนั้น ร่างซูหมิงที่แน่นิ่งพลันยกมือขวาขึ้นชกหมัดด้วยความเร็วสูงใส่ปากใหญ่ที่กำลังอ้ากว้างของสุนัขป่า อีกทั้งยังจับลิ้นมันกระชากออกอย่างคล่องแคล่วเหมือนทำแบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งในสี่ปี ขณะเดียวกันยังยืนขึ้นเอาร่างชนสุนัขป่า ส่วนมือซ้ายบีบคอมันเอาไว้แล้วผลักไปอย่างเร็วไว ช่วงที่หมอกข้างหลังเปลี่ยนจากสีม่วงเป็นสีแดง เขาผลักสุนัขป่าไกลออกไปจนหายไปแล้ว
ห่างจากที่นี่ไปราวหมื่นลี้ มีภูเขาสีดำทึบลูกหนึ่ง มันเป็นภูเขาหัวโล้นไม่มีพืชใดๆ ตรงกลางเขามีถ้ำที่ถูกเปิดเอาไว้แห่งหนึ่ง นอกถ้ำมีสายรุ้งยาวขยับวูบวาบ ซูหมิงจับสุนัขป่ามาปรากฏอยู่นอกถ้ำ แทบเป็นทันทีที่เขาปรากฏกาย หมอกที่อยู่ไกลออกไปไม่เพียงแต่เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างสมบูรณ์ แต่ยังมีคลื่นความร้อนไม่อาจบรรยายปะทุขึ้น จุดที่มันผ่านแผ่นดินจะหลอมละลายในทันใดและหายไปทั้งหมด เห็นได้ว่าในพื้นที่นี้ยังมีสุนัขป่าอีกหลายตัวกำลังหนีอย่างว่องไว แต่พริบตาเดียวก็ถูกคลื่นความร้อนกินไปกลายเป็นเถ้าธุลี
ซูหมิงเดินเข้าไปในถ้ำอย่างไม่ลังเล ทันใดนั้นเกิดเสียงโครมดังขึ้น คลื่นความร้อนถาโถมเข้ามาปะทะกับยอดเขาสีดำ จังหวะที่แรงมหาศาลเข้ามาในถ้ำและจะปะทะกับซูหมิงนั้น เขาห้อวิ่งเข้าไปข้างในจนหลบมาได้อย่างหวุดหวิด ก่อนเข้าไปถึงส่วนลึกของถ้ำภูเขา
นัยน์ตาเขาฉายแววมืดทะมึน เขาหันมองไปมองข้างหลังแวบหนึ่งแล้วยกสุนัขป่าที่ตายไปแล้วขึ้นแล้วกัดเข้าที่คอมัน ดื่มโลหิตมันไปคำใหญ่ โลหิตไหลผ่านมุมปาก สีของเลือดนั้นเป็นสีทองอ่อน!
เมื่อกินโลหิตแล้ว รอยย่นบนใบหน้าเขาค่อยๆ หายไป เส้นผมเปลี่ยนไป จนดื่มโลหิตสุนัขป่าหมดทั้งตัวแล้ว รูปลักษณ์เขาเปลี่ยนไปมาก ดูคล้ายกับเมื่อสี่ปีก่อน แต่กลับมีแรงกดดันที่บอกไม่ถูกเพิ่มมารางๆ แรงกดดันไม่ได้มาจากสีหน้า แต่มาจากสายเลือดและกลิ่นอายพลังเขา
ซูหมิงโยนศพสุนัขป่าไว้ข้างๆ โยนมันไปกลางกองกระดูกสูงภายในถ้ำ กองกระดูกนั้นมีจำนวนมากหลายพัน อยู่กันแน่นขนัด ดูแล้วน่าสยดสยองยิ่ง
‘สี่ปี…วิหารเหล่าเทพสมควรตาย มันขังข้ามาสี่ปีเต็ม!’ ซูหมิงเช็ดคราบโลหิตตรงมุมปากแล้วนั่งขัดสมาธิลงข้างๆ สายตามองฟ้าข้างนอกผ่านปากถ้ำ ฟ้าเป็นสีแดง ตรงนั้นมีคลื่นความร้อนที่แม้แต่เขายังถูกเผาไหม้ในพริบตาอยู่
คลื่นความร้อนนี้เหนือกว่าเตาหลอมลำดับห้า เหนือกว่าพลังทำลายล้างทุกอย่างที่เขาเคยพบมา
‘วิหารเหล่าเทพ ไม่อยากเชื่อว่าวิหารเหล่าเทพหนึ่งในสามสุดยอดความลับในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตจะเชื่อมกับยันต์กดตะวัน พวกมันคือสิ่งเดียวกัน!
