Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1190

ตอนที่ 1190 ชัยชนะแห่งจิตใจ

ในภาพสุดท้ายแกะสลักไว้ซับซ้อนยิ่ง ซ้ำยังหยาบเล็กน้อย เหมือนว่าคนที่แกะสลักกำลังอยู่ในสภาวะจิตใจไม่สงบนิ่งบางอย่าง แต่ก็ยังยืนหยัดแกะสลักต่อไปคล้ายว่าต้องบันทึกเรื่องราวบางอย่างลงไป

ภายในภาพแกะสลัก ชายชราคนหนึ่งกำลังยกสองแขนขึ้นบนแท่นราบสูง ข้างบนเป็นวิหารใหญ่ลอยฟ้า ข้างล่างเป็นคนนับไม่ถ้วนคุกเข่าคารวะ พวกเขาต่างมีสีหน้าตื่นเต้นและเฝ้ารอคอย

เพียงแต่ว่าความตื่นเต้นนั้น หากมองในอีกสภาพจิตใจจะเห็นว่านั่นไม่ใช่ความตื่นเต้น แต่เป็นตื่นกลัว ส่วนความเฝ้ารอคอยก็ไม่ใช่ แต่เป็นสิ้นหวังและเศร้าโศก

ภาพจบลงแล้ว

ภาพแกะสลักหยาบต่างกับหลายภาพก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง เหมือนว่าเรื่องนี้ ไม่เอ่ยถึงตอนจบ

ซูหมิงเงียบก่อนหมุนตัวกลับมองไปรอบๆ อีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เห็นร่างแก่ชรายืนอยู่ข้างหลังที่กำลังมองเขาเงียบๆ

เขากวาดสายตามองไปรอบๆ คิ้วขมวดขึ้น เขาไม่รู้สึกถึงพลังชีวิตใดๆ ที่นี่ แต่เสียงก่อนหน้านี้ดังขึ้นอย่างชัดเจน ขณะตรึกตรองดวงตาพลันหรี่ลง มองพื้นที่ซึ่งเหมือนต่างออกไปข้างๆ บ่อด้านล่าง

เขาขยับวูบไหวตัวมุ่งหน้าไปยังบ่อศพข้างล่าง หลังเข้าใกล้ในพริบตาแล้ว ซูหมิงจ้องตรงจุดใกล้ๆ กับผนังหินข้างบ่อซากศพ ผิวดินตรงนั้นมีการเว้าลงไปเล็กน้อย

การเว้าแบบนี้เหมือนกับว่ามีคนหนึ่งนั่งฌานอยู่ที่นี่มาไม่รู้กี่ปี จนค่อยๆ ทำให้หินลดระดับลงจนเกิดเป็นตราประทับนั่งฌาน

ซูหมิงมองตราประทับนี้ ดวงตาหรี่ลง พอเข้าไปใกล้แล้วก็ย่อตัวลง ใช้มือขวาลูบรอยเว้าตรงนั้น เพียงลูบไป เขาพลันขนลุกไปทั่วร่าง เพราะว่าตรงนี้แผ่กระจายความอุ่นเล็กน้อย นี่อธิบายได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ยังมีคนนั่งอยู่ตรงนี้

“เป็นที่นั่งฌานของข้าเอง” ตอนนี้เองมีเสียงแก่ชราดังมาจากข้างหลังซูหมิง เสียงนี้กะทันหันอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ซูหมิงก็ไม่ได้สังเกตเห็นแม้แต่น้อย อีกทั้งเสียงนี้ยังเหมือนมีคนเอ่ยใกล้ๆ ข้างหู ทำให้ซูหมิงปะทุพลังออกมาอย่างไม่ลังเล ซ้ำยังพุ่งไปข้างหน้าพร้อมหมุนตัวกลับ ทว่ากลับไม่พบอะไรเลย

ซูหมิงใจเต้นระรัว เขารู้สึกขนหัวลุก ทันใดนั้นบ่าเขาถูกใครบางคนตบเบาๆ

“เจ้ากำลังหาอะไร?”

