Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1189

ตอนที่ 1189 ร่างเงาข้างหลัง

“ดังนั้นถึงได้มีคำพูดว่ายกระดับวิญญาณล้มเหลว นี่อธิบายได้ว่ามีโอกาสสูงมากที่หากยกระดับวิญญาณล้มเหลวก็จะกลายเป็นร่างเงาสีแดงไร้สติปัญญาพวกนั้น!” ขณะซูหมิงใจสั่นสะท้าน พอนึกถึงร่างเงาสีแดงเหล่านั้นแล้วก็เอ่ยพึมพำขึ้น

‘ฟ้าดินเกิดก่อน เดรัจฉานเกิดหลัง…’

‘ฟ้าดินคือผู้คงอยู่ยาวนาน ด้วยความที่มันไม่เกิดขึ้นเอง ดังนั้นจึงเติบโตได้ หากข้าปรารถนาในชีวิตก็มีแต่ต้องยึดชีวิต…’

‘เทพบรรพชนอยู่ข้างหน้า บรรพชนวิญญาณอยู่ข้างหลัง บรรพชนนี้ยังอยู่ก่อนหน้าจักรวาล ด้วยเหตุนี้จึงเป็นผู้มีชีวิตที่ต้องทำลายชีวิต…’

‘จะต้องเป็นเช่นนี้แน่!’ ดวงตาซูหมิงเป็นประกายเด่นชัด เขาลมหายใจกระชั้น ยามที่เงยหน้าขึ้นมองฟ้าที่กลายเป็นสีขาว เขามองตรงจุดที่ปรากฏวิหารใหญ่ก่อนหน้านี้ด้วยแววตาเฝ้าปรารถนาและยึดมั่น

‘เซ่นไหว้ ของเซ่นไหว้…วงแหวนอาคมธูปสวรรค์น่าจะเป็นของจากสมัยที่สอง ดังนั้นวิญญาณที่เกิดในร่างแยกกลืนนภาจึงมีความพิเศษบางอย่างอยู่ ให้เป็นของ เซ่นไหว้ได้เพื่อใช้เปิดวิหารเหล่าเทพและแลกกับโอกาสในการยกระดับวิญญาณ!

เรื่องนี้…เรื่องนี้…’ ซูหมิงพยายามระงับความปรารถนาในใจเอาไว้ เขาพลันนึกถึงผู้เฒ่าเมี่ยเซิง ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงในตอนนั้นก็ให้ทุกสิ่งมีชีวิตส่งเครื่องเซ่นไหว้มาเพื่อเขียนนามในเพลงกลอน…

“ดูแล้วผู้เฒ่าเมี่ยเซิงก็เลียนแบบวิหารเหล่าเทพของสมัยที่สอง หรืออาจพูดได้ว่าเขากำลังทำให้สับสน และยังมีอีกความเป็นไปได้หนึ่ง…เขารู้ความลับของวิหาร เหล่าเทพ เขาอยากเป็นบรรพชนวิญญาณ แต่เขาไม่มีของเซ่นไหว้ เลยใช้เพลงกลอนมาเป็นตัวล่อ เพื่อรวมพลังของทั้งมหาโลกตามหาของเซ่นไหว้ให้เขา!

ในด้านหนึ่งของแผนนี้ส่งผลให้เขาทำลายสมัยที่สาม อีกด้านหนึ่งมอบคุณสมบัติให้เขาเข้าสู่วิหารเหล่าเทพ…” ซูหมิงไม่รู้ว่าการคาดเดาเกี่ยวกับผู้เฒ่าเมี่ยเซิงถูกต้องหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่จุดสำคัญ จุดสำคัญคือเขาจะไม่ยอมทิ้งโอกาสนี้อย่างเด็ดขาด

ซูหมิงมองฟ้า ผ่านไปพักใหญ่ก็เอ่ยพึมพำ

“เช่นนั้น…สมัยแรกล่ะ? ยุคสมัยแรกที่เก่าแก่ที่สุดของมหาโลกสามรกร้าง ผู้คนในสมัยนั้นแกร่งเพียงใด?

หากการคาดเดาข้าถูกต้อง บรรพชนแห่งทะเลเต๋าก็เป็นเพียงบรรพชนวิญญาณเท่านั้น เป็นเพียงคนที่เลื่อมใสเทพบรรพชนในสมัยแรกเลยได้รับพลังแก่กล้ามา ถ้าอย่างนั้น…ในอดีต ยุคสมัยแรกของมหาโลกสามรกร้าง เทพบรรพชนผู้แกร่งกล้ามีความแกร่งเพียงใด?”

