Skip to content

สู่วิถีอสุรา 12

ตอนที่ 12 จิตสังหาร

ยามซูหมิงแหงนหน้าขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย แสงโลหิตขยับวูบวาบอย่างบ้าคลั่ง ส่องสว่างภายในถ้ำภูเขาไฟ

เขาตัวสั่นไหวต่อเนื่อง หัวใจเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ตามการโคจรโลหิตราวกับจะระเบิดออก ทำให้ใบหน้าซูหมิงยิ่งบิดเบี้ยว

ยามนี้เป็นช่วงที่สำคัญที่สุด ไม่อาจหยุดชะงักกลางคันได้ ทว่าเสียงร้องของเจ้าลิงรวมถึงทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้น ซูหมิงกลับรับรู้ได้อย่างแจ่มชัด

เขาเบิ่งตาค้างมองเจ้าลิงที่ปกป้องตัวเขา วิ่งออกไปเพื่อหันเหความสนใจจากคนทั้งสอง

ชั่วชีวิตนี้เขาไม่เคยคลุ้มคลั่งเช่นนี้มาก่อน เจ้าลิงเป็นสหายเพียงหนึ่งเดียวในป่าทึบของเขา หลายปีมานี้เขามองมันเป็นดั่งคนในครอบครัว ความคลุ้มคลั่งในตอนนี้ทำให้เส้นเลือดสีเขียวปูดโปนไปทั้งตัว ในกายมีเสียงดังสนั่นก้องกังวาน

เส้นเลือดที่ปรากฏบนตัวเขาทั้งห้าเส้น ยามนี้เปล่งแสงจ้าลานตา ในลำแสงยังปรากฏเส้นเลือดเส้นที่หกซึ่งใกล้จะสมบูรณ์อยู่เลือนราง มันราวกับพยามดิ้นรนเพื่อทะลวงผิวหนังออกมา

“เจ้าลำดับสองขั้นรวมโลหิต สมควรตาย!” ซูหมิงแหงนหน้าคำราม ดวงตาแดงก่ำ ก่อนหน้าเขาลองใช้วิธีแบบอ่อนโยนหลายครั้ง เพราะหากไม่สำเร็จ มันก็จะไม่ส่งผลต่อร่างกายเขา

ทว่าตอนนี้ เจ้าลิงน้อยเป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่ทราบ

ทุกเสี้ยววินาทีผ่านไปทำให้ซูหมิงร้อนใจดั่งไฟลน ตอนนี้เขายอมเสียทุกอย่าง โคจรเส้นเลือดในกายอย่างบ้าคลั่ง โดยไม่สนใจการนำโลหิตทั่วร่างมารวมขึ้นเป็นเส้นเลือดเส้นที่หกตามวิธีการฝึกพลังหมาน

เสียงระเบิดดังสนั่น ซูหมิงมีโลหิตไหลจากมุมปาก ตัวสั่นสะท้าน ใบหน้าค่อนข้างขาวซีด การกระทำอันบ้าระห่ำของเขา กล่าวได้ว่าเป็นข้อห้ามสำคัญของการฝึกพลังหมาน คนที่ฝึกพลังหมานโดยเฉพาะขั้นพลังรวมโลหิต ส่วนใหญ่แล้วจะต้องค่อยเป็นค่อยไป ห้ามประมาทเด็ดขาด

เสียงระเบิดดังไม่มากนักเมื่ออยู่ข้างนอก ทว่าซูหมิงสัมผัสได้ราวกับฟ้าดินแหลกสลาย เสียงดังก้องในหัวไม่หยุด

“สมควรตาย!” ซูหมิงจ้องทางออกเบื้องหน้าเขม็ง เขาดั่งสัมผัสได้ถึงความเด็ดเดี่ยวและความตื่นกลัวจากเจ้าลิงน้อย จึงเร่งโคจรโลหิตทั้งหมดในกายอีกครั้งอย่างไม่ลังเล และทำการทะลวงผ่านครั้งที่สอง!

มีโลหิตไหลจากมุมปากมากขึ้น ไหลผ่านคางหยดลงสู่พื้น….

ครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ ครั้งที่ห้า!

