Skip to content

สู่วิถีอสุรา 129

ตอนที่ 129 หนังสัตว์หนึ่งผืน

ซูหมิงปรารถนาจะบรรลุขั้นชำระล้าง ความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นชำระล้าง นอกจากในตำราหนังสัตว์แล้วก็มาจากเรื่องเล่าของท่านปู่ในช่วงเวลาสิบกว่าปี

เขาทราบดี สิ่งที่เรียกว่าชำระล้าง เมื่อเส้นเลือดในร่างกายถึงระดับที่มั่นคงแล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ประดุจหนอนกลายเป็นผีเสื้อ จะปล่อยเส้นเลือดที่รวมอยู่ในร่างกายมาด้านนอก ก่อรูปเป็นโลหิตหมาน และใช้มันวาดลวดลายหมานบนตัว

ลวดลายของแต่ละคนต่างกัน ในโลกใบนี้ไม่มีลวดลายหมานที่เหมือนกันทั้งหมด ต่อให้คล้ายก็ยังมีความต่าง ส่วนจะวาดลวดลายหมานอะไรอยู่ที่คนวาดกำหนด และตามหาความรู้สึกท่ามกลางความมืดมิดนั้น

ทว่าสิ่งที่เหมือนกันคือ หากไม่พบความรู้สึกนี้ก็ต้องวาดลวดลายหมานอย่างสุดความสามารถ และเมื่อเป็นเช่นนั้นพลังจะอ่อนลงไม่น้อย

ฉะนั้นจึงมีบางคนก้าวเข้าสู่ชำระล้าง แต่ยังไม่เลือกวาดลวดลายหมาน พวกเขาไม่ยอมเสียดาย ดังนั้นจึงฝืนหยุดอยู่ในขั้นตอนนั้น เพื่อพยามตามหาความรู้สึกที่ไม่อาจกล่าวได้

เมื่อวาดลวดลายหมานเสร็จแล้วจะไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ชั่วชีวิต อีกทั้งยิ่งลวดลายซับซ้อนมากเท่าไร การฝึกฝนจะยิ่งยากเย็น เทียบไม่ได้กับคนที่วาดลวดลายหมานแบบง่ายๆ แม้จะยากเข็ญ ทว่าหากประสบความสำเร็จก็จะเป็นผู้มีลวดลายหมานซับซ้อน แข็งแกร่งอยู่เหนือกว่าระดับเดียวกัน!

ส่วนขั้นตอนการทะลวงชำระล้างย่อมเกี่ยวกับจำนวนเส้นเลือดของขั้นรวมโลหิต ยิ่งเส้นเลือดมากความสำเร็จจะยิ่งมาก ยิ่งจำนวนมากในขั้นชำระล้างตอนต้นจะยิ่งแข็งแกร่ง

กระทั่งหากทะลวงเส้นเลือดได้มากกว่าเก้าร้อยห้าสิบเส้น เมื่อก้าวเข้าสู่ขั้นชำระล้าง ขั้นชำระล้างตอนต้นธรรมดาจะไม่อาจต้านทาน แม้เทียบไม่ได้กับชำระล้างตอนกลาง ทว่าในตอนต้นเรียกก็ได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง

เพียงแต่ว่าจำนวนเส้นเลือดส่วนใหญ่มีแค่เจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ดเส้นเท่านั้น ต่อให้มากกว่านี้ก็ยากจะทะลวงถึงเก้าร้อยห้าสิบเส้น เว้นแต่จะมีปณิธานมุ่งมั่น จิตใจแน่วแน่ และโอกาสครั้งใหญ่ อีกทั้งยังต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้าหรืออาจมีชนเผ่าสนับสนุน มิเช่นนั้นแล้ว คงไม่มีใครยืนหยัดเพิ่มเส้นเลือดตัวเองในช่วงเวลายาวนานนั้นได้โดยไม่พลาด

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเส้นเลือดถึงจุดที่มั่นคงแล้ว ใช่ว่าจะใช้เวลาเพิ่มเส้นเลือดได้อีก ส่วนใหญ่ใช้เวลาสิบกว่าปีกว่าจึงจะเพิ่มมาหนึ่งเส้นด้วยความยากลำบาก

ชำระล้างยาก ทว่าหากพอใจจะว่าง่ายมันก็ง่าย ผู้ไม่แสวงหาเส้นเลือดเก้าร้อยเส้นขึ้นไป แต่อยู่ประมานแปดร้อยเส้นก็มี ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความพอใจ

หากทะลวงสู่ขั้นชำระล้าง ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตาม เมื่อวาดลวดลายหมานเสร็จแล้วจำเป็นต้องยืมพลังจากลวดลายหมานช่วงต้นมาเป็นวัตถุเหมือนดังเครื่องเซ่นในร่างกาย สิ่งนี้จะกลายเป็นวัตถุหมานประจำตัวชิ้นแรกในชีวิต!

