ตอนที่ 1208 ดวงจิตแห่งบรรพชนวิญญาณ
“รนหาที่ตาย! หรือว่าพวกเจ้า ต่อให้เป็นเสียซาผู้แข็งแกร่งที่สุดคนนั้นก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ข้า!” ชายชุดคลุมม่วงยิ้มเยาะ เขาก้าวเดินพลางยกมือขวาขึ้นชี้ไป ฉับพลันนั้นมีธูปสามดอกโผล่มา พอจุดไฟในทันใดแล้วมันก็ตรงดิ่งไปหาพวกศิษย์พี่ใหญ่สามคน
คนชุดคลุมเหลืองแปดคนข้างหลังต่างส่งเสียงหัวเราะแหลม มีสีหน้าละโมบ พวกเขาขยับไหวกลายเป็นแสงสีเหลืองแปดสายพุ่งไปยังผู้ฝึกฌานสองหมื่นคน เหมือนว่าสำหรับพวกเขาแล้ว ผู้ฝึกฌานเหล่านี้คืออาหารเสริมที่ดีที่สุด
พอเห็นว่าธูปสามดอกจากอภินิหารของชายชุดคลุมม่วงเข้ามาใกล้พวกศิษย์พี่ใหญ่ สามคน ช่วงที่พวกเขาสามคนต่างจะใช้อภินิหารของตัวเองเพื่อรบจนตัวตายนั้น ต้นไม้ใหญ่ร่างแปลงร่างแยกเอ้อชางพลันบิดเบี้ยวก่อนหายวับไป มาปรากฏอีกทีอยู่ตรงหน้าพวกศิษย์พี่ใหญ่สามคน ใช้ร่างกายต้านพลังของธูปสามดอกนั้นเอาไว้
เกิดเสียงโครมดังขึ้น ร่างแยกเอ้อชางร่างสั่นสะท้าน เขาพาพวกศิษย์พี่ใหญ่ สามคนหนีออกไปหลายร้อยจั้ง ชั่วขณะที่
ชายชุดคลุมม่วงยิ้มเยาะตามมาและพวกศิษย์พี่ใหญ่สามคนจะระเบิดพลังอีกครั้งนั้น ร่างแยกเอ้อชางพลันเอ่ยขึ้น
“ข้ากลับมาแล้ว”
คำพูดประโยคง่ายๆ ทำให้ศิษย์พี่ใหญ่ตัวสั่นไหว ศิษย์พี่รองมองร่างแยกเอ้อชาง หู่จื่ออึ้งงันไปชั่วขณะ แต่ไม่นานก็ตื่นเต้นขึ้นมา
“ข้ากลับมาแล้ว” ร่างแยกเอ้อชางมองสามคน มองแววตาของพวกเขาที่เหมือนต้องการการยืนยันพลางเอ่ยช้าๆ ทันทีที่กล่าวออกไป เขาไม่มองชายชุดคลุมม่วงที่ ห้อเหยียดตามมาข้างหลัง แต่ยกมือขวาขึ้นคว้าอากาศ เพียงคว้าไปท้องฟ้าสั่นสะท้าน มีระลอกคลื่นขยายออกไปยังชายชุดคลุมม่วง
ชายคนนี้ยิ้มเยาะ เขาไม่หยุดเดิน แต่เมื่อเข้าปะทะกับระลอกคลื่นแล้ว ระลอกคลื่นพลันแตกสลายไป เหมือนทำอันตรายเขาไม่ได้แม้แต่น้อย
“ฝีมือต่ำต้อย วันนี้สำนักลำดับเก้าต้องถูกทำลาย พวกเจ้าก็ต้องสิ้นชีพไป รอข้าทำลายพันธมิตรใต้ก่อน จากนี้ในโลก
แท้จริงดาราสัจธรรมจะมีแค่สำนักดาราสัจธรรมใหม่เท่านั้น” ชายชุดคลุมม่วง ก้าวเดินไป ขณะกำลังจะเข้าไปใกล้ร่างแยกเอ้อชาง กลับมีเสียงราบเรียบดังก้องในฟ้า
“ร่างแยกข้าไม่ได้มีฝีมือต่ำต้อย แต่เพื่อทำเครื่องหมายให้กับแซ่โม่ต่างหาก” ขณะเดียวกับที่เสียงนี้ดังขึ้น ชายชุดคลุมม่วงพลันตัวสั่นไปทั่วร่าง เขาหยุดชะงักและเงยหน้าขึ้น เห็นว่าในมวลอากาศข้างบนกลางระลอกคลื่นก่อนหน้านี้มีสองร่างเงา เดินออกมา
