Skip to content

สู่วิถีอสุรา 132

ตอนที่ 132 หานเฟยจื่อ!

“เหอเฟิง เดิมทีข้ากับเจ้าไม่รู้จักกัน ไม่มีความแค้นต่อกัน เป็นเจ้าที่ล่วงเกินข้าก่อน เพียงเพราะผลประโยชน์ของตัวเอง เจ้าใช้ประโยชน์ข้า ตั้งใจให้ข้าตาย ข้าไม่สังหารเจ้าทันใด แต่กลับรับปากจะช่วยแก้แค้น ทว่าถึงตอนนี้เจ้ากลับคิดทำร้ายข้า!”

แววตาซูหมิงเผยจิตสังหาร ในตัวเหอเฟิง เขาไม่เพียงสัมผัสได้ถึงความชั่วร้ายของจิตใจมนุษย์ แต่ยังรู้สึกได้ว่าความคิดของตนยังไม่ลึกซึ้งพอ

เขาไม่เชื่อหรอกว่าหานเฟยจื่อจะแค่ผ่านทางมาโดยบังเอิญ!

ทุกอย่างจะต้องมาจากเหอเฟิง อีกทั้งยามนี้ด้วยเคล็ดวิชาตราประทับ

เขาเห็นแสงอ่อนในศีรษะของเหอเฟิง เวลานี้แสงอ่อนสั่นเทา เสียงร้องตกใจเมื่อครู่หูปกติไม่ได้ยิน มีเพียงซูหมิงในสภาวะแบบนี้เท่านั้นถึงจะรับรู้ได้

เห็นเรื่องเหล่านี้แล้ว หากเขายังไม่เข้าใจ นั่นก็ไม่ใช่ซูหมิงแล้ว!

หากไม่ใช่เพราะเขาค้นพบวิธีแสดงเคล็ดวิชาตราประทับ เกรงว่าเมื่อหานเฟยจื่อมาถึง เขาคงงุ่มง่ามไม่ทันเหตุการณ์ และมึนงงว่าอีกฝ่ายหาพบได้อย่างไร

เหงื่อไหลโซมกายซูหมิง ซูหมิงกระทำโดยไม่ต้องหยุดคิด เขาใช้วิธีการควบคุมเคล็ดวิชาตราประทับ ย่อระยะหนึ่งร้อยจั้งลงเหลือเพียงห้าจั้งอย่างรวดเร็ว ปกคลุมเหอเฟิงเอาไว้ด้านใน

จากนั้นยันกายขึ้นเดินไปหนึ่งก้าว ใช้ปลายนิ้วกดระหว่างคิ้วเหอเฟิงอย่างแรง แสงอ่อนในส่วนศีรษะเขาราวกับบาดเจ็บสาหัส อ่อนแสงลง ทว่ากลับไม่ได้หายไป เพียงแต่เส้นบางที่ยืดออกจากระหว่างคิ้วอ่อนแสงลงเท่านั้น

ขณะซูหมิงกำลังจะตัดเส้นพลันยั้งมือ แววตาเป็นประกายวาววับ ความคิดแล่นผ่านอย่างรวดเร็ว

‘หานเฟยจื่อหาที่นี่พบ เข้ามาในระยะหนึ่งร้อยจั้งแล้ว ตอนนี้ต่อให้ตัดเส้นระหว่างเหอเฟิงกับโลกภายนอกก็ไม่มีประโยชน์…..กลับกันอาจแหวกหญ้าให้งูตื่น ทำให้หานเฟยจื่อระวังตัวมากขึ้น’

‘เหอเฟิงบาดเจ็บสาหัส แม้จะใช้วิธีนี้ติดต่อกับโลกภายนอก แต่ก็มีแค่หกส่วนที่เขาเพียงเชื่อมต่อเอาไว้รอให้อีกฝ่ายมาพบเท่านั้น มีความเป็นไปได้สี่ส่วนที่เขาจะบอกเรื่องข้ากับอีกฝ่าย โดยเฉพาะยามนี้เขาบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งยังกลัวข้าตรวจพบ ดังนั้นจึงลดไปอีกหนึ่งส่วน มีความเป็นได้สูงที่หานเฟยจื่อยังไม่รู้ว่าข้าอยู่นี่!

