Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1201

ตอนที่ 1201 รกร้างสร้างบรรพกาล

“สัญลักษณ์ประกายสายฟ้าตรงระหว่างคิ้วใบหน้าที่รวมจากสัตว์รกร้างหมายถึงภัยพิบัติรกร้าง เหมือนกับภายในระหว่างคิ้วของเจ้าตอนนี้ก็มีสัญลักษณ์แบบนี้เหมือนกัน นี่หมายความว่าเจ้าคือคนที่จะต้องผ่านภัยพิบัติรกร้าง” ชายชรา เผ่าวิญญาณสวรรค์เงียบไปครู่หนึ่ง ตอนที่เอ่ยต่อ เขามองซูหมิงด้วยความซับซ้อน เพราะเขาเห็นว่าในระหว่างคิ้วซูหมิงมีสัญลักษณ์สายฟ้าหนึ่งโผล่ขึ้นมาโดยที่ซูหมิงไม่สังเกตเห็นแม้แต่น้อย

ซูหมิงมีสีหน้าปกติ เพียงยกมือขวาลูบตรงระหว่างคิ้วเบาๆ ผิวหนังตรงนั้นเหมือนถูกพลังประหลาดบางอย่างเผาไหม้ ทำให้เขาไม่สังเกตเห็นเลยว่าในความผิดปกติมีตราประทับรอยสายฟ้าแบบนี้ปรากฏขึ้น

“จะมาได้ทุกเมื่อในหนึ่งปีนี้อย่างนั้นหรือ” ซูหมิงเงียบไปชั่วขณะก่อนเอ่ยขึ้นเบาๆ เขาในตอนนี้มองจากภายนอกให้ความรู้สึกเพียงเหนือธรรมดา มองไม่ออกว่าระดับชีวิตเขาพัฒนาจากวิญญาณชนรุ่นหลังกลายเป็นบรรพชนวิญญาณที่ตอนนี้มีอยู่ไม่มากในมหาโลกสามรกร้างแล้ว

แต่หากซูหมิงแผ่กลิ่นอายพลังออกมา กลิ่นอายพลังก็มากพอจะทำลางล้างฟ้าดิน มากพอจะกลายเป็นเจตนารมณ์แห่งสวรรค์ของผืนฟ้าหนึ่งทิศ

“จะมาได้ทุกเมื่อในหนึ่งปีนี้ ตอนนั้นเดือนที่สิบวันที่เจ็ดภัยพิบัติรกร้างของข้าก็มาเยือนเหมือนกัน” ชายชราเผ่าวิญญาณสวรรค์เอ่ยเสียงต่ำ

ซูหมิงยิ้มสบายๆ เขาลำบากมาตลอดชีวิตแล้ว เจอกับอันตรายมานับไม่ถ้วน แม้ภัยพิบัติรกร้างจะลึกลับ แต่ในเมื่อภัยพิบัตินี้ลิขิตไว้ว่าต้องมาแน่ เช่นนั้นจะให้กลัวก็ไม่ช่วยอะไร การเผชิญหน้าอย่างสงบนิ่งและมีสติต่างหากคือสิ่งที่เขาเลือกในตอนนี้

“ขอบคุณมากที่ผู้อาวุโสช่วยคุ้มกันให้ ผู้เยาว์จะไม่ลืมข้อตกลงระหว่างเรา ทว่าตอนนี้ผู้เยาว์ยังต้องให้ผู้อาวุโสรอก่อน ตอนก้าวสู่บรรพชนวิญญาณ ผู้เยาว์ได้ตระหนักถึงความคิดที่ในอดีตข้าไม่เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง จำต้องอาศัยพลังนี้หล่อหลอม วิชาอภินิหารของข้า” ซูหมิงมองชายชราเผ่าวิญญาณสวรรค์

“เดิมทีควรจะเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ตอนที่ก้าวสู่บรรพชนวิญญาณ ฟ้าดินจะหลอมรวมสู่ตัวเรา เป็นตอนที่เจ้าเข้าใกล้ดวง

จิตสามรกร้างมากที่สุด จงทำความเข้าใจกับความรู้สึกนี้ให้ดี ตอนนั้นข้าได้สร้างสุดยอดวิชาอภินิหารน่าตะลึงไม่น้อยภายใต้สภาพการณ์นี้เหมือนกัน” ชายชรา เผ่าวิญญาณสวรรค์พยักหน้า

ซูหมิงนั่งขัดสมาธิลงหลับตา ตอนนี้เมื่อสัตว์รกร้างจากไป น้ำวนบนฟ้าหายไป วิหารเหล่าเทพรวมถึงร่างเงาสีทองสองพันกว่าคนบนฟ้าก็ค่อยๆ เลือนราง ครู่ต่อมาวิหารสยบวิญญาณข้างๆ ก็หายไปกลางฟ้า รอคอยถูกใครเรียกมาอีกครั้ง