วัตถุหมานที่ว่านี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักรบชำระล้างทุกคน

ฉะนั้นคนที่พลังทะลวงถึงขีดสุดขั้นรวมโลหิตมีโอกาสก้าวเข้าสู่ชำระล้างได้ทุกเวลา ล้วนต้องเตรียมวัตถุเช่นนี้เอาไว้ก่อนล่วงหน้า ป้องกันเผื่อว่าเมื่อทะลวงสู่ชำระล้างแล้วไม่มีเครื่องเซ่นไหว้ที่ดีพอ ซึ่งอาจสร้างความลำบากและเสียดายให้กับตัวเอง

เว้นแต่จะเป็นโอรสแห่งสวรรค์ของชนเผ่าแข็งแกร่งเหล่านั้น พวกเขาไม่ต้องเตรียมตัวก็มีผู้อาวุโสคอยชี้แนะและเตรียมการให้ทุกอย่าง ถึงอย่างไรขั้นชำระล้างก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเผ่าขนาดกลาง

สำหรับวัตถุดังกล่าว ซูหมิงเคยได้ยินท่านปู่เล่าโดยบังเอิญครั้งหนึ่ง เพื่อไม่ให้วัตถุต่อต้านตนระหว่างเซ่นไหว้สังเวย จำเป็นต้องหยดโลหิตตัวเองลงบนวัตถุหนึ่งหยด และต้องทำเช่นนี้ทุกช่วงเวลาถึงจะก่อให้เกิดเป็นความรู้สึกเชื่อมกันทางโลหิต และหลีกเลี่ยงปัญหาตอนทะลวงสู่ชำระล้างในภายภาคหน้า

ยามนี้ในกล่องหินสีขาวบนมือของซูหมิงมีใบไม้รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสีขาวหนึ่งใบ แม้ลักษณะดูแปลก ทว่าเส้นใยชัดเจน มันเป็นใบไม้จริงๆ

ด้านบนมีหยดโลหิตสดหนึ่งหยด เหลือไม่มากแล้วและจับตัวเหนียว ภายในเส้นใยมีอยู่ราวสามส่วนกลายเป็นสีแดง

‘นี่คือวัตถุเซ่นไหว้ที่เหอเฟิงเตรียมไว้สำหรับขั้นชำระล้าง!’ ซูหมิงมองใบไม้สีขาวในกล่อง แววตาเป็นประกาย มูลค่ามันเกินกว่าเหรียญหิน กระทั่งกล่าวได้ว่าไม่อาจประเมินค่าได้

สำหรับคนที่เตรียมทะลวงสู่ชำระล้างมาเป็นอย่างดีอาจมีผลไม่มากนัก ทว่าสำหรับคนที่ยังไม่เตรียมตัว มูลค่าของสิ่งนี้เพียงพอจะทำให้พวกเขายอมทุ่มสุดตัว

อีกทั้งวัตถุชิ้นนี้เหอเฟิงยังวางใส่ไว้ในกล่องหินล้ำค่า เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดา ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนเผ่าเขาหานในอดีต แม้เผ่าเขาหานจะถูกทำลาย แต่ในเมื่อตกทอดสมบัติล้ำค่าอย่างถุงสีม่วงเอาไว้ และคงเหลือของล้ำค่าเช่นนี้ไว้ให้ได้ ฉะนั้นสิ่งนี้จะต้องเป็นวัตถุเซ่นไหว้ชำระล้างชั้นเยี่ยมอย่างแน่นอน

ซูหมิงมองใบไม้ในกล่องหินแล้วใช้มือขวาดีดเบาๆ ส่งพลังโลหิตเข้าไปสั่นสะเทือน โลหิตข้นบนใบไม้พลันถูกดีดลอยขึ้นกลายเป็นเปลวเพลิงกลางอากาศแผดเผาหายไปไร้ร่องรอย แม้ว่าบนใบไม้จะไม่มีโลหิตของเหอเฟิงแล้ว

ทว่าในเส้นใยกลับมีส่วนที่ผสานเข้าไปแล้วอยู่เล็กน้อย จำเป็นต้องใช้เวลาในการเอามันออก แต่ซูหมิงก็มีความอดทนมากพอ

‘หากข้าหาสิ่งที่ดีกว่าไม่ได้ วันที่ทะลวงสู่ชำระล้างก็ต้องใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องสังเวย’ ซูหมิงปิดกล่องหินล้ำค่า สายตามองไปทางวัตถุชิ้นสุดท้าย มันเป็นหน้ากากสีดำทึบดึงดูดสายตา