เสวียนหลุนก็ไม่มีทางบอกอย่างละเอียด ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หากหานเฟยจื่อหาที่นี่พบ ในความรู้สึกของนาง ที่นี่จะมีเพียงเหอเฟิง อีกทั้งเหอเฟิงยังบาดเจ็บสาหัสจนออกไปไม่ได้ จึงใช้วิธีนี้เรียกนางมามาช่วยรักษาเพื่อหลบเลี่ยงเสวียนหลุน

หากเป็นเช่นนั้นจริง หานเฟยจื่อก็ไม่น่าจะบอกกับคนรอบข้าง นาง…อาจมาเพียงลำพัง! อีกทั้งสีหน้าของหานเฟยจื่อตอนเข้ามาในระยะหนึ่งร้อยจั้งยังไม่มีท่าทีระแวง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ความเป็นไปได้จะลดลงอีกหนึ่งส่วน เรื่องนี้ข้ามั่นใจแปดส่วน แค่แปดส่วนก็เพียงพอแล้ว!’

ซูหมิงถูกสถานการณ์บีบบังคับ ในช่วงไม่กี่ลมหายใจ เขาใช้สติปัญญาวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว กระทั่งศีรษะเขาบวมและปวดเล็กน้อย

ทว่ายามนี้ไม่ใช่เวลาจะมาอืดอาด ซูหมิงประคองเหอเฟิง แยกขาทั้งสองข้างจัดเขาให้อยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ จากนั้นย่อตัวหลบอยู่ด้านหลัง

เดิมทีเขาตัวเล็กกว่าชาวเผ่าหมานทั่วไปอยู่แล้ว ยามนี้พอหลบซ่อน หากมองจากด้านหน้าจะมองไม่เห็นซูหมิง

ขณะเดียวกัน ทุ่งหญ้าสีแดงใต้ฝ่าเท้าหดตัวลงอย่างรวดเร็วตามความคิด พริบตาเดียวก็กลายเป็นก้อนเล็กอยู่ใต้ฝ่าเท้าซูหมิง แม้แต่เหอเฟิงยังอยู่นอกระยะทุ่งหญ้า

จากนั้นระยะเคล็ดวิชาตราประทับหดตัวตามมา นอกจากปกคลุมตัวเองแล้วก็ยังปกคลุมเหอเฟิง นี่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เหอเฟิงแจ้งเตือน เมื่ออยู่ในระยะตราประทับ หากเหอเฟิงส่งสัญญาณเตือนซูหมิงจะตัดมันได้ทันที

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาเป็นประกายเย็นชา โคจรโลหิตในร่างกาย ในช่วงที่บรรลุถึงขีดสุด วิญญาณค้างคาวจันทราแผ่กระจาย เกาะติดผิวหนังเขา ครั้งนี้เขาใช้วิญญาณค้างคาวจันทราทั้งหมด

กระทั่งเขายกมือขวาขึ้นเพื่อกระตุ้นตำแหน่งของสามมาร รอเพียงช่วงเวลาสำคัญก็จะลงมือประดุจสายฟ้า

ในปากอมโลหิตสดเอาไว้ นั่นคือสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้เคล็ดวิชาธุลีโลหิตดำ!

‘นางยังไม่ถึงขั้นชำระล้าง ข้าไม่จำเป็นต้องสู้สุดชีวิต!’ หัวใจซูหมิงค่อยๆ เต้นช้าลง ทั้งตัวสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว

ด้านนอกถ้ำ หานเฟยจื่อสวมเสื้อขาวมีผ้าขาวปิดใบหน้า ห่างจากถ้ำแห่งนี้ไปราวเจ็ดแปดจั้ง สีหน้านางดูสงบนิ่งรูปร่างอรชร แม้จะเดินในป่าฝนหมอกพิษ แม้บนพื้นดินเลนจะน่าขยะแขยงสักแค่ไหน ทว่านางก็ยังคงดูเด่นตาราวกับเข้าไม่ได้กับแดนแห่งนี้ ทุกสิ่งในนี้ไม่อาจทำให้นางแปดเปื้อนได้

ดวงตานางเหมือนแสงดารา ผู้พบเห็นเป็นต้องตกอยู่ในบ่วงลึกไม่อาจถอนตัวขึ้น บนใบหน้ามีผ้าขาวปิดบัง ทว่าทุกคนที่มองนางล้วนต้องใจลอย ประดุจเห็นสตรีเลอโฉมในความฝัน

