Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1192

ตอนที่ 1192 ตำแหน่งเทพบรรพชน

ซูหมิงมองความยึดมั่นในดวงตาชายชราเงียบๆ เขาพลันรู้สึกสงสารชายชราเล็กน้อย นี่คือคนชราที่แม้จะมีพลังแกร่งยิ่ง แต่กลับใช้ชีวิตอยู่กับการโทษตัวเองและเสียใจภายหลัง เป็นคนชราที่บ้าบิ่นไม่สนสิ่งใดเพื่อเปลี่ยนชะตาของชาวเผ่า

“ข้าจะทำตามสัญญา” ซูหมิงตอบเสียงเบา

“นี่คือโชควาสนาเจ้า หากเจ้ายกระดับวิญญาณล้มเหลว เจ้าจะกลายเป็นภูตผี ไร้จิตสำนึก แต่หากสำเร็จ เจ้าจะเลื่อนชั้นจากวิญญาณชนรุ่นหลังเป็นบรรพชนวิญญาณ!” ความยึดมั่นในแววตาชายชราแน่วแน่มากขึ้นเรื่อยๆ เขามองซูหมิง ตอนที่คำพูดเข้าถึงหูเขา ซูหมิงดวงตาเป็นประกายวาว

“ข้าคือวิญญาณชนรุ่นหลัง?”

“แน่นอนว่าเป็นวิญญาณชนรุ่นหลัง ก่อนหน้านี้พอข้ารู้จากเจ้าหนูที่บุกมาที่นี่แล้วว่าหลังจากยุคสมัยนั้นก็เกิดยุคใหม่ขึ้น ในนั้นมีวิญญาณชนรุ่นหลังกับชนรุ่นหลังวิญญาณ

เจ้าได้รับการชี้นำหมานของเผ่าหมานใหญ่ นั่นคือพิธีชี้นำหมานอย่างแท้จริง และยังได้รับการตื่นแห่งยมโลก สองสิ่งนี้รวมเข้าด้วยกันทำให้เจ้าไม่ใช่ชนรุ่นหลังวิญญาณธรรมดาอีก แต่กลายเป็นวิญญาณชนรุ่นหลัง!

ถึงบอกว่าอีกก้าวเดียวเจ้าก็จะเป็นบรรพชนวิญญาณ แต่หุบเหวของก้าวนี้คือ รอยแยกระหว่างสองสมัย หากไม่มีวิหารเหล่าเทพ ไม่ว่าชีวิตนี้จะฝึกฝนอย่างไรก็ยากจะข้ามผ่านไป แต่ตอนนี้นี่คือโชควาสนาของเจ้า!”

พอได้ฟังคำพูดชายชรา ซูหมิงนึกเชื่อมโยงไปถึงที่ตนต่างกับยอดฝีมือแห่งสามรกร้างคนอื่นๆ นึกถึงว่าตนต่อสู้กับผู้ฝึกฌานฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนได้ ตอนนี้เขาเข้าใจสาเหตุแล้ว

“ด้วยพลังข้าสามารถเปิดการยกระดับวิญญาณได้สามครั้ง เจ้ามีโอกาสเรียนรู้สามครั้ง จะสำเร็จหรือไม่ การเรียนสามครั้งนี้เป็นจุดสำคัญ ข้าหวังว่าเจ้าจะทำสำเร็จ แต่ต้องบอกว่า ต่อให้เป็นในสมัยข้า คนที่ยกระดับวิญญาณสำเร็จมีน้อยยิ่ง…” ชายชรามองซูหมิงอย่างซับซ้อนแวบหนึ่งแล้วสะบัดแขนเสื้อ มวลอากาศรอบตัวซูหมิงพลันบิดเบี้ยว ชั่ววูบเดียวตาพร่ามัว ตอนที่โลกเขาชัดเจนอีกครั้ง พวกเขาไม่อยู่ใน ถ้ำอีก แต่มาอยู่บนแท่นราบสูงกลางหมอกขาว