เขาหยิบมันขึ้นมาดูชั่วครู่ มองไม่ออกว่ามันมีเงื่อนงำอะไร ขณะขบคิด เขาก้มหน้าลงมองร่างหมดสติของเหอเฟิง ยันกายขึ้นไปอยู่ข้างอีกฝ่าย ก่อนนำหน้ากากสวมบนใบหน้าให้อย่างช้าๆ

สีหน้าเขาดูตื่นตัว ในช่วงที่กำลังนำหน้ากากสวมใบหน้าเหอเฟิง เขาคอยเฝ้าจับตาดูการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย จนกระทั่งสวมลงไปแล้วก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เพียงแต่หน้ากากนี้ทำให้เหอเฟิงราวกับกลายเป็นอีกคน โดยเฉพาะบนหน้ากากไม่มีอวัยวะบนใบหน้า มีแค่โพรงดวงตาสองข้าง ทำให้ใบหน้าเผยกลิ่นอายมืดหม่นวังเวง ซูหมิงขมวดคิ้ว ขณะกำลังจะถอดหน้ากากสีหน้าพลันเปลี่ยน

ในสายตาของเขา เหอเฟิงในยามนี้ค่อยๆ ลอยขึ้น ราวกับกลายเป็นภาพเลือนราง ที่ชัดเจนมีเพียงสิ่งเดียวคือหน้ากากอันนั้น

ซูหมิงร้องเบาๆ ถอดหน้ากากออกจากใบหน้าเหอเฟิง จากนั้นสำรวจร่างกายเขาอย่างละเอียด แม้แต่ในร่างกายยังใช้พลังโลหิตเพื่อตรวจสอบ หลังจากมั่นใจแล้วว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากก่อนหน้านี้จึงค่อยวางใจ เขาถอยหลังหลายก้าว ขณะกำลังลองใส่หน้ากากบ้าง กลับเกิดความลังเล มองมันอีกหลายครั้ง ก่อนนำใส่ไว้ในถุงสีม่วง

‘เหอเฟิงคนนี้มีแผนการหยั่งลึก จะต้องระวังไว้!’ ซูหมิงเงียบขรึม ในสิ่งของเหล่านี้สิ่งที่น่าสงสัยมากสุดคือหน้ากากอันนั้น ทว่าเขาเองก็ไม่แน่ใจ หลังจากเก็บสิ่งของทุกอย่างแล้ว จึงมองร่างหมดสติของเหอเฟิง หยิบสมุนไพรวัตถุดิบสำหรับหลอมโอสถชิงวิญญาณ จากนั้นนำไปวางไว้บนตัวเหอเฟิง กดให้เป็นโพรงโลหิต และเริ่มปลูกไว้ด้านบนตามวิธีการหลอมในความคิด

สมุนไพรเหล่านั้นซูหมิงมองไม่ออกว่ามีจุดพิเศษอย่างไร

แต่เมื่อปลูกบนตัวเหอเฟิงแล้ว พวกมันกลับแห้งเหี่ยวด้วยความเร็วระดับสายตา ไม่นานก็หายเข้าไปในโพรงโลหิตทีละต้น

เขาเห็นมันกับตา ทว่าไม่ได้แปลกใจนัก กลับกันนัยน์ตาเป็นประกายวาววับ ในขั้นตอนการหลอมโอสถชิงวิญญาณมีการอธิบายเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่ แสดงว่าร่างกายของเหอเฟิงตรงกับความต้องการ อีกทั้งยังเป็นร่างกายสำหรับการปลูกชั้นเยี่ยม แม้สมุนไพรเหล่านี้จะแห้งเหี่ยว

ทว่าความจริงแล้วกลับทิ้งเมล็ดพันธุ์เอาไว้ในตัวเหอเฟิง ใช้ร่างกายเป็นหม้อ ค่อยๆ เติบโตอย่างช้าๆ เมื่อถึงจุดที่มั่นคงแล้วก็จะหลอมได้

เมื่อปลูกสมุนไพรทุกต้นแล้ว ซูหมิงจึงนั่งขัดสมาธิลงด้านข้าง หยิบกระดูกสีดำที่ซื้อมาจากเมืองเขาหานและกระดูกสีขาวจากในถุงเหอเฟิงขึ้นมา เทียบกันแล้วเหมือนกับสมุนไพรสองชนิด เขาปลูกมันตามขั้นตอน ในเวลานี้ยังมองไม่ออกถึงเงื่อนงำ จึงนำกระดูกสองชิ้นมารวมไว้กับเหอเฟิง