สองร่างเงานี้หนึ่งเป็นชายหนุ่ม อีกหนึ่งเป็นชายชรา ชายชรามีสีหน้าเฉยชาและเย็นชา ส่วนชายหนุ่มมีดวงตาเย็นชา ยามที่เอ่ยเรียบๆ ก็เดินมาอยู่ข้างร่างแยกเอ้อชาง มองพวกศิษย์พี่ใหญ่สามคน เห็นหู่จื่อตื่นเต้น เห็นศิษย์พี่รองยิ้ม และยังมีศิษย์พี่ใหญ่ ที่ร่างกายผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด ซูหมิงมีสีหน้าละอายใจ
“ข้ากลับมาช้า…” ซูหมิงเอ่ยเสียงเบาก่อนโบกมือขวาไปทางศิษย์พี่ใหญ่ ทันใดนั้นมีพลังนุ่มนวลหลั่งไหลเข้าไปในร่างศิษย์พี่ใหญ่ เกิดเสียงดังปุงปัง ศิษย์พี่ใหญ่ตัวสั่น อาการบาดเจ็บในร่างกายสมานรวมกันในพริบตา พลังที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าแผ่ออกมา
ส่วนหู่จื่อก็มีพลังนุ่มนวลหลอมรวมเข้าไปในร่างกายเช่นกัน เขาเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า วิญญาณที่เสียหายเพราะวงแหวนอาคมพังลงฟื้นกลับมาในเสี้ยวพริบตา ถึงขนาดที่แกร่งกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย
ส่วนร่างแยกเอ้อชาง ยามที่ซูหมิงมองไป ร่างแยกเดินเข้ามาทันที เมื่อหลอมรวมกับร่างกายเขาแล้วก็หายไป
ภาพนี้ทำให้ชายชุดคลุมม่วงหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน เขาถอยหลังไปหลายก้าวโดยจิตใต้สำนึก นัยน์ตาจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กระทั่งผู้ฝึกฌานชุดคลุมเหลืองแปดคนนั้นยังกลับมาอยู่ข้างชายชุดคลุมม่วง แววตากระหายเลือดเปลี่ยนเป็นตื่นตัว ดวงตาจ้องซูหมิง
เทียบกับพวกเขาแล้ว พอผู้ฝึกฌานที่เหลือรอดของสำนักลำดับเก้าเห็นซูหมิงแล้วต่างใจสั่นไหว พวกเขาไม่คุ้นหน้าซูหมิงอย่างยิ่ง และยังได้ยินว่าร่างแยกจากปากซูหมิง!
“เจ้าเป็นใคร!” ชายชุดคลุมม่วงกล่าวเสียงทุ้ม แต่เมื่อสิ้นเสียง ซูหมิงหันหน้าไปมองเขาแวบหนึ่ง เพียงแค่แวบเดียวทำเอาจิตใจชายชุดคลุมม่วงเกิดเสียงดังอึกทึกรุนแรง สายตาซูหมิงประหนึ่งกระบี่คมกริบสองเล่มทะลวงผ่านดวงตาเขาเข้าไปในจิตใจกลายเป็นเสียงดังสนั่น เขาตัวสั่นงันงกและยังกระอักเลือดกองใหญ่ ร่างล้มลงอย่างรวดเร็ว
ภายในใจเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเหลือเชื่อ เขาบรรลุถึงขั้นดับแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับทำอันตรายจิตใจเขาด้วยการมองเพียงแวบเดียว ในสายตาเขานี่มีเพียงความเป็นได้เดียวคืออีกฝ่ายเหนือกว่าขั้นดับ!