พวกเขายืนอยู่บนแท่นราบนี้ ซูหมิงก้มหน้ามองไปก็เห็นเป็นหมอกขาวไม่มีสุดเขต และยังมียอดเขาเล็กน้อยอยู่รางๆ กลางหมอก

“เจ้าผ่านพิธีชี้นำหมานอย่างแท้จริงมาแล้ว ดังนั้นจึงถือว่าเป็นเผ่าหมาน อย่างแรกที่ข้าจะให้เจ้าเห็นคือ การยกระดับวิญญาณของผู้แข็งแกร่งเผ่าหมานเมื่อไม่รู้กี่ปีก่อน!” นัยน์ตาชายชราเป็นประกายสว่างจ้า พลังทั่วร่างปะทุออกมาอย่าง ไร้ขีดจำกัด พลังหมุนวนไปรอบๆ ส่งผลให้ฟ้าสั่นสะเทือน หมอกบนแผ่นดินหมุนตลบอย่างรุนแรง ซูหมิงหายใจติดขัด

ยามนี้พลังชายชราที่แผ่กระจายทำให้ซูหมิงเกิดภาพหลอนเหมือนว่าคนที่ยืน อยู่ที่นี่ไม่ใช่ชายชราคนนั้น แต่เป็นแม่น้ำและภูเขากว้างใหญ่ เป็นผืนฟ้า เป็นโลกสมบูรณ์แบบ และยังเป็นมหาโลกในฟ้ากระจ่างดาว!

ทุกอย่างเหมือนซ่อนอยู่ในตัวชายชรา ซูหมิงมองชายชราด้วยใจสั่นสะท้าน ในเวลาเดียวกันเทียบกับผู้แข็งแกร่งทุกคนที่เขาเคยเจอมาแล้ว ซุ่ยเฉินจื่อก็ดี บรรพชนแห่งทะเลเต๋าก็ดี จนกระทั่งนึกไปถึงร่างเงาคนขั้นไม่อาจกล่าวที่เขาเห็นจากในเหตุการณ์ช่องโหว่สามรกร้างถูกเปิดออกในพันธมิตรเผ่าเซียน ใจเขาสั่นไหวอีกครั้ง

‘เขาบรรลุถึงขั้นไม่อาจกล่าวจริงๆ!’ นี่คือความแกร่งของขั้นไม่อาจกล่าวที่ซูหมิงได้เห็นกับตาเป็นครั้งแรก เป็นความแกร่งไร้รูปที่เหมือนว่าหากชายชราคนนี้ยินยอม ก็จะให้โลกนี้หายไปได้ ขอเพียงเขายินยอม ฟ้าดินจะต้องเปลี่ยนไปตรงหน้าเขา

นั่นคือ…พลังที่เหนือกว่าขั้นพลังบางอย่าง กดขี่อยู่เหนือจักรวาล อยู่เหนือมวลอากาศ และอยู่เหนือผืนฟ้า!

‘นี่ไม่ใช่พลังของบรรพชนวิญญาณอย่างแน่นอน!’ ซูหมิงลมหายใจกระชั้น เขาเคยพบบรรพชนวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณแห่งดินทรายก็ดี บรรพชนแห่งทะเลเต๋าก็ดี พวกเขาไม่ได้แกร่งขนาดนี้

“นี่คือพลังหลังจากสำเร็จการยกระดับวิญญาณแปดครั้ง ขาดเพียงก้าวเดียวก็จะเป็นเทพบรรพชน ขั้นไม่อาจกล่าว บางทีอาจตรงกับขั้นพลังไม่อาจกล่าวตามที่เจ้าว่า แต่ในสายตาข้า หากยกระดับวิญญาณสำเร็จเก้าครั้ง พลังข้าจะไม่ใช่ไม่อาจกล่าวอย่างที่เจ้าว่า แต่เป็น…อาจกล่าว!