ซูหมิงสงบจิตใจลงและค่อยๆ นึกถึงความรู้สึกตอนก้าวสู่บรรพชนวิญญาณ ค่อยๆ ให้ความรู้สึกนี้คงอยู่ในใจตลอด ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม เขาตกห้วงอยู่ในสภาพนี้ อย่างสมบูรณ์ ทว่าก็มีความตื่นตัวอยู่ข้างนอกเสี้ยวหนึ่ง

เวลาผ่านไปช้าๆ หลายชั่วยามต่อมา จิตใจเขาอยู่ในความรู้สึกตอนก้าวสู่บรรพชนวิญญาณมานานมากแล้ว ตอนนี้เองในใจเขาเกิดความว่างเปล่า

นั่นคือความผ่อนคลาย จิตสำนึกออกจากร่างไปลอยอยู่ข้างนอกเพื่อตระหนักรู้สภาพของจักรวาล ภายในสภาวะนี้ ในความคิดเขาปรากฏภูเขาทมิฬ ปรากฏภาพตอนที่เขาเงยหน้า

คำรามขึ้นฟ้ากลายเป็นเทพหมานบนแผ่นดินหมาน มีผู้ฝึกฌานเผ่าหมานนับไม่ถ้วนคารวะอยู่ข้างล่าง

ภาพนี้อยู่ในความคิดเขานานมากถึงค่อยๆ เลือนราง ยามที่ชัดเจนอีกครั้ง เขากลับมายอดเขาลำดับเก้า มานั่งฌานอยู่นอกถ้ำของเขากลางยอดเขา ตรงหน้ามีกระดานภาพหนึ่ง เขากำลังใช้มือขวาวาดอะไรบางอย่าง เขารู้ว่านั่นคือหมานสังหาร เป็นรูปแบบแรกของการเปลี่ยนเทพหมาน

“ทิศทางในการตระหนักรู้ของข้าคือ…เปลี่ยนเทพหมาน!” ซูหมิงพูดพึมพำ ทันทีที่ประโยคนี้ดังก้องในใจ ภาพในความคิดพลันหายไป เมื่อกลายเป็นว่างเปล่าอีกครั้ง เขาลืมตาขึ้น

เขายังคงนั่งฌานอยู่ในโลกของวิหารเหล่าเทพที่เชื่อมกับยันต์กดตะวัน ยังคงอยู่ บนแท่นยกระดับวิญญาณสูงตระหง่านที่เดิมทีเป็นของเผ่าหมานใหญ่ ทว่า เผ่าหมานใหญ่ที่เป็นซากปรักหักพังรอบตัวเขาตอนนี้กลับเกิดการบิดเบี้ยวเหลือ คณานับ การบิดเบี้ยวเหล่านี้ประหนึ่งฟ้าและดินสับสน เหมือนกับการผันเปลี่ยน ของมิติ

เวลานี้ชายชราเผ่าวิญญาณสวรรค์ดวงตาเปล่งประกาย เขาถอยหลังไปเล็กน้อยแล้วมองทั้งซากปรักหักพังบิดเบี้ยว ประหนึ่งว่าในมวลอากาศยังมีโลกอีกหนึ่งกาลเวลาอยู่ซึ่งตอนนี้กำลังเกิดการซ้อนทับบางอย่างขึ้นที่นี่

เป็นมิติของอดีตอย่างที่เขารู้สึกไว้ก่อนหน้านี้จริงๆ เพราะการคงอยู่ของซูหมิง เพราะเขากลายเป็นบรรพชนวิญญาณ ดังนั้น…มันเลยมาที่นี่

เมื่อมิติเกิดการซ้อนทับ ในสายตาซูหมิงที่มองไป ภายในอากาศบิดเบี้ยวรอบๆ ปรากฏร่างเงาขึ้นทีละร่าง ร่างเงาเหล่านี้ล้วนเป็นชาวเผ่าหมานใหญ่ บางคนบินข้ามผ่านฟ้า บางคนนั่งฌานอยู่รอบๆ และยังมีเด็กน้อยเล่นกันในเผ่านี้ไม่น้อย ราวกับว่ามวลอากาศบิดเบี้ยวย้อนกลับไปอดีต ทำให้ซูหมิงเห็นภาพการใช้ชีวิตของ ชาวเผ่าหมานใหญ่ที่อาศัยอยู่ที่นี่ในยุคโบราณ