“พวกเขามาจากที่ใด เหตุใดพวกเขาถึงหายไป ตอนนี้…พวกเขายังอยู่หรือไม่…”

ซูหมิงหรี่ตาแคบลง หากการคาดเดาเหล่านี้ถูกต้อง ในความคิดเขาจะแตกหน่อมาเป็นความคิดน่าเหลือเชื่อยิ่งกว่า เขาพลันรู้สึกว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ที่บางเรื่องที่ตนรู้จะผิดไป…

อย่างเช่น ไม่ว่าจะเป็นชายชราชุดคลุมดำที่เขายึดร่างหรือทิศทางหนึ่งที่เรื่องราวทั้งหมดที่ประสบมาในชีวิตชี้ให้ไป คำพูดที่ว่าฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนต่างมีหนึ่งร้อยแปดสิบโลก พวกมันคงอยู่มานิจนิรันดร์แต่โบราณ ทว่ามหาโลก สามรกร้างเป็นดั่งจักรวาลเกิดใหม่เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกมัน แม้จะดูอ่อนแอ แต่ความจริงหากมีเวลามากพอมันจะเติบโตเป็นเหมือนมหาโลกโบราณอย่างเงามืดรุ่งอรุณกับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน

หากคำพูดนี้ผิดล่ะ…

หากเทียบกับฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนแล้ว มหาโลกสามรกร้างไม่ได้เกิดใหม่…แต่คงอยู่มานานกว่าเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนล่ะ

ซูหมิงไม่ได้คิดต่อ แต่หยุดการคาดเดาตัวเองเอาไว้ เรื่องนี้ไม่มีหลักฐานใดๆ เลย เป็นเพียงความคิดที่ตนยังรู้สึกเหลวไหลอยู่เล็กน้อยเท่านั้น

หลังจบความคิดทุกอย่าง ทว่าการคาดเดาต่างๆ ยังคงฝังลงในก้นบึ้งหัวใจเขา เขาหันหน้าไปมองยอดเขาสีขาวที่ตนอยู่เงียบๆ มองปากถ้ำมืดมิดข้างหลัง ดวงตาขยับประกายวาว แต่ก็ไม่ได้เข้าไปทันที เพียงนั่งขัดสมาธิลงช้าๆ แน่นิ่งอยู่นอกปากถ้ำ

เวลาผ่านไป ซูหมิงนั่งอยู่ที่นี่มาครึ่งเดือนแล้ว จวบจนหมอกเปลี่ยนสีไปไม่หยุด ตอนที่กลายเป็นสีม่วง เขายืนขึ้นแล้วบินออกจากยอดเขาพุ่งเข้าไปในหมอกสีม่วง

สามวันต่อมา ตอนที่เขาห้อเหยียดออกมาจากในหมอกม่วง เขากลับมาในปากถ้ำของยอดเขาอีกครั้ง ครั้งนี้เขาขยับวูบไหวเข้าไปในถ้ำอย่างไม่ลังเล

เขาอยากไปยังเผ่าวิญญาณสวรรค์ อยากดูว่าการคาดเดาเรื่องสี่สมัยกับยกระดับวิญญาณถูกต้องหรือไม่ ที่เขาไม่เข้าไปในถ้ำเมื่อครึ่งเดือนก่อนเป็นเพราะพลังเขาในตอนนั้นหมดไปเจ็ดเกือบแปดส่วนจากการระเบิดระลอกคลื่นจากแหวนสองครั้ง อีกทั้งก็ไม่รู้ด้วยว่าในเผ่าวิญญาณสวรรค์จะมีอันตรายหรือไม่ ด้วยความตื่นตัวจึงไม่ผลีผลาม แต่ยามนี้เขาล่าสัตว์จำนวนมากในหมอกม่วงมาแล้ว ครั้นกินโลหิตพวกมันและฟื้นพลังกลับมาราวเจ็ดแปดส่วนแล้วถึงได้กลับมา

ปากถ้ำยาวเหยียดลงไปข้างล่าง ซูหมิงเคลื่อนตัวในถ้ำไม่เร็วนัก จิตสัมผัสแผ่ขยายออกไปรางๆ ไหลผ่านถ้ำลงไปข้างล่าง