เทพบรรพชนอาจกล่าว!” ชายชรายกมือขวาขึ้นโบกแขนเสื้อไปบนฟ้า เพียงโบกไป ฟ้าดินเกิดเสียงดังสนั่น ทั่วฟ้าพลันปรากฏน้ำวนยักษ์ขึ้น น้ำวนขยายออกไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว จุดที่ผ่านท้องฟ้าจะกลายเป็นเศษนับไม่ถ้วน ท่ามกลางเสียงดังกึกๆ ทั่วฟ้ากลายเป็นรูปร่างแผ่นดินหลังความแห้งแล้งครั้งใหญ่

รอยแตกระแหงทยอยกันแตกออกและลุกลามไปรอบๆ หมอกบนแผ่นดินม้วนถอยไป ซูหมิงพลันรู้สึกถึงเสียงอู้อี้จากแหวนสีขาวตรงนิ้วมือ

เสียงอู้อี้นั้นคือ มันกำลังสั่นไหว เป็นการสั่นโดยสัญชาตญาณที่พบกับพลังที่แกร่งกว่ามันมาก การสั่นนี้ทำให้ซูหมิงเข้าใจว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าชายชรา แม้แหวนวงนี้จะเป็นสมบัติล้ำค่าของระดับขั้นไม่อาจกล่าว แต่ก็ยังอ่อนแอ

‘ชายชราแห่งเผ่าวิญญาณสวรรค์คนนี้เป็นผู้แข็งแกร่งแห่งสามรกร้างที่แกร่งกว่า ผู้สูงส่งหวนคืนคนที่สร้างแหวนนี้ขึ้นมา! บางที…เขาอาจจะถูกเรียกเป็นว่าเทพรกร้าง!’ ชั่วขณะที่ซูหมิงใจสั่นสะท้าน เศษรอยแตกนับไม่ถ้วนบนฟ้าถาโถมไป หลังรวมเข้ากันใหม่อีกครั้งด้วยความเร็วสูงยิ่งแล้วก็เหมือนกลายเป็นอีกผืนฟ้าหนึ่ง ตอนที่บนฟ้าขยับแสงวิบวับและสะท้อนแสงลงมายังแผ่นดินนั้น มันคล้ายกับการเปลี่ยนมิติ…

ซูหมิงเห็นว่าบนแท่นราบตรงหน้ามีร่างเงาเพิ่มมาคนหนึ่ง เป็นร่างสูงใหญ่ยิ่ง กลิ่นอายพลังเผ่าหมานที่เขาคุ้นเคยแผ่มาจากร่างเงานั้นโดยไม่กักไว้แม้แต่น้อย

แม้จะเห็นเพียงเงาแผ่นหลัง ทว่าความรู้สึกร่วมของเผ่าหมานทำให้ซูหมิงเหมือนเห็นคนรู้จักอย่างยิ่ง ทั่วร่างชายกำยำเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นที่สมานแล้ว เขายืนอยู่ตรงนั้นประหนึ่งยืนอยู่บนฟ้าดิน แผ่นดินยังต้องยอมศิโรราบ ท้องฟ้ายังต้องก้มหัว

“หมาน!”

“หมาน!”

“หมาน!”

เสียงตะโกนดังแว่วมาจากข้างล่าง ตอนที่ซูหมิงก้มหน้ามองไป เขาเห็นว่าบนแผ่นดินใต้แท่นราบนี้มีชาวเผ่าหมานนับไม่ถ้วน พวกเขาต่างยืนอยู่ตรงนั้นกำลังตะโกนเสียงดัง ความแกร่งของพลังดั่งสายรุ้งยาวทะลวงผ่านฟ้า ทำให้แผ่นดินและท้องฟ้าสั่นไหว