ระหว่างที่ชายชุดคลุมม่วงถอยไป เขายังนึกไปถึงคำว่าร่างแยกที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงก่อนหน้า ในใจจึงเต้นดังตึกๆ เดิมทีเขายังไม่เชื่อ แต่ตอนนี้จะไม่เชื่อได้อย่างไรแล้ว พอนึกขึ้นว่าคนที่ทำสงครามกับตนมาหลายปีและยังคิดว่าเป็นศัตรูที่สมน้ำสมเนื้อ เป็นเพียงร่างแยก ความหวาดกลัวในใจเขาไม่อาจยับยั้งเอาไว้ได้อีกแล้ว เลยระเบิดออกมาทั้งหมด
“สวรรค์ให้เจ้าตาย เจ้าก็ต้องตาย” ซูหมิงมองชายชุดคลุมม่วงที่ถอยไปด้วย หน้าขาวซีด เขาไม่ได้ตามไป แต่เพียงพูดขึ้นเรียบๆ
สิ้นเสียงซูหมิง ฉับพลันนั้นฟ้ากระจ่างดาวเหมือนเกิดการสั่นสะเทือน ประหนึ่งว่าถูกแยกออกจากโลกดาราสัจธรรม ไม่ใช่ของโลกนี้อีก แต่กลายเป็นดวงจิตของซูหมิง
เขาเป็นบรรพชนวิญญาณหรือก็คือเจตนารมณ์แห่งสวรรค์ คำพูดเขาเนิบช้า แต่เมื่อเข้าถึงหูคนโดยรอบกลับกลายเป็นเสียงฟ้าผ่าในใจ กลายเป็นดวงจิตมหึมาที่ ไม่มีใครต่อต้านได้
ความแกร่งของดวงจิตนี้คือการแสดงออกของฟ้า เป็นการมองจากจักรวาล อีกทั้งสายตาเขายังเป็นจุดกำเนิดของทุกสิ่ง คำพูดเขาคือเจตนารมณ์แห่งสวรรค์ที่มาแทนที่จิตของฟ้าแห่งนี้!
ชายชุดคลุมม่วงร้องโหยหวนเสียงแหลม เขาตัวสั่นพลางมองร่างกายตนกำลังหายไปอย่างรวดเร็ว วิญญาณหายไปอย่างเร็วไวเช่นกัน ยามนี้ไม่ว่าเขาจะมีขั้นพลังใด ถึงจะเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นดับ แต่ไม่ว่าจะโคจรพลังในร่างกายอย่างไรก็ไม่อาจหยุดให้ร่างกายกับวิญญาณหายไปได้ ความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนลอยขึ้นมาในใจอย่างไร้ที่สิ้นสุด นี่คือพลังของดวงจิตที่เขาไม่อาจต่อต้านได้เลย
“เจ้ามีขั้นพลังระดับใดกันแน่!” ชายชุดคลุมม่วงตะโกนเสียงเล็กแหลมอย่างอนาถ ตอนนี้ร่างกายเขาเป็นกึ่งโปร่งใสไปแล้ว วิญญาณเหลือไม่กี่ส่วน จนกระทั่งเอ่ยประโยคสุดท้ายออกไป ทุกอย่างของเขาเหมือนถูกลบหายไปภายใต้เจตนารมณ์แห่งสวรรค์ของฟ้าแห่งนี้
เสียงก่อนตายของชายชุดคลุมม่วงยังคงดังก้อง โดยรอบนอกจากเสียงนี้แล้ว ก็เงียบกริบ ผู้ฝึกฌานยอดเขาลำดับเก้าสองหมื่นคนตอนนี้ต่างตัวสั่น มองซูหมิงด้วยแววตาฮึกเหิมและเคารพ พวกเขาต่างทยอยกันคุกเข่าคารวะอย่างไม่ต้องนัดหมาย
ศิษย์พี่ใหญ่อึ้งไป ในภาพจำเขา แม้ซูหมิงจะแกร่ง แต่ไม่ถึงขั้นสายตาและดวงจิตก็สามารถลบขั้นดับได้ ระดับความแกร่งนี้…ต่อให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังทำไม่ได้ แต่ทุกอย่างที่เขารู้สึกมันสมจริง นี่เลยทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อ
ศิษย์พี่รองลมหายใจกระชั้นเล็กน้อย เขาเหม่อมองทุกอย่างตรงหน้า มองตรงจุดที่ชายชุดคลุมม่วงหายไปพลางพูดพึมพำ