เวลาผ่านไปอย่างเนิบช้า ซูหมิงเดินหน้าไปภายในถ้ำอย่างต่อเนื่อง หนึ่งก้านธูปให้หลังก็มาอยู่ในถ้ำกว้างใหญ่ ทันทีที่เขาเดินออกมาจากในเส้นทางและเห็นภายในถ้ำชัดเจนนั้น เขาตัวสั่นสะท้านก่อนสูดลมหายใจเข้าลึก

นี่เป็นถ้ำใหญ่ ส่วนเกือบครึ่งของมันอยู่ในยอดเขา ส่วนมากกว่าครึ่งอยู่ใต้ดินของยอดเขา ถูกขุดออกเป็นหลุมยักษ์

มิหนำซ้ำที่นี่ยังมี…โครงกระดูกที่ไม่รู้ว่าตายมานานเท่าไรอีกจำนวนมาก นี่มันไม่ใช่เผ่าวิญญาณสวรรค์แล้ว นี่มันบ่อศพชัดๆ!

ในโครงกระดูกเหล่านี้ยังมีของทารกที่ยังไม่โตเต็มวัยด้วย บางทีก่อนกำเนิด พวกเขาอาจเป็นชนเผ่าหนึ่ง นั่นคือเผ่าที่มีนามว่าวิญญาณสวรรค์ แต่วันนี้พวกเขาสิ้นชีพไปแล้ว ถูกกองรวมสูงอยู่ในหลุมลึกนี้ กระดูกพวกเขาล้วนเป็นสีดำ ดูแล้ว น่าหวาดกลัว ขณะเดียวกันยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังมืดทะมึนวนเวียนอยู่รอบๆ

ซูหมิงเงียบ แต่จะเห็นได้ว่าพอร่างเงาสีแดงที่ล้มเหลวในการยกระดับวิญญาณได้ยินเสียงของชายชราคนนั้นที่เขาได้ยินมาจากที่นี่เมื่อครึ่งเดือนกว่าก่อนแล้ว จากหน้าเฉยชาก็ต่างกลายเป็นหวาดกลัวและถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกับกลัวเสียงนี้อย่างยิ่ง

ซูหมิงมองไปโดยรอบเงียบๆ ที่นี่เงียบสงัด ไม่มีเสียงใดๆ เลย จนกระทั่งเขามองบนผนังหินของถ้ำรอบๆ ดวงตาพลันหรี่ลง เขาเห็นว่าบนผนังมีภาพแกะสลักอยู่เล็กน้อย

นี่เป็นชนเผ่าที่มักจะบันทึกเรื่องราวด้วยการแกะสลัก ซูหมิงรู้ในจุดนี้ ตอนนี้ขยับวูบไหวเข้าไปใกล้ภาพบนผนังแล้วเพ่งมองอย่างละเอียด

ภาพแรกบรรยายถึงชนเผ่าใหญ่อันงดงาม ในความสงบสุข บนฟ้ามีดวงตะวันและดวงจันทร์…

ภาพที่สองชาวเผ่านี้เซ่นไหว้รูปปั้นหนึ่ง รูปปั้นนั้นเป็นบุรุษเส้นผมยาว จะเห็นได้ว่าชาวเผ่านี้เซ่นไหว้รูปปั้นนี้มานานไม่รู้กี่ปี พวกเขาคุกเข่าคารวะอยู่ใต้รูปปั้นด้วย สีหน้าศรัทธา

ภาพที่สามเป็นเด็กหนุ่มในชนเผ่าถูกส่งไปตรงหน้ารูปปั้นนี้ หลังคุกเข่าคารวะแล้วก็เหมือนได้รับการสืบทอดบางอย่าง…

ซูหมิงเห็นถึงตรงนี้ในใจพลันสั่นสะท้าน เขาคุ้นกับภาพนี้มาก นั่นคือพิธีชี้นำ หมานของเด็กทุกคนตอนอยู่เผ่าหมาน!