ช่วงจังหวะที่ฝืนโคจรโลหิตครั้งที่ห้าเพื่อทะลวงผ่าน ซูหมิงกระอักเลือดกองใหญ่ ใบหน้าพลันซีดขาว ทว่าบนใบหน้าเขากลับเผยความเคียดแค้นพร้อมสังหาร เมื่อรวมกับโลหิตตรงมุมปาก ทำให้ซูหมิงในยามนี้ดูเต็มไปด้วยความทะมึนทึบน่าสะพรึง

ซูหมิงที่นั่งขัดสมาธิพลันยันกายขึ้น ในช่วงนั้นเองปรากฏเสียงดังสนั่นในร่าง เส้นเลือดเส้นที่หกรวมจนสมบูรณ์

ครั้นเส้นที่หกก่อตัว พลังที่ต่างโดยสิ้นเชิงจากลำดับหนึ่งขั้นรวมโลหิตพลันระเบิดจากในร่างของซูหมิง เส้นผมเขาขยับเองแม้ไร้ลม เส้นเลือดเส้นที่หกเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วบนผิวหนังราวกับมีชีวิต!

ขั้นรวมโลหิต ลำดับสอง!

ยังไม่ทันให้ลำดับสองเสถียร ร่างซูหมิงขยับวูบ เคลื่อนไหวด้วยความเร็วกว่าเมื่อก่อนเป็นเท่าตัว หยิบเขากระดูกและคันศรพุ่งทะยานออกจากปากถ้ำ พริบตาเดียวก็หายวับไป

ซูหมิงมุดออกมาด้านนอกโดยเร็ว ยามนี้ตะวันปรารถนาจะลับฟ้า เป็นเวลาสายัณห์ มองไกลๆ เต็มไปด้วยหิมะปลิวว่อน

“คนหนึ่งลำดับสองขั้นรวมโลหิต…อีกคนหนึ่งลำดับสาม…” ดวงตาซูหมิงยังคงเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย มีแสงหนาวเยือกขยับผ่าน แม้ว่าศัตรูจะแข็งแกร่ง ทว่าในสายตาซูหมิงกลับไม่มีแววหวาดกลัว มีแต่จิตสังหาร!

ยามนี้เขาลืมความหวาดกลัวไปนานแล้ว ตอนที่เจ้าลิงน้อยถูกนักรบหมานจากเผ่าภูผาดำจับตัวไป พวกมันก็ถือเป็นศัตรูของเขาซูหมิง!

หากพวกมันไม่ตาย ต้องเป็นเขาที่ตาย!

แม้จะกล่าวว่าเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ! ทว่าทุกคนต่างรู้ดีถึงเหตุและผลของเรื่องแม่งเม่ากับกองไฟ นั่นคือความดื้อรั้น คือการดิ้นรนเอาชีวิตรอด หากไฟไม่มอดก็ต้องเป็นแม่งเม่าที่ถูกเผา!

ซูหมิงไร้ซึ่งความลังเล พุ่งทะยานสู่เบื้องหน้าด้วยความเร็วสูงสุด เขาเกิดเป็นคนเผ่าหมาน เที่ยวเล่นเก็บสมุนไพรบนเขานี้ตั้งแต่เยาว์วัย ทำให้มีความชำนาญทางยิ่งนัก อีกทั้งยังเชี่ยวชาญในการสะกดรอยสืบข่าว

ขณะพุ่งทะยาน เขามองไปบนพื้นพลางเช็ดโลหิตตรงมุมปากและมืออย่างว่องไว ชั่วขณะเดียวกันพลันเห็นร่องรอยยุ่งเหยิงบนหญ้าแห้งตรงหน้า เขาหยิบกิ่งไม้หักขึ้นมาพิจารณา นัยน์ตายิ่งเผยจิตสังหาร ก่อนโยนทิ้งแล้วเปลี่ยนทิศทาง ขยับแสงวูบหายไป

ซูหมิงไม่สนสิ่งใด เคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูงสุดตลอดทาง ใช้ความยืดหยุ่นของร่างกายอย่างเต็มที่ ระหว่างนั้นเขาพบเบาะแสจำนวนมาก อีกทั้งยังพบรอยเลือด

ในรอยเลือดมีขนสีแดงหลายเส้น นั่นมันของเจ้าลิงน้อย!