“นี่คือจ้าวหมานสมัยที่แปดสิบสามของเผ่าหมานเมื่อไม่รู้กี่ปีก่อน นี่คือการยกระดับวิญญาณครั้งแรกของเขา แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว เจ้าดูให้ดี นี่คือภาพที่ข้าใช้พลังฉีกฟ้า อำพรางตัวจากดวงจิตมหาโลกสามรกร้างและดึงความทรงจำจากเขาออกมา” ข้างหูซูหมิงดังก้องไปด้วยเสียงชายชราเผ่าวิญญาณสวรรค์ ก่อนร่างเงา ชายชราจะเผยออกมาช้าๆ สายตามองชายร่างกำยำที่เห็นเพียงเงาแผ่นหลังบน แท่นราบด้วยสายตาปลงอนิจจัง

ซูหมิงหรี่ตาลง เขาจำคำพูดชายชราเอาไว้ในก้นบึ้งหัวใจแล้ว ที่แท้เมื่อฝึกถึงระดับนี้ จะสามารถฉีกฟ้า อำพรางตัวจากดวงจิตสามรกร้างและดึงความทรงจำคนอื่นได้…

แต่ก็เพียงแค่อำพรางตัว คำว่าอำพรางตัวมากพอจะอธิบายได้ว่า ต่อให้บรรลุถึงพลังอย่างชายชรา ก็ยังมีการแบ่งสูงต่ำระหว่างดวงจิตสามรกร้าง

เขาทำได้เพียงอำพรางตัว เว้นแต่…จะไม่สนใจดวงจิตสามรกร้าง ฝืนสูบความทรงจำ

ขณะเดียวกับที่ซูหมิงจดจำทุกอย่าง สมาธิทั้งหมดของเขาไปอยู่ที่ตัวชายร่างกำยำเผ่าหมานตรงหน้า เขาเห็นอีกฝ่ายเงยหน้าตะโกนขึ้นฟ้า ทั่วร่างมีเส้นเลือดดำปูดนูน พลังโลหิตเข้มข้นพลันปะทุออกมา ในการปะทุไม่มีระลอกคลื่นพลังใดๆ เลย แต่พลังโลหิตแก่กล้านั้นมากพอจะเหนือกว่าทุกพลัง สามารถทำลายปราการได้ ทุกอย่าง

“เผ่าหมาน…คือเผ่าที่ต่อต้านกับเทพในเผ่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของสู่ได้ พละกำลัง พวกเขาแกร่งจนถึงขั้นไม่อาจบรรยายแล้ว” ชายชราข้างกายซูหมิงพึมพำเหมือน พูดกับตัวเอง และก็เหมือนพูดกับซูหมิง

ตอนนี้เองภายใต้การตะโกนของชายร่างกำยำเผ่าหมานคนนั้น พลันมีระลอกคลื่นกระจายมาจากตัวเขา ระลอกคลื่นนั้นเป็นคลื่นลม มันหมุนวนไปบนฟ้า ทำให้ฟ้า บิดเบี้ยวคล้ายถูกฉีกออก ก่อนปรากฏวิหารใหญ่ที่ซูหมิงเคยพบขึ้น!

วิหารใหญ่นั้นคือวิหารสยบวิญญาณที่มีร่างเงาสีแดงออกมานับไม่ถ้วนตอนเขา ถูกล่าสังหาร!

หลังวิหารนี้มาถึงแล้วก็ลอยอยู่กลางอากาศ ต่อมาบนฟ้าข้างหลังเกิดการบิดเบี้ยวอีกครั้ง แล้วปรากฏวิหารมหึมาที่เปล่งแสงสีทองกว้างไกล!

เทียบกับวิหารสยบวิญญาณแล้ว ดูเหมือนผู้ใหญ่กับเด็ก วิหารใหญ่สีทองที่มาเยือนเผยออกมาอย่างชัดเจนท่ามกลางเสียงครึกโครม มองจากขนาดคลับคล้ายว่า ไม่มีขอบเขตสิ้นสุด เห็นรางๆ ว่าบนวิหารใหญ่มีป้ายอยู่อันหนึ่ง ด้านบนเขียนไว้ว่า

เหล่าเทพ!