เขาขยับตัวไปอีกภาพหนึ่งแล้วสังเกตภาพบนผนังต่อ เขาเห็นว่าในภาพที่สี่ปรากฏแท่นหินใหญ่แท่นหนึ่ง บนแท่นหินนั้นมีชายชราคุกเข่าอยู่คนหนึ่ง กำลังยกสองมือขึ้นเหมือนเรียกฟ้า

บนฟ้ามีใบหน้ายักษ์หนึ่ง ซึ่งใบหน้านี้ก็คือบุรุษรูปปั้นที่ซูหมิงเห็นก่อนหน้านี้ ชายคนนี้มองแผ่นดินอย่างอบอุ่น มองผู้คนบนพื้นด้วยรอยยิ้ม เขาเหมือนมอบพลังบางอย่างให้กับชายชราคนนั้น ทำให้ทั่วร่างชายชราเปล่งแสงเป็นวง

ในภาพที่ห้า ซูหมิงเห็นว่าใบหน้าบุรุษกลางฟ้าไม่ยิ้มอีก แต่มีความเศร้า ชาวเผ่าบนแผ่นดินต่างคุกเข่าคารวะด้วยสีหน้าเศร้าเช่นกัน

ภาพที่หก ใบหน้าบุรุษหายไป ดวงตะวันและดวงจันทร์บนฟ้าแตกออก ทว่ากลางดวงตะวันและจันทราในช่วงเวลานั้นมีร่างเงารางๆ อยู่นับไม่ถ้วน เหมือนว่าพวกเขากำลังหายไป คลับคล้ายว่าตอนที่พวกเขาหายไปก็ยังมองแผ่นดิน ในสายตามีความอาลัยอาวรณ์ มีความเศร้าและกลิ่นอายมรณะเข้มข้น

ประหนึ่งว่าพวกเขากำลังจะสิ้นชีพไป ทว่าก่อนที่จะตาย เหมือนว่ายังไม่วางใจเรื่องชีวิตบนแผ่นดิน พวกเขาจึงร่วมมือกันยกมือขวาขึ้นกดไปทางมวลอากาศ ตรงนั้นปรากฏวิหารใหญ่สูงตระหง่านหลังหนึ่ง!

แต่ว่าบนวิหารกลับมีสายฟ้าสายหนึ่งผ่าลงมายังวิหารใหญ่นั้น…

ซูหมิงเห็นถึงตรงนี้ก็ใจสั่นไหว เขาเข้าใจความหมายแฝงในภาพนี้ ร่างเงาเหล่านั้นมีโอกาสสูงมากที่จะเป็นเทพบรรพชนในสมัยแรก เพราะพวกเขาต้องสูญสิ้นไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ต้องออกจากที่นี่เดินไปสู่ความตาย ทว่าก่อนตาย พวกเขารวมพลังของทุกคนสร้างเป็นวิหารใหญ่หลังหนึ่ง

แต่ตอนที่สร้างวิหารใหญ่กลับมีสายฟ้าผ่าลงมา ทำวิหารเกิดความผิดพลาดบางอย่าง นี่ก็คือความหมายแฝงที่สื่อมาจากในภาพแกะสลัก

ซูหมิงเงียบ เขามองภาพแกะสลักสองภาพสุดท้ายต่อ ในภาพเป็นวิหารหลังหนึ่งบนฟ้า บนแท่นสูงมากมายที่เคยมีในอดีตเหล่านั้นมีคนกำลังคารวะอยู่จำนวนมาก แต่พวกเขากลับมีสีหน้าบ้าคลั่ง เหนือพวกเขาแกะสลักเป็นร่างเงาเลือนราง ร่างเงานั้นแฝงไว้ด้วยความตาย สวมเสื้อคลุมยาว ซูหมิงมองแวบแรกก็รู้เลยว่านั่นคือร่างเงา สีแดงที่เขาเคยพบ

พอเห็นถึงตรงนี้เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ภาพนี้เป็นการยืนยันการคาดเดาบางส่วนของเขา ร่างเงาสีแดงที่ล้มเหลวในการยกระดับวิญญาณเหล่านั้น พวกเขา…เคยเป็นชาวเผ่าของทุกเผ่าที่นี่

ซูหมิงหมุนตัวกลับเงียบๆ สายตามองภาพสุดท้าย แต่เขาที่หันกลับไม่สังเกตเห็นเลยว่าข้างหลังเขาปรากฏร่างเงาหนึ่งตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ

นั่นคือ ชายชราที่ทั่วร่างสกปรกมอมแมม ดวงตาเขาไร้ประกายวาว ยืนอยู่ข้างหลัง ซูหมิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!