ควันจากการหุงอาหารลอยโชย และยังมีกลุ่มล่าสัตว์ออกไปข้างนอก สิ่งก่อสร้างจากหินตั้งขึ้นๆ ลงๆ ภายในชนเผ่า บนแผ่นดินมีแท่นยกระดับวิญญาณหลายแห่ง บนฟ้ายังมีหินลอยอยู่นับไม่ถ้วน มีนกยักษ์ที่ซูหมิงไม่เคยเห็นมาก่อนบินวนอยู่บนฟ้า บ้างก็ส่งเสียงร้องดังก้องเพราะชาวเผ่าหมานบนพื้นโยนเนื้อมาให้ พวกมันเลยมากินอาหารกันอย่างว่องไว

เสียงคึกคัก เสียงเล่นกันอย่างสนุกสนานดังกังวาน และยังมีเสียงหายใจของ ชาวเผ่าหมานที่กำลังฝึกฝนอยู่ไม่ไกล ตอนนี้อัดแน่นอยู่ในใจซูหมิง เขามองไปรอบๆ และยังเห็นว่าบนแท่นยกระดับวิญญาณจำนวนมากในเผ่าหมานใหญ่มีคนนั่งฌานอยู่เป็นส่วนใหญ่

“การสร้างแห่งเผ่าหมาน การสร้างนี้อยู่ที่ความหมาย!” ตอนที่เสียงแก่ชราดังแว่วมาจากข้างหลังซูหมิง ชาวเผ่าที่นั่งฌานอยู่บนแท่นยกระดับวิญญาณรอบๆ ต่างลืมตาขึ้น สายตามองมาทางซูหมิงพร้อมกัน ในแววตาแฝงไว้ด้วยความเคารพยำเกรงและฮึกเหิม

ซูหมิงหันหลังไปมองก็เห็นว่าข้างหลังตนมีคนนั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง นั่นคือชายชรา เส้นผมขาวดอกเลามาพร้อมกับความรู้สึกผ่านโลกมาอย่างโชกโชน

เขาสวมชุดคลุมขาวนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ตามองตรงไปข้างหน้า มองไปยังจุดที่ไกลกว่าราวกับมองทะลุตัวซูหมิงได้

ซูหมิงเงียบ เขาถอยไปหลายก้าวแล้วนั่งอยู่ข้างชายชรา ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า สิ่งที่เห็นในยามนี้คือภาพที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเมื่อใดไม่รู้

เขามองไปรอบๆ มองชายชราคนนั้นพลางนั่งฟังอยู่เงียบๆ

“ความปรารถนาคือความคิดแห่งจิตใจ การสร้างคือการเริ่มต้นแห่งการสร้าง ใช้ความคิดเปลี่ยนเป็นความปรารถนา ใช้การสร้างสร้างเป็นรกร้าง นี่…คือวิชาที่แกร่งที่สุดของเผ่าหมานใหญ่เรา ความหมายแห่งหนึ่งการสร้างบรรพกาล พวกเจ้ามีสิทธิ์ฝึกฝนบนแท่นเซ่นไหว้วิญญาณ มีสิทธิ์ตระหนักรู้วิชาแห่งการสร้างบรรพกาลของ เผ่าหมาน

วิชานี้บรรพกาลนี้แบ่งเป็นสิบ ร้อย พัน หมื่นและรกร้างห้าขอบเขต ตั้งแต่ที่ เผ่าหมานใหญ่สืบทอดวิชานี้มาก็ยังไม่เคยมีใครใช้หนึ่งการสร้างแห่งรกร้างบรรพกาลได้เลย ทุกคนจำกัดอยู่ที่หมื่นบรรพกาล พวกเจ้าต่างรู้ว่าวิชานี้มีความแกร่งดั่งดวงตะวันเจิดจ้า และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เผ่าอื่นๆ กลัวเผ่าหมานใหญ่ของเรา” ชายชราเผ่าหมานเอ่ยขึ้นช้าๆ ตอนที่เสียงดังก้อง ผู้ฝึกฌานเผ่าหมานบนแท่นยกระดับวิญญาณเหล่านั้นต่างตื่นเต้นขึ้นมา สีหน้ามีความเฝ้าปรารถนา

ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่กลับดวงตาวาววับ เขาได้ยินคำพูดหนึ่งจากคำพูดชายชรา

‘แท่นเซ่นไหว้วิญญาณ? นี่ไม่ใช่แท่นยกระดับวิญญาณรึ…’ ซูหมิงดวงตาเป็นประกายวาว ทว่าคำพูดต่อมาของชายชราก็ไขข้อสงสัยให้

“วิชานี้สืบทอดกันมาในเผ่า ส่วนหนึ่งแฝงอยู่ในสายเลือด อีกส่วนหนึ่งต้องเซ่นไหว้สวรรค์ ให้เทพบรรพชนที่ปกป้องเผ่าเราถ่ายทอดให้ด้วยตัวเอง!” คำพูดชายชราดังกึกก้อง ซูหมิงใจสั่นไหว