“เมื่อครู่นี้ ฟ้าที่นี่ถูกเปลี่ยน ข้ารู้สึกเหมือนว่าฟ้าของที่นี่มีกลิ่นอายพลังของ ศิษย์น้องเล็กอยู่ทั่วทุกมุม…”
หู่จื่อเกาศีรษะอย่างซื่อๆ เขาไม่คิดอะไรมากนัก ตอนนี้มองซูหมิงอย่างดีใจ ยิ่งซูหมิงแกร่งมากเท่าไรเขาก็ยิ่งดีใจ
เทียบกับทุกคนแห่งยอดเขาลำดับเก้าแล้ว ผู้ฝึกฌานหลายหมื่นคนแห่งสำนักดาราสัจธรรมใหม่ที่ทำลายวงแหวนอาคมเข้ามาต่างถอยไปด้วยความหวาดกลัว เหตุการณ์เมื่อครู่พิลึกเกินไป และที่ทำให้พวกเขารู้สึกเหลือเชื่อเลยคือเจ้าสำนักของพวกเขา ตัวประหลาดขั้นดับในสายตาพวกเขา กระทั่งคงอยู่ไม่อาจดับสูญยังถูก ลบหายไปอย่างง่ายดาย
ชั่วขณะที่ผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรมใหม่หลายหมื่นคนหวาดกลัว คนชุดคลุมเหลืองแปดคนต่างมีสีหน้าตื่นกลัวอย่างเด่นชัด พวกเขาล้วนถอยไปช้าๆ พลางจ้อง ซูหมิงเขม็งด้วยแววตาเหลือเชื่อ
“ดวงจิตแห่งบรรพชนวิญญาณ! นี่มันดวงจิตแห่งบรรพชนวิญญาณ!” แปดคนนี้แทบจะกล่าวพร้อมกัน ไม่ว่าน้ำเสียงหรือสีหน้าเหมือนกันทุกประการ ทันทีที่เอ่ยขึ้น แปดคนนี้พลันหมุนตัวกลับอย่างไม่ลังเล ก่อนหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต
ดวงจิตแห่งบรรพชนวิญญาณของซูหมิงสร้างความหวาดผวาแก่พวกเขาอย่างยิ่ง และยังทำให้พวกเขารู้สึกถึงความกลัวอย่างชัดเจน เป็นเพราะดวงจิตแห่งบรรพชนวิญญาณนี้เองที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนแทบจะสิ้นหวัง
“สมควรตายๆ ไหนบอกว่าในมหาโลกสามรกร้างมีบรรพชนวิญญาณแค่ไม่กี่คนเองไม่ใช่รึ เหตุใดข้าถึงเจอคนหนึ่งที่นี่ บรรพชนวิญญาณ…นั่นคือบรรพชนวิญญาณ!” ชายชุดคลุมเหลืองห้อทะยานหนีไปอย่างบ้าคลั่ง ซูหมิงมองแปดคนนี้พลาง แค่นเสียงหึเย็นชา
เสียงหึเย็นชาดังขึ้นส่งผลให้เกิดเสียงดังอึกทึกในใจแปดคน ทวารทั้งเจ็ดพลันมีโลหิตไหล ร่างกายพวกเขาหยุดชะงักก่อนระเบิดออก ระหว่างนั้นมีเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น ภายในร่างระเบิดของทุกคนมีตั๊กแตนบินออกมาจำนวนมาก
ตั๊กแตนเหล่านี้รวมเข้าด้วยกันกลางเสียงดังอื้ออึงจนกลายเป็นร่างใหญ่ยักษ์ มีแรงกดดันรุนแรง แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น มันก็ยังไม่กล้าหันหลังกลับ แต่ยังคงหนีไปอย่างตื่นตระหนก
“ที่แท้ก็เป็นเจ้า” ซูหมิงเอ่ยเรียบๆ พร้อมยกมือขวากางฝ่ามือออก ตรงกลาง ฝ่ามือปรากฏลูกกลมหนึ่งลูก ลูกกลมสั่นไหวและแตกออกทันใด กลายเป็นตั๊กแตนแบบเดียวกันกลุ่มหนึ่งบินออกไป ตอนนี้เองร่างเงาที่รวมจากตั๊กแตนอยู่ห่างไกลหยุดชะงัก ทว่าก็หนีต่อไปทันที แต่ถึงกระนั้นภายใต้การกวาดล้างด้วยดวงจิตของ ซูหมิง ร่างเงาที่รวมจากตั๊กแตนจึงร้องโหยหวนเสียงแหลมเล็ก
“ผู้อาวุโวไว้ชีวิตด้วย ผู้เยาว์ขอยอมแพ้ ผู้อาวุโสไว้ชีวิตด้วย!”