ซูหมิงหน้าเปลี่ยนสี ครั้งนี้เขาไม่หมุนตัวกลับทันที แต่ยกมือขวาขึ้นอย่างไม่ลังเล ชั่วพริบตาที่แหวนแผ่ระลอกคลื่นออก เขาพลันพุ่งไกลออกไป ระหว่างที่พุ่งไปเขาหมุนตัวกลับอย่างรุนแรง สายตามองไปข้างหลัง แต่ถึงจะทำแบบนี้เขาก็ยังไม่เห็นอะไรเลย

ซูหมิงใจเต้นรัวยิ่งกว่าเดิม ถึงเขาจะมองไม่เห็นร่างเงาอีกฝ่าย แต่มั่นใจได้ว่าอีกฝ่ายจะต้องอยู่ข้างหลังตนแน่ เขาจึงสงบจิตใจลงเงียบๆ แล้วนั่งขัดสมาธิลงเสียเลย

หากอีกฝ่ายจะลงมือกับเขาคงลงมือไปนานแล้ว ในเมื่อตอนนี้ยังไม่ลงมือ เขาจึงยิ้มเฝื่อน ได้แต่นั่งขัดสมาธิลงแล้วพูดขึ้นเสียงเบา

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยไว้ก่อนหน้านี้”

โดยรอบเงียบ ซูหมิงเหมือนคุยกับตัวเอง ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับ

เวลาผ่านไปอย่างเนิบช้า ชั่ววูบเดียวก็ครึ่งชั่วยาม ซูหมิงใจสั่นไหว เขายืนขึ้นช้าๆ เดินไปยังทางออกถ้ำ แต่ทันทีที่เดินมาถึงทางออก ฉับพลันนั้นมวลอากาศรอบๆ บิดเบี้ยว ชั่วพริบตาเดียวเขายิ้มแห้ง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตนถึงถูกเคลื่อนย้ายกลับมานั่งขัดสมาธิที่เดิม

“ในเมื่อผู้อาวุโสไม่พูด และก็ไม่ให้ผู้เยาว์ไป เช่นนั้นมีอะไรให้ช่วยก็บอกมา หากผู้เยาว์ทำได้ ข้าจะทำอย่างเต็มที่เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตก่อนหน้านี้” ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ

“เจ้าเป็นคนจากเผ่าใด?” ซูหมิงกล่าวไปนานมาก ถึงมีเสียงเบาๆ ดังขึ้นข้างหลัง

“เผ่าเขาทมิฬ ผู้เยาว์เป็นชาวเผ่าเขาทมิฬ” ซูหมิงใจสั่น เขาตอบกลับอย่างไม่ลังเลในทันใด และก็เตรียมคำพูดหลังจากที่หากอีกฝ่ายไม่เคยได้ยินนามเผ่านี้และถามต่อเอาไว้ด้วย แต่ชั่วขณะที่ซูหมิงกำลังรออีกฝ่ายถาม เขากลับได้ยินคำพูดแก่ชราจากข้างหลังที่ทำให้เขาใจสั่นสะท้าน

“เผ่าเขาทมิฬ หนึ่งในสิบสามเผ่าที่แยกออกจากเผ่าหมานใหญ่…” ขณะเดียวกับที่คำพูดเข้าถึงหูซูหมิงและทำให้ใจเขาสั่นสะท้านนั้น บนบ่าเขามีมือขวาของชายชราคนนั้นโผล่มาจากข้างหลัง มือขวาแห้งเหี่ยวเพียงตบบ่าเขา ก็มีพลังบ้าอำนาจมุดเข้าไปในร่างกาย ชั่ววูบเดียวก็วนครบหนึ่งรอบแล้วพุ่งไปยังจิตวิญญาณเขา

นี่ไม่ใช่การค้นวิญญาณ แต่เป็นเพียงปะทะกับวิญญาณซูหมิงเล็กน้อยแล้วกลิ่นอายพลังนี้ก็ถอยออก กลับไปยังตรงบ่าเขา กลับเข้าไปในมือขวาแห้งเหี่ยวบนบ่าซูหมิง

“มีกลิ่นอายพลังการชี้นำหมานของเผ่าหมานจริงๆ ทว่าวิญญาณเจ้าเป็นของ เผ่ายมโลกใหญ่ ในวิญญาณยังมีสารบำรุงที่ไม่ใช่ของโลกเดิมอยู่ หึ เรื่องการแต่งงาน ตอนนั้นข้าไม่เห็นด้วยที่สุด แต่เจ้าก็ถือว่าเป็นคนเผ่าหมาน ไม่ถือว่าพูดโกหก” ตอนที่เสียงแก่ชราดังก้อง ความคิดซูหมิงเกิดเป็นคลื่นลูกใหญ่

‘เผ่าเขาทมิฬ…ไม่อยากเชื่อว่าจะมีเผ่าเขาทมิฬจริงๆ เผ่าหมาน…เผ่าหมานใหญ่…และยังมีจิตวิญญาณข้า เขาบอกว่าเผ่ายมโลกใหญ่ นี่…’ ซูหมิงไม่อาจสงบจิตใจลง เกิดความปั่นป่วนอย่างยิ่งจากคำพูดชายชรา