“การยกระดับวิญญาณครั้งแรกจะปรากฏเพียงวิหารสยบวิญญาณ ตอนที่ข้ายกระดับวิญญาณครั้งที่แปด มีวิหารสยบวิญญาณแปดหลังล้อมวิหารเหล่าเทพ” ชายชราข้างกายซูหมิงพูดขึ้นเรียบๆ

ขณะเดียวกัน ทันทีที่วิหารเหล่าเทพสีทองหลังใหญ่ปรากฏก็เปล่งแสงสีทองหมื่นจั้ง ไปยังแผ่นดิน ส่งผลให้ท้องฟ้ากับแผ่นดินกลายเป็นสีทองในพริบตา จากนั้นปรากฏร่างเงานับไม่ถ้วนในวิหารใหญ่

ร่างเงาเหล่านี้ไม่ใช่ร่างเงาสีแดงที่ล่าสังหารซูหมิง แต่เป็นคนสวมอาภรณ์ยาว พวกเขามีบุรุษและสตรี ต่างลอยอยู่นอกวิหารใหญ่สีทอง เหมือนว่าจะมีการแบ่งระดับกันอย่างเข้มงวดยิ่ง คนที่อยู่บนสุดทั่วร่างเปล่งแสงทองหมื่นจั้ง เต็มไปด้วยแรงกดดัน ที่ทำให้คนหายใจติดขัด ต่ำกว่าเขาเป็นสามคน ข้างล่างเป็นแปดคน สิบเจ็ดคน สามสิบเก้าคน แปดสิบหกคนจนไปถึงแปดร้อยแปดสิบเอ็ดคนในระดับสุดท้าย

“นี่คือ…” ซูหมิงจ้องร่างเงาสองพันกว่าคนนอกวิหารใหญ่ เขามองออกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่คนจริงๆ แต่เป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์แห่งพลังที่รวมจากกลิ่นอายพลังบางอย่าง พวกเขาเรียงอันดับกันด้วยกฏบางอย่าง มีทั้งหมดสิบแถว หากไม่นับร่างเงาเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่บนยอดสุด จะมีทั้งหมดเก้าแถว

“สิ่งเหล่านี้คือ ตำแหน่งเทพบรรพชน มีตำแหน่งทั้งหมดสองพันหกร้อยสามคน! ยกระดับวิญญาณก็คือ การเลือกหลอมรวมกับหนึ่งในเทพบรรพชนเหล่านี้ หลอมรวมครั้งแรกจะเลือกได้เพียงแถวล่างสุด พูดแบบนี้ให้เป็นการอนุมานแล้วกัน ในนี้ต้อง มีโชค หากมีโชคมากพอจะค่อยๆ หลอมรวมไปจนครบเก้าครั้ง จนกระทั่งถึงร่างเงาเพียงหนึ่งเดียวข้างบนสุดนั่น

ด้วยความที่มีการเลือกต่างกัน จึงมีการแบ่งความอ่อนแกร่งตามคนที่เราเลือก นี่จำเป็นต้องลองหลายครั้ง อีกทั้งทุกหลายร้อยปีจะปรากฏชาวเผ่าล้ำค่าที่ยกระดับวิญญาณได้คนหนึ่ง พวกเขาต้องเดิมพันด้วยใจเสียสละเพื่อชนเผ่า…หากล้มเหลวก็ตาย กลายเป็นสิ่งมีชีวิตสังหารที่ไร้จิตสำนึก!

ชาวเผ่าทุกเผ่าจะจารึกลำดับคนที่หลอมรวมด้วยแล้วล้มเหลวเอาไว้ ให้ชนรุ่นหลังไม่เลือก แต่ไปเลือกคนอื่นแทน” ชายชราถอนหายใจเบาแล้วกล่าวขึ้นเรียบๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!