เพียงแต่ว่ารอยเลือดเริ่มแห้ง เห็นได้ชัดว่าพวกมันจับเจ้าลิงน้อยตรงนี้ อีกทั้งยังผ่านไปนานพอสมควรแล้ว

“ตามไม่ทัน….” ซุหมิงมีสีหน้าเคร่งเครียด กำหมัดแน่น นัยน์ตาฉายแววคลุ้มคลั่งอีกครา

“พวกมันเป็นคนเผ่าภูผาดำ จะต้องกลับเผ่าแน่นอน…หากเป็นเช่นนั้น จากตรงนี้มีทางลัดไปเผ่าภูผาดำอยู่!” ซูหมิงหมุนตัว พุ่งทะยานหายวับไปจากป่าทึบหิมะขาวโพลนอย่างแคล่วคล่อง

“ต้องเร็วอีก!” ซูหมิงห้อเหยียดปานลมกรด เหมือนบินไปในป่าทึบ ทว่ากลับยังรู้สึกว่าตนช้าเกินไป ขณะเดินทางได้ทิ้งรอยเท้าติดยาวเป็นพรืดบนพื้นหิมะ

ขณะนั้นเอง ตอนที่ซูหมิงดีดกายขึ้นเพื่อกระโดดลงอีกครั้ง พื้นหิมะเบื้องหน้าพลันยุบตัวลง เห็นเป็นสัตว์คล้ายจิ้งจอก ทว่ากลับมีขนเป็นสีขาวทั้งตัว ส่วนศีรษะมีเขากวางงอกออกมา มันกระโดดมาจากในหิมะ ด้วยความเร็วของมัน เพียงชั่วพริบตาก็มาถึงตัวซูหมิงด้วยท่าทีดุร้าย

“จิ้งจอกเตียว!” ซูหมิงไม่ได้ลดความเร็วลง ตอนที่เจ้าสัตว์น้อยกระโดดออกมาจากที่ซ่อนตัว เป็นช่วงเดียวกับที่เขาใช้มือขวาออกแรงชกไปเบื้องหน้า

หากเป็นซูหมิงก่อนหน้านี้ เพียงแรงหมัดย่อมไม่เพียงพอ ทว่ายามนี้เขาเป็นนักรบหมานลำดับสองขั้นรวมโลหิต มีเส้นเลือดหกเส้น ด้วยพลังมหาศาลจากโลหิต ไม่เพียงทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้น แม้แต่พละกำลังก็ยังเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว

หนึ่งหมัดตรงเข้าใส่จิ้งจอกเตียว มันแผดเสียงร้อง นัยน์ตาทั้งสองข้างหรี่ลง ก่อนพลิกตัวกลางอากาศพยามหลบหนี ทว่าซูหมิงเข้าประชิดตัว มือซ้ายไม่รู้นำเขากระดูกออกมาเมื่อใด ฟันเข้าใส่เจ้าสัตว์น้อยจนเนื้อฉีกขาดระหว่างมันแฉลบผ่าน

โลหิตสดกระเซ็นลงผืนดิน มันแผดเสียงร้องน่าเวทนายามดิ้นรนบนพื้น ย้อมผืนหิมะจนเป็นสีแดงโลหิต

เมื่อจัดการเรียบร้อย ซูหมิงก้มหน้ามองศพจิ้งจอกเตียวแล้วนั่งยองลง นัยน์ตาขยับแสงประกาย เขายกมือขวาขึ้น สูดลมหายใจเข้าลึก โคจรโลหิตในกาย ทั่วร่างเปล่งแสงโลหิตราวกับหลอมรวมเข้ากับคราบเลือดบนพื้น ภายใต้แสงโลหิต ปรากฏเส้นเลือดเส้นที่หกขึ้นบนตัวเขา

มือขวาค่อยๆ วางบนตัวศพจิ้งจอกเตียว ดวงตาเป็นประกายพิลึก ทว่าเส้นเลือดเส้นหนึ่งบนร่างกลับบิดรูปประหลาด เสมือนค่อยๆ แผ่ขยายไปตามแขนจนถึงฝ่ามือ ก่อนไหลเข้าสู่ร่างเจ้าสัตว์น้อย

ศพจิ้งจอกเตียวพลันสั่นไหวอย่างประหลาด ขนร่วงหมดตัว ร่างเหี่ยวแห้งอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวจึงเปลี่ยนเป็นโครงกระดูก ทว่าในขณะเดียวกันกลับมีควันสีขาวลอยขึ้นจากตัวมัน ก่อนรวมเข้าด้วยกันเป็นรูปร่างมันตอนยังมีชีวิต แต่ค่อนข้างเลือนรางราวกับถูกสายลมพัดปลิวหายไปได้

นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงสำแดงวิชาหมานสูบวิญญาณ วิธีฝึกที่เขาได้รับมามีการแนะนำอย่างละเอียด จำเป็นต้องใช้เวลาบ่มเพาะจิตวิญญาณถึงจะกลืนกินได้