“ข้าจะทำข้อแลกเปลี่ยนกับเจ้า เด็กน้อยแห่งเผ่าหมาน ในเมื่อเจ้ามาที่นี่ได้ ก็ถือว่ามีวาสนากับข้า ถึงวิญญาณกับกลิ่นอายพลังเจ้าจะเป็นผสานกันอย่างสมบูรณ์ก็ตาม แต่ไม่ว่าจะเป็นเผ่าหมานใหญ่หรือเผ่ายมโลกใหญ่ก็ถือว่าเป็นรุ่นเยาว์เผ่าสหายของข้า ข้อแลกเปลี่ยนนี้จะมีโชควาสนาให้เจ้า” เสียงแก่ชราดังราบเรียบ แฝงไว้ด้วยความเสื่อมสภาพที่ตกตะกอนไปตามกาลเวลา

“หากก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสรู้ว่าข้าไม่ใช่รุ่นเยาว์เผ่าสหาย…” ซูหมิงไม่ได้ถามในทันทีว่าโชควาสนาอะไร แต่ลังเลอยู่ชั่วครู่ เขาระงับความยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นจากคำพูด ชายชราในใจเอาไว้ แล้วถามขึ้นด้วยเสียงเบา

“ถูกข้าค้นวิญญาณเหมือนกับคนอื่นๆ ที่เข้ามาที่นี่ตลอดระยะเวลาไม่รู้กี่ปีมาแล้ว ลอกหนัง คัดเลือกกระดูก หลังตากลมจนแห้งแล้วก็เพิ่มเครื่องปรุงลงไป ก่อนเอาไปให้สัตว์เซ่นไหว้” ชายชราตอบกลับเสียงเรียบๆ

ซูหมิงดวงตาขยับประกายบางจนไม่อาจตรวจพบ ก่อนถามต่อ

“เช่นนั้นรุ่นเยาว์เผ่าสหายคนอื่นที่ได้โชควาสนาของผู้อาวุโสล่ะ?”

“ในพวกไร้มาตราฐานที่ปรากฏกลางหมอกแดงข้างนอกที่เจ้าเห็นมีพวกเขาอยู่” เสียงชายชราดังเรียบๆ ดังเดิม แต่เมื่อเขาถึงหูซูหมิงกลับกลายเป็นเย็นเยือก

ซูหมิงเงียบ ชายชราคนนั้นไม่กล่าวใดๆ อีก จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งก้านธูป ซูหมิง ยิ้มเจื่อนพลางถอนหายใจ

“โชควาสนาครั้งใหญ่ของผู้อาวุโสคงจะให้โอกาสผู้เยาว์ยกระดับเป็นบรรพชนวิญญาณใช่หรือไม่”

“หืม? เจ้าหนูหลักแหลม คงจะวิเคราะห์จากคำพูดที่ข้าตะโกนไล่พวกไร้มาตรฐานก่อนหน้านี้ล่ะสิ ไม่ผิด โชควาสนาครั้งใหญ่ที่ให้เจ้าคือโอกาสในการเลื่อนชั้นเป็น บรรพชนวิญญาณ ในเมื่อเจ้าชอบวิเคราะห์ เช่นนั้นก็วิเคราะห์สิว่าข้าให้โชควาสนา เจ้าแล้ว ต้องการอะไรในการแลกเปลี่ยนกับเจ้า? หากเจ้าเดาถูก ข้าจะให้รางวัล” ชายชราเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยคำพูดที่เหมือนมีอารมณ์เพิ่มมาจากเมื่อครู่ ทว่าก็ยังคงราบเรียบ

“เจ้ามีโอกาสเดาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” ตอนที่เสียงชายชราดังก้อง ดวงตาซูหมิงเป็นประกายวาว

“ผู้อาวุโสน่าจะไม่ได้ต้องการออกจากที่นี่…” ซูหมิงตอบกลับเนิบช้า แต่ชายชราข้างหลังแค่นเสียงหึเย็นชา

“อย่าใช้แผนการที่ไร้ประโยชน์แบบนี้”

“ผู้อาวุโสจะให้ผู้เยาว์ช่วยตามหาว่าใครเป็นคนสังหารชาวเผ่าของท่าน!” ซูหมิง กล่าวขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว เขากำลังเดิมพันเรื่องนี้ เพียงแต่ว่าถึงจะผิดก็ไม่เสียหายอะไร แต่เขาก็อยากชนะ เพราะในระหว่างเขากับชายชราตอนนี้ เขาเป็นฝ่ายถูกกระทำมาตลอด อีกฝ่ายอยู่ข้างหลังมาตลอด ในใจเลยถูกปลูกเงามืดลงไป กระทั่งเงามืดนี้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนเขาไม่มีใจต่อต้านแม้แต่น้อย และถูกอีกฝ่ายควบคุมจิตใจไปอย่างสมบูรณ์