ในตำนานจากชนเผ่าพวกนั้นในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตกล่าวว่ามันเป็นแดน ต้นกำเนิดของเหล่าเทพ เป็นต้นกำเนิดของบรรพชนวิญญาณ…’ ซูหมิงมีสีหน้า มืดทะมึน สายตามองฉากฟ้าสีแดงฉานนอกถ้ำ ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นทุกอย่างที่เขาประสบมาสี่ปี
จากเมื่อสี่ปีก่อนที่ถูกส่งเข้ามา เขาตามหาทางออกไม่หยุดหย่อน เจอกับการเปลี่ยนแปลงของหมอก เจอกับสีแดงน่าสะพรึงนั่น เจอกับคลื่นความร้อนที่เผาเขาได้จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดที่นี่
เขายังพบอีกว่าที่นี่ แม้พลังเขาจะฟื้นกลับมา แต่กลับไม่ได้รับการเติมเต็มใดๆ เลย ทุกครั้งที่เสียไปก็จะเสียไปตลอดกาล หากพลังหายไปหมดแล้วยังหาทางออกไม่ได้ ก็คงมีโอกาสสูงมากที่เขาจะตายที่นี่
นี่ยิ่งทำให้เขาไม่กล้าใช้ของวิเศษง่ายๆ โดยเฉพาะแหวนสีขาว ในแดนประหลาดที่หากใช้พลังแล้วจะฟื้นกลับมาไม่ได้นี้ เขาคิดว่าการเก็บพลังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
ระหว่างที่ภาพต่างๆ ในสี่ปีนี้ลอยขึ้นมาในความคิด เขาพลันหรี่ตาลง กลิ่นอายพลังทั่วร่างหายไปในทันใด กลิ่นอายมรณะอบอวลรอบตัวเขา ดวงตาเขาจ้องร่างเงา สีทองอ่อนจำนวนหนึ่งกำลังตรงเข้ามาจากบนฟ้าสีแดงฉานที่เห็นได้จากนอกถ้ำ เห็นได้ว่าร่างเงาเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นร่างคน แต่ก็มีไม่น้อยที่คล้ายสัตว์ ตอนที่พวกมันบินผ่านฟ้า จะส่งเสียงเล็กแหลมที่ทำให้วิญญาณคนเกิดความเจ็บปวด
“ฟ้าดินเกิดก่อน เดรัจฉานเกิดหลัง…”
“ฟ้าดินคือผู้คงอยู่ยาวนาน ด้วยความที่มันไม่เกิดขึ้นเอง ดังนั้นจึงเติบโตได้ หากข้าปรารถนาในชีวิต ก็มีแต่ต้องยึดชีวิต…”
“เทพบรรพชนอยู่ข้างหน้า บรรพชนวิญญาณอยู่ข้างหลัง บรรพชนนี้ยังอยู่ก่อนหน้าจักรวาล ด้วยเหตุนี้จึงเป็นผู้มีชีวิตที่ต้องทำลายชีวิต…” ในเสียงแหลมยังมีเสียงพึมพำปะปนดังก้องไม่หยุดอยู่ด้วย
ซูหมิงจ้องร่างเงากลางฟ้าสีแดงฉานเหล่านั้นตาเขม็งพลางฟังเสียงพึมพำที่ไม่เข้าใจ มือขวากำหมัดแน่นและแน่นิ่ง เขาไม่มีวันลืมร่างเงาเหล่านั้น ตอนนั้นเป็นเดือนที่สามหลังเข้ามาที่นี่ ตอนที่เห็นร่างเงานี้ครั้งแรกก็เจอกับตัวประหลาดที่เมินเฉินต่ออภินิหารและพลังทั้งหมด เขาถูกสูบพลังชีวิตไปเกือบหมด บีบให้ต้องใช้สมบัติล้ำค่าแหวนอย่างไม่เสียดายถึงระเบิดร่างอีกฝ่ายได้
แต่เขานึกไม่ถึงว่าหลังร่างระเบิดแล้ว จะมีตัวประหลาดแบบนี้อีกเป็นพันเป็นหมื่นตนบินออกมาจากในวิหารใหญ่ที่ปรากฏอย่างกะทันหันกลางฟ้าสีแดงฉาน ก่อนเริ่ม ล่าสังหารซูหมิงอย่างบ้าคลั่งในโลกประหลาดนี้