นางเดินไปเบื้องหน้าเบาๆ ดวงตางดงามมองไปในรอยแยกเทือกเขา นางสัมผัสได้ว่า สัญญาณที่เหอเฟิงปล่อยมาอยู่ในนั้น เหอเฟิงคนนี้ ในความคิดนางนอกจากทำให้ตนได้สมบัติล้ำค่าแล้วเขายังมีประโยชน์อยู่อีก อย่างเช่นสัญญาณประหลาดนี้ ไม่ธรรมดายิ่งนัก นอกจากนี้ ความคิดของเขาหยั่งลึก ยังไม่เคยเปิดเผยเคล็ดวิชาแปลกนี้ นี่เป็นจุดที่หานเฟยจื่อชื่นชม

ทว่าก็แค่ชื่นชมเท่านั้น นางคิดว่าเมื่อเขาสูญเสียคุณค่าที่เหลือจะต้องมาเป็นลิ่วล้อของตนอย่างแน่นอน หลังจากเข้าร่วมพรรคเหมันต์สวรรค์แล้ว เขาจะมีประโยชน์กับนาง

ขณะกำลังเข้าไปนางพลันขมวดคิ้วยกมืองามขึ้น บนมือนางมีแหวนสีดำวงหนึ่ง ลักษณะธรรมดา ทว่ากลับมีเส้นถี่เชื่อมจากในถ้ำรอยแยก ยามนี้เส้นถี่พลันเกิดระลอกคลื่น แสงอ่อนลงไม่น้อย ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงที่ซูหมิงจิ้มระหว่างคิ้วของเหอเฟิงก่อนหน้านี้พอดี

หานเฟยจื่อชะงักฝีเท้าสีหน้ายังคงเป็นปกติ มองรอยแยกเบื้องหน้าราวกับกำลังขบคิด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงทะยานเข้าใกล้ อยู่ห่างจากปากถ้ำเพียงสิบจั้ง ก่อนหยุดลงอีกครั้ง

“พี่เหอ เหยียนเฟยมาแล้ว เชิญออกมาพบด้วย” หานเฟยจื่อกล่าวอย่างเย็นชา ทว่ากลับแฝงไว้ด้วยแรงดึงดูด ทำให้ผู้ฟังเป็นต้องเสียสมาธิ

ภายในถ้ำรอยแยกเงียบสงัด ไม่มีเสียงใดๆ แม้แต่น้อย แววตาหานเฟยจื่อเริ่มเป็นประกายวาว ลังเลครู่หนึ่งก่อนยกมือขึ้น กลางฝ่ามือขยับแสงวูบวาบปรากฏเมฆขาวขนาดเท่าฝ่ามือลอยไปเบื้องหน้า เข้าไปในถ้ำตามรอยแยก

ซูหมิงซ่อนอยู่หลังเหอเฟิงไม่ขยับเขยื้อนราวกับไม่เห็นเมฆขาวที่กำลังเข้ามาในถ้ำ เมฆขาวลอยอยู่กลางอากาศ วนไปมารอบหนึ่งแล้วจึงบินกลับไปอยู่ในมือของหานเฟยจื่อ

นางกำมือเบาๆ เมฆขาวสลายไป เบื้องหน้านางปรากฏเป็นภาพที่เมฆขาวเห็นก่อนหน้านี้ นางขบคิดเพียงชั่วครู่ก่อนเดินไปเข้าไปในรอยแยก รอบตัวนางมีหมอกปกคลุมราวกับคอยเตือนภัย

เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา ซูหมิงยังคงนิ่ง ทว่าความเย็นชาในแววตากลับเพิ่มมากขึ้น ไม่นานหานเฟยจื่อก็เข้ามาในถ้ำ มองเหอเฟิงกำลังนั่งขัดสมาธิแวบหนึ่ง ก่อนเลื่อนสายตามองสมุนไพรที่เติบโตอยู่บนตัวเขา จากนั้นพลันหรี่ตาลง

นางยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้เดินต่อ ผ่านไปหลายลมหายใจ เมฆรอบตัวพลันแผ่ขยายปกคลุมรอบถ้ำ ทำให้ถ้ำแห่งนี้ราวกับสั่นสะเทือน จากนั้นนางพลันล่าถอย ดูจากท่าทางแล้วเห็นได้ชัดว่าสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จึงคิดจะออกจากถ้ำ