‘โลกที่ข้าเห็นในตอนนี้คือมหันตภัยยังมาไม่ถึง เป็นยุคสมัยที่เทพบรรพชนยังไม่สูญสิ้นไป!’ ซูหมิงพลันเงยหน้าขึ้นมองฟ้า

สีครามบนฟ้าใสดั่งน้ำสะอาด เมฆขาวลอยล่อง พอใครเห็นเข้าแล้วจะเกิดความสงบนิ่งในใจ ซูหมิงเห็นท้องฟ้าแบบนี้ไม่บ่อยนักตอนอยู่ข้างนอก

“ตอนนี้เซ่นไหว้สวรรค์อัญเชิญเทพบรรพชน!” ชายชรายืนขึ้นสะบัดแขนเสื้อประสานมือคารวะขึ้นฟ้า

คนบนแท่นทั้งหมดรอบตัวล้วนยืนขึ้นคารวะฟ้า ซูหมิงใจสั่นสะท้าน เขาเองก็ ยืนขึ้นจากสมาธิและคารวะฟ้าเช่นกัน แต่ดวงตากลับแวววาว สายตามองฟ้า

ตอนนี้เองท้องฟ้าสีครามพลันปรากฏระลอกคลื่นหลายชั้น ต่อมาระหว่างที่ระลอกคลื่นเหล่านั้นขยายออกก็รวมขึ้นเป็นใบหน้ายักษ์ ใบหน้าลดระดับลงมาจากฟ้า ช่วงที่ลงมา ภายในเผ่าหมานใหญ่เงียบสงบ ทุกคนต่างมองฟ้า ภายในใจนอกจากความเคารพแล้ว ยังมีความจริงใจและตื่นเต้น ไม่มีความเกรงกลัวใดๆ เลย

เมื่อใบหน้านั้นลดระดับลงมามากกว่าครึ่ง ดวงตาสองข้างพลันขยับแสง ฉับพลันนั้นมีลำแสงสองสายพุ่งออกมาจากดวงตาทอดลงบนพื้น กลายเป็นแสงสว่างจ้า แสบตา ก่อนมีร่างเงาสองคนเผยร่างมาจากในลำแสงช้าๆ

พวกเขาสวมเสื้อคลุมยาว หน้ำตาดูเป็นวัยกลางคน สีหน้าไม่มีความน่าเกรงขาม แต่ยิ้มมองชาวเผ่าหมานบนพื้นราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ

“เหล่าชาวเผ่าของข้า พวกเจ้าต้องการอะไร?” สองคนนี้เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ชายคนนั้นอมยิ้มมองพื้นดินพลางเอ่ยเสียงเบา คำพูดไม่มีความทะนงตัวสูงส่ง แต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกหลากหลาย คล้ายกับว่าไม่ได้มองชาวเผ่าหมานเป็นมดปลวก แต่มองเป็นชาวเผ่าอย่างที่เขากล่าวไว้จริงๆ

สตรีข้างๆ ก็เช่นกัน นางมองทุกคนในเผ่าหมานใหญ่ด้วยแววตาราวกับมารดา โดยเฉพาะตอนมองเด็กเหล่านั้น ยังเผยความรู้สึกออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ

“โปรดท่านเทพบรรพชนผู้ปกป้องเผ่าหมานใหญ่ถ่ายทอดวิชาแห่งรกร้างสร้างบรรพกาลให้ด้วย ให้พวกเขาได้ตระหนักรู้และสู้เพื่อเผ่าหมานใหญ่!” ชายชราชุดคลุมขาวคารวะลงลึก

“รกร้างสร้างบรรพกาลเป็นอภินิหารที่แกร่งที่สุดของเผ่าข้า ในร่างกายพวกเจ้ามีสายเลือดเผ่าข้าอยู่ เป็นพวกข้าที่สร้าง

เผ่าพันธุ์นี้สืบสานต่อไป วิชานี้…จะไม่มีวันสูญหาย รกร้างสร้างบรรพกาล…” ชายคนนั้นที่เป็นเทพบรรพชนเอ่ยเสียงเบาพลางยกมือขวาขึ้นโบกไปบนพื้นดิน ฉับพลันนั้นมีจุดแสงจำนวนหนึ่งตกลงมา ทุกจุดแสงล้วนมีอักขระตัวหนึ่ง พวกมันต่างตกลงกลางระหว่างคิ้วชาวเผ่าหมานทุกคนบนแท่น

หนึ่งในนั้นลอยมาทางซูหมิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!