ขณะถูกล่าสังหารอย่างต่อเนื่อง ร่างกายซูหมิงอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนกระทั่งพลังชีวิตเขาจะมอดดับ ฟ้าสีแดงฉานหายไป หมอกกลายเป็นสีขาว ตอนนั้นเองสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ล่าสังหารเขาพลันหายวับไป
ทุกอย่างกลับมาดังเดิม
ดวงตาซูหมิงเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ภาพตลอดสี่ปีจบลงในความคิด เขามองร่างเงาเหล่านั้นกลางฟ้านอกถ้ำ ผ่านไปพักใหญ่ก็เบนสายตาไปมองกองกระดูก สัตว์ร้ายเหล่านั้น
หากไม่ใช่เพราะเขาพบว่ามีสัตว์ร้ายที่มีเลือดเนื้อมหัศจรรย์อยู่จำนวนหนึ่งโดยบังเอิญ ที่ว่าหากกินโลหิตพวกมันแล้วจะฟื้นพลังชีวิตกับพลังกลับมาเล็กน้อยล่ะก็ เกรงว่าเขาคงยากจะยืนหยัดต่อไปไหว
‘ทว่าสัตว์เหล่านี้ล้วนเจ้าเล่ห์ยิ่ง ต่างมีสติปัญญากัน การจะสังหารพวกมันต้องโจมตีในทีเดียว มิเช่นนั้นต่อให้ฆ่ามันได้ก็ไม่ได้มาไม่เท่ากับที่เสียไป’ ซูหมิงยกมือขวาขึ้นคลำแผลตรงหน้าอกเงียบๆ โลหิตตรงนั้นเป็นสีดำ ซึ่งนี่คือพิษชนิดหนึ่งที่เกิดจากการที่เขาสังหารสัตว์ร้ายจำนวนมากและดื่มเลือดพวกมัน
พิษชนิดนี้ลามไปทั่วร่างเขาแล้ว แต่หากไม่กิน พลังและพลังชีวิตที่หายไปก็จะไม่ได้รับการเติมเต็ม เรื่องนี้…เลือกยากทั้งสองทาง ตอนนั้นหลังเขาตรึกตรองแล้วก็เลือกกิน
ถึงโลหิตจะกลายเป็นสีดำ แต่ขณะเดียวกัน จากการสูบโลหิตสัตว์ร้ายมาสี่ปี ร่างกายเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างประหลาดขึ้น อย่างเช่นตรงหน้าอก บาดแผลที่ถูกทะลวงก่อนหน้านี้สมานรวมกันจนหมดโดยที่เขาไม่ต้องใช้พลังใดๆ เลย
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ สีแดงฉานจากโลกข้างนอกคงอยู่มาเจ็ดวันเต็มแล้วถึงค่อยๆ หายไปกลายเป็นสีขาว ตอนที่ท้องฟ้านอกถ้ำในสายตาเขากลายเป็นสีขาวนั้น กลิ่นอายมรณะในตัวเขาหายไปจนกลับมาเป็นปกติแล้ว เขาถึงมีสีหน้าทะมึนทึบ
‘สี่ปีมานี้ข้าเคยไปมาทั้งหมดรอบๆ แล้ว นี่คือโลกที่ไม่มีสุดขอบเขต ข้าไม่เจอร่องรอยของผู้ฝึกฌานในพื้นที่รอบๆ เลย…บางทีทางออกอาจไม่ใช่บนพื้นดิน แต่อยู่กลางวิหารที่เผยมากลางฟ้าตอนนั้น’ ซูหมิงเงียบ เขาเคยคาดเดาในจุดนี้มานานแล้ว เพียงแต่ยังลังเลอยู่เล็กน้อย เขาหันหน้าไปมองรอบๆ ถ้ำ ร่องรอยการเปิดถ้ำบ่งบอกชัดเจนยิ่งว่าที่นี่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
เขาพบที่นี่โดยบังเอิญ ตอนที่เขามามันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว
ซูหมิงเงียบจนกระทั่งมองอีกด้านหนึ่งของถ้ำ เป็นมุมหนึ่งชิดกับผนังหิน ตรงนั้น…มีโครงกระดูกสีดำร่างหนึ่ง มันเป็นร่างคน นั่นคือผู้ฝึกฌาน หรือกล่าวได้ว่านั้นคือเจ้าของถ้ำคนก่อน
ถึงจะตายไปแล้ว แต่ในตัวโครงกระดูกก็ยังมีแรงกดดันอยู่