เพียงนางล่าถอยซูหมิงแทบลงมือในทันที

ก่อนหน้านี้ช่วงที่หานเฟยจื่อเข้ามาในถ้ำ เขาจดจ่อมุ่งมั่นตลอด แม้อีกฝ่ายจะยืนอยู่เพียงไม่กี่ลมหายใจ ทว่าเขากลับทราบถึงตำแหน่งลงมือได้อย่างชัดเจน หากเข้ามาใกล้อีกนิดเขาจะมั่นใจมากกว่านี้

ยามนี้การล่าถอยของนางราวกับฉุดดึงสัญชาตญาณหลอกให้ซูหมิงลงมือ แทบจะเป็นช่วงที่สัญชาตญาณของเขาโต้ตอบ เขากลับระงับเอาไว้ ตรงหน้าผากผุดเม็ดเหงื่อ

‘หานเฟยจื่อเหมือนกับเหอเฟิง เป็นคนที่มีแผนการหยั่งลึก…ก่อนหน้านี้นางใช้เมฆขาวเข้ามาสำรวจ เหตุใดถึงไม่พบสมุนไพรบนตัวเหอเฟิง หลังจากเข้ามาแล้ว เพิ่งจะตกตะลึงหรือ เป็นไปไม่ได้!

การถอยของนางเป็นการหยั่งเชิง อีกทั้งเมื่อครู่นางยังยืนนิ่ง ยอดเยี่ยมจริงๆ…

ในเวลาไม่กี่ลมหายใจกลับทำให้ต้องจดจ่อกับการกระทำของนาง จากนั้นนางพลันล่าถอย เพื่อเป็นการดึงสัญชาตญาณของคนให้ลงมือ…การหยั่งเชิงเช่นนี้ ข้าจะเรียนรู้เอาไว้’

ซูหมิงไม่ติดกับ เรื่องนี้เกี่ยวกับสงครามระหว่างชนเผ่าที่เขาเคยผ่าน สงครามดุเดือดครั้งนั้นทำให้ความมั่นใจของเขาแน่วแน่ เขารอลงมือในช่วงโอกาสสำคัญและจะไม่ยอมเปลี่ยนโดยง่าย ฉะนั้นก่อนหน้านี้จึงอดกลั้นเอาไว้

หานเฟยจื่อถอยหลังไปหลายก้าว แววตาเป็นประกาย

เมื่อพบว่าทุกอย่างเป็นปกติ จึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย ชะงักฝีเท้าแล้วเดินกลับเข้าไป ในครั้งนี้นางเข้าใกล้เหอเฟิงมากขึ้น

‘ดูท่าเหอเฟิงน่าจะโดนเคล็ดวิชาหมานบางอย่างของเสวียนหลุน พลังชีวิตใกล้มอดแล้ว คงจะหนีออกไปไมได้ ได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในนี้ ก่อนหมดสติส่งสัญญาณมาหาข้า ให้ข้ามาช่วยเขา’ หานเฟยจื่อมองเหอเฟิงในท่านั่งขัดสมาธิ ขบคิดในใจ เดินเข้าไปใกล้อีกหลายก้าว พิจารณาอย่างละเอียด

สิ่งที่นางเห็นคือ ด้านหลังเหอเฟิงว่างเปล่าไม่มีเงามนุษย์ ยามนี้เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงที่นางอยู่ห่างจากเหอเฟิงเพียงหนึ่งจั้ง ไม่ทราบว่าคิดอะไรพลันเบิกตากว้าง ล่าถอยอย่างรวดเร็ว

‘ไม่ถูกต้อง รอยแยกนี้อยู่ในส่วนลึกป่าฝน หมอกพิษสะสมอย่างเข้มข้น อีกทั้งเหอเฟิงยังหมดสติไม่อาจขับไล่พิษได้ ทว่าหมอกพิษตรงนี้กลับเบาบาง…อีกทั้งรอยแยกในป่าฝนยังเป็นที่พักผ่อนของพวกสัตว์แมลง ทว่าที่นี่กลับไม่มีสักตัว เหอเฟิงหมดสติ แล้วจะไปทำให้พวกสัตว์แมลงไม่กล้าเข้ามาได้อย่างไร! ที่นี่ มีกับดัก!’ หานเฟยจื่อตื่นตระหนก กล่าวขึ้นในใจ คิดจะล่าถอย

ซูหมิงที่อยู่หลังเหอเฟิง แววตาเป็นประกายวาว ในช่วงหานเฟยจื่อล่าถอย ทุ่งหญ้าสีแดงใต้ฝ่าเท้าพลันแผ่ขยาย

ลงมือ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!