เขาต้องลงมือก่อนบ้าง ขอเพียงได้ลงมือก่อนเล็กน้อย สำหรับเขาแล้วนั่นคือการต่อต้านและดิ้นรน

แต่คำตอบนี้ก็ไม่ใช่ว่าเขาคิดมั่วขึ้นมาเอง เขาวิเคราะห์ผ่านร่องรอยหลายแห่ง อันดับแรกคือที่นี่เป็นซากปรักหักพัง เป็นที่ฝังกระดูกของชาวเผ่าวิญญาณสวรรค์ แต่ชายชราก็ยังอยู่ที่นี่ คอยอยู่เป็นเพื่อนชาวเผ่าของเขาเงียบๆ จากตรงนี้จะเห็นได้หนึ่งถึงสองส่วน

และยังมีอีก นั่นคือในภาพแกะสลักสุดท้าย เห็นได้ชัดว่ามันหยาบ เรื่องราว ในภาพก็เต็มไปด้วยความแปลกคล้ายว่ายังไม่จบ เรื่องตรงนี้มีเยอะมาก ไม่เผ่าวิญญาณสวรรค์สูญสิ้นก็อายุขัยขาดและสิ้นชีพทั้งหมด ทว่าในโครงกระดูก มีเด็กด้วย ความเป็นไปได้นี้จึงถูกลบไป

และยังมีความเป็นไปได้ที่จะถูกร่างเงาสีแดงเหล่านั้นสังหาร ทว่าด้วยความแกร่งของชายชราคนนี้ ถึงเรื่องนี้จะมีความเป็นไปได้ แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้อยู่ ส่วนอีก ข้อหนึ่งคือเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เพียงแต่ซูหมิงมีโอกาสคาดเดาเพียงครั้งเดียว ดังนั้นเขาจึงเอ่ยคำตอบนี้ออกไปอย่างไม่ลังเล

แม้เอ่ยออกไปแล้ว แต่ซูหมิงเองก็ยังไม่มั่นใจ แต่หลังจากสิ้นคำพูดเขาก็เงียบกันมาตลอด ตอนนี้เขารู้แล้วว่าการคาดเดาของตนน่าจะถูกต้อง

“บางที ตอนนั้นข้าควรจะเห็นด้วยเรื่องการแต่งงานของทุกเผ่า…” ผ่านไป พักใหญ่ถึงมีเสียงถอนหายใจดังแว่วมาจากข้างหลัง

“เจ้าฉลาดมาก เก่งในด้านการสังเกต…เจ้าเดาถูก แต่ที่ผิดคือคนที่สังหารชาวเผ่าคือข้าเอง…บอกรางวัลที่เจ้าต้องการมา!” เสียงชายชราดังก้องเนิบๆ ในน้ำเสียงมี ความเศร้า

“ผู้เยาว์ไม่ต้องการรางวัล ขอเพียงแค่เห็นใบหน้าจริงของผู้อาวุโสสักครั้งก็พอ” ซูหมิงเงียบไปชั่วประเดี๋ยวแล้วถึงกล่าวขึ้นอย่างเด็ดขาด ดวงตาขยับประกายวาววับ

“เจ้าฉลาดมากจริงๆ…ระหว่างเห็นกับไม่เห็น ต่างกันต่อจิตใจคนอย่างสิ้นเชิง” ผ่านไปพักหนึ่ง ยามที่เสียงแก่ชราดังก้อง มวลอากาศตรงหน้าซูหมิงบิดเบี้ยว มีชายชราคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ

แม้ว่าทั่วร่างชายชราจะสกปรกมอมแมม แต่ซูหมิงมองแวบเดียวก็จำได้ว่าอีกฝ่ายคือชายชราที่นั่งขัดสมาธิบนแท่นสูงและยกสองมือขึ้นไปยังวิหารใหญ่บนฟ้า ซ้ำยังมีชาวเผ่านับไม่ถ้วนคุกเข่าคารวะในภาพสุดท้าย!

ในดวงตาชายชราลุ่มลึก แต่ในความลุ่มลึกกลับมีความเฉยชาและสับสน ทว่าส่วนใหญ่จะลุ่มลึกจนคนมองตรงๆ ไม่ได้ เหมือนว่าการสบตากับเขาจะทำให้วิญญาณถูกสูบ เข้าไป

เขายืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีระลอกคลื่นพลังใดๆ จากตัวเลย แต่ในความรู้สึกซูหมิง กลับมีแรงกดดันที่รุนแรงกว่าตอนเจอบรรพชนแห่งทะเลเต๋าไม่รู้กี่เท่า ประหนึ่งว่าอีกฝ่ายต่างกับบรรพชนแห่งทะเลเต๋าหนึ่งขั้นพลัง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!