ทว่าซูหมิงไม่มีเวลามากขนาดนั้น เขาพลันอ้าปากสูบควันขาวรูปสัตว์ตัวน้อย ก่อนมันจะเปลี่ยนรูปเป็นเส้นสีขาวลอยเข้าปากซูหมิง

ซูหมิงตัวสั่น เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัด ทว่าพลังดังกล่าวกลับหายไปอย่างรวดเร็ว เกรงว่าอีกไม่นานคงกลับคืนสภาพเดิม

สองเท้าเคลื่อนตัว พุ่งทะยานด้วยความเร็วสูง คราวนี้ซูหมิงว่องไวกว่าเดิมเล็กน้อย ชั่วพริบตาก็รวดเร็วขึ้นดั่งวายุ

เสียงลมหวีดหวิวดังผ่านข้างหูเขา ในหัวของซูหมิงตอนนี้มีเพียงความคิดเดียวนั่นคือต้องตามไปช่วยเจ้าลิงน้อยให้ทันให้ได้ ส่วนเรื่องวิธีการ เขาไม่ใช่คนมุทะลุ จึงมีแผนการเตรียมเอาไว้แล้ว

ครึ่งชั่วยามผ่านไป พลังที่ได้มาในร่างหายไปหมดแล้ว ทว่ามันทำให้เขามาถึงก่อนเวลาเล็กน้อย จนในที่สุดก็มาถึงจุดที่อยู่เลยจากยอดเขาเพลิงทมิฬ ใกล้กับเผ่าภูผาดำ

ที่นี่เป็นเขาขนาดเล็กคลับคล้ายเนินเขา หากยืนตรงนี้จะมองเห็นทิวทัศน์ได้ค่อนข้างไกล ทัศนวิสัยนับว่ากว้างทีเดียว

พอเข้าใกล้ดินแดนแห่งนี้ ดวงตาซูหมิงเฉียบคมเป็นประกาย จ้องไปทางยอดเขาเพลิงทมิฬที่อยู่ไกลๆ ไม่นานสุดสายตาของเขาปรากฏเงาสองเงากำลังเคลื่อนตัวอย่างเร็ว หนึ่งในสองคนนั้นจับเจ้าลิงน้อยที่นิ่งไม่ขยับตัว!

ซูหมิงยืนนิ่ง ใช้มือขวาหยิบขวดเล็กจากอกเสื้อ ในนั้นบรรจุเม็ดโอสถสีแดงหนึ่งเม็ด เมื่อมั่นใจว่าบนมือไม่มีคราบเลือดแล้วจึงหยิบเม็ดโอสถออกมากำเอาไว้ในมือ

โอสถเม็ดนี้คืออาวุธสังหารของเขา

ซูหมิงหายใจอย่างสงบนิ่ง ในมือถือคันศร แววตาเย็นชามองคนทั้งสองที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ระยะห่างไม่ไกลนัก สามารถสังเกตเห็นอีกฝ่ายได้

คนทั้งสองรูปร่างกำยำดูแข็งแกร่ง ในฤดูหนาวเช่นนี้ ชายฉกรรจ์ที่จับเจ้าลิงน้อยสวมเพียงหนังสัตว์บางๆ เปลือยท่อนบน มีควันขาวลอยขึ้นจากตัวเป็นระลอก ใช้เพียงพลังของเลือดลมก็สามารถละลายความหนาวเหน็บได้

ทว่าซูหมิงมองเขาเพียงแวบเดียว ก็เบนสายตาไปเพ่งมองอีกคน

ชายคนนี้กำยำเช่นเดียวกัน แบกหอกยาวหลายเล่ม ทว่าขนาดรูปร่างค่อนข้างเตี้ย แต่ถึงกระนั้นซูหมิงกลับสัมผัสได้ถึงพลังโลหิตมหาศาลในร่างของชายคนนี้ อีกทั้งยังล้ำหน้าชายอีกคนไปไกล ตนในตอนนี้ไม่อาจเทียบเคียงได้

เขาเป็นผู้แข็งแกร่ง!

ซูหมิงหรี่ดวงตาลง ยกคันศรขึ้นเล็งไปทางชายร่างกำยำผู้นั้น

ตอนที่ซูหมิงมองไป เขาก็มองเห็นซูหมิงเช่นเดียวกัน ดวงตาฉายแววเย็นเยือกดูดุร้าย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!