‘หากกระดูกขาวนี้ใช้ได้ เช่นนั้นการหลอมโอสถชิงวิญญาณก็ขาดเพียงสมุนไพรสามชนิดกับกระดูกอีกหนึ่งชิ้น สมุนไพรสามชนิดนี้ ไม่รู้ว่าฟางมู่จะหามาได้กี่ชนิด’

ซูหมิงขบคิด ก่อนเลิกนึกถึงมันอีก แต่หยิบหนังสัตว์กับมู่เจี่ยนในถุงของเหอเฟิงขึ้นมาอ่านภายในถ้ำเงียบสงัด

‘แหล่งที่ซ่อนสมบัติล้ำค่าของเหอเฟิงยังไม่ต้องรีบไปก็ได้ รอให้ปลอดภัยก่อนก็คงไม่สาย ไม่รู้ว่ามันเป็นสมบัติแบบไหนกันแน่…” ซูหมิงอ่านมู่เจี่ยนไปพลาง ขบคิดไปพลาง

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่นานก็สองวัน ในสองวันนี้ซูหมิงไปเฝ้าสังเกต ‘หม้อยา’ ของตัวเองบ่อยครั้ง บ้างก็ไปดูสมุนไพรที่ปลูกจากกระดูกสองชนิด ทั้งยังเฝ้าจับตามองโลกภายนอก นอกจากนี้แล้ว เวลาที่เหลือก็จะเป็นการฝึกฝนเคล็ดวิชาตราประทับจากมู่เจี่ยน

เคล็ดวิชาดังกล่าวเป็นดังเหอเฟิงว่า น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก อีกทั้งการฝึกยังไม่ยาก เพียงแต่เคล็ดวิชานี้ไม่จำเป็นต้องใช้พลังโลหิตในร่าง แม้ซูหมิงจะเข้าใจมันแล้ว กลับไม่อาจแสดงพลังได้

ยามนี้เขายกมือขวาขึ้น ก่อนทำท่าทางแปลกๆ คล้ายหยิกนิ้วมือผลักไปด้านหน้าหลายครั้ง ทว่ากลับไม่มีความรู้สึกอะไรเลย

‘นี่มันวิชาอะไรกัน?’ ซูหมิงเกาศีรษะ มองไปทางร่างหมดสติของเหอเฟิง ก่อนละทิ้งความคิดที่จะปลุกเขาขึ้นมา ในยามนี้เขาหมดสติ ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อยราวกับเจ็บปวดยิ่งนัก หากตื่นขึ้นมาบางทีอาจเป็นปัญหาได้ โดยเฉพาะยามนี้ที่เสวียนหลุนอาจย้อนกลับมาได้ทุกเวลา

ซูหมิงเก็บมู่เจี่ยนลงไป ก่อนตัดสินใจหยิบหนังสัตว์ในถุงของเหอเฟิงขึ้นมา ด้านบนบันทึกเคล็ดวิชาหมานสองชนิด หลายวันก่อนเขาอ่านผ่านๆ เท่านั้น ยามนี้ตั้งใจเพ่งสมาธิอ่าน ไม่นานสีหน้าก็เขาดูฉงน

‘เส้นเลือดยี่สิบเส้นก็ฝึกฝนวิชาหมานนี้ได้ อีกทั้งหลังจากเก้าสิบเก้าเส้น ก็จะแสดงอานุภาพเคล็ดวิชาหมานสองชนิดนี้ได้อย่างเต็มที่…..หนังสัตว์ผืนนี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เว้นแต่จะเป็นของจากชนเผ่าเหอเฟิงที่เขาเก็บไว้ดูต่างหน้า’ ซูหมิงพิจารณาหนังสัตว์อย่างละเอียด ก่อนนำมันวางไว้ด้านข้าง ขมวดคิ้วมองเหอเฟิง

‘บุคคลนี้สติปัญญาไม่ธรรมดา หากบอกว่าเก็บของเอาไว้ดูต่างหน้าก็พอเข้าใจได้…แต่ข้าคิดว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ’ ซูหมิงหยิบหนังสัตว์ข้างกายขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่พบอะไรอยู่ดี

‘หรือว่าข้าจะเดาผิดไป…’ แววตาซูหมิงขยับแสง นำหนังสัตว์ขึ้นมาดม ดวงตาพลันเปล่งประกาย

ทว่าทันใดนั้นพลันมีเสียงฟ้าร้องดังสนั่นมาจากข้างนอก

พร้อมด้วยเสียงคำรามสัตว์ป่าแฝงอยู่ภายใน ราวกับในป่าฝนด้านนอกเกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่างขึ้น ซูหมิงรีบเก็บหนังสัตว์ สีหน้าตื่นตัว หัวใจเต้นโครมคราม เขาเดินมายืนข้างปากถ้ำ มองไปข้างนอกอย่างระมัดระวัง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!