Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1322

SVTASR
BC

ตอนที่ 1322 นั่งเกี้ยวหรือเดิน?

“ผู้เฒ่าเมี่ยเซิง…” ซูหมิงพึมพำ เขาไม่คาดคิดเลยว่าจุดกำเนิดของทุกอย่างจะเชื่อมโยงกับบุคคลในตำนานคนนั้น โดยเฉพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิต ซูหมิงไม่แปลกตานัก กระทั่งเขายังเคยบำรุงอยู่นานมากด้วย จนกระทั่งเมล็ดพันธุ์ครึ่งหนึ่งนั้นโตเต็มวัย

C

อวี่เซวียนก็เช่นเดียวกัน ทุกอย่างของทุกอย่าง จนถึงตอนนี้ก็เกี่ยวข้องกับซูหมิงรางๆ อีกครั้งด้วย โดยเฉพาะ…

บางทีคนอื่นอาจรู้แค่ว่าเรื่องของผู้เฒ่าเมี่ยเซิงเป็นเพียงตำนาน แต่ซูหมิงจำได้แม่นว่าเขาเห็นชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่บนเรือโบราณจากในเมล็ดพันธุ์แห่งการ ทำลายล้างชีวิต

กระทั่ง…กระเรียนขนร่วงยังเคยพบผู้เฒ่าเมี่ยเซิง มันในตอนนั้นยังพยายามเพื่อแลกกับชีวิตนิรันดร์

‘ผู้แข็งแกร่งแบบนี้หนีจากเงื้อมมือชายหนุ่มชุดคลุมดำคนนั้นตอนโลกถูก ทำลายล้างได้ ข้ามผ่านจักรวาลกว้างใหญ่มาได้ หากบอกว่าเขาตายไปในกาลเวลา ข้า…ไม่มีทางเชื่อ!

เช่นนั้นในเมื่อเขายังไม่ตาย ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด เขามีเป้าหมายอะไร ซูเซวียนอียึดมั่นในเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิตขนาดนี้ เช่นนั้นเขาจะต้องรู้อะไรอีกมากแน่’ ซูหมิงเงียบไปพักใหญ่ก่อนมองพระราชวังตรงหน้าอีกแวบหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินออกไป ยกเท้าขึ้นเดินหน้าหนึ่งก้าว ร่างเงาหายวับไปในโลกนี้

ก่อนที่จะมาฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณ เดิมทีซูหมิงคิดว่าตนเข้าใจสามรกร้าง เข้าใจซางเซียงแล้ว แต่จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งพบว่ามีความลับบางอย่างที่เกรงว่าแม้แต่ดวงจิต สามรกร้างยังไม่รู้ แม้แต่ซางเซียงก็ไม่เข้าใจ

อย่างเช่นชายหนุ่มชุดคลุมดำที่กินผีเสื้อคนนั้น อย่างเช่นผู้เฒ่าเมี่ยเซิงที่เข้ามาในช่องโหว่ผีเสื้อจากจักรวาลกว้างใหญ่ เทียบกับสิ่งเหล่านี้แล้ว ช่องโหว่ผีเสื้อซางเซียงเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้นไม่ใช่จุดสำคัญแล้ว

ยิ่งรู้มากเท่าไร ซูหมิงก็ยิ่งรู้สึกว่ามองโลกจากทั้งสี่ปีกซางเซียงลึกมากเท่านั้น… ใครเป็นคนสร้างผีเสื้อเก้าตัวในจักรวาลกว้างใหญ่ และใครมอบความสามารถในการสร้างโลกกับสร้างสิ่งมีชีวิตให้กับผีเสื้อเก้าตัวนี้

ชายหนุ่มชุดคลุมดำคนนั้นเป็นใคร เหตุใดต้องกินผีเสื้อ…

และยังมีผู้เฒ่าเมี่ยเซิง เขารอดตายมาที่นี่ได้อย่างหวุดหวิด เป้าหมายของเขา… คืออะไร

ข้อสงสัยทุกอย่างวนเวียนอยู่ในใจ ทำให้ออกจากโลกนี้ไปเงียบๆ แล้วดวงตา สองข้างขยับประกายวาว ไม่ว่าเรื่องราวจะดำเนินไปอย่างไร ไม่ว่าซางเซียงที่เขาอยู่จะถูกทำลายหรือไม่ จะยึดร่างสามรกร้างสำเร็จหรือไม่ และไม่ว่าชายหนุ่มชุดคลุมดำ คนนั้นจะมาหรือไม่ หรือผู้เฒ่าเมี่ยเซิงมีเป้าหมายอะไร สิ่งเหล่านี้…ในเมื่อซูหมิงไม่รู้อย่างละเอียด เช่นนั้นต่อให้คาดเดาก็ไม่มีประโยชน์

ตอนนี้สิ่งที่มีประโยชน์ต่อเขามากที่สุดคือให้ตัวเองแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แม้ตอนนี้ จะเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในยุคแล้วก็ยังไม่พอ จะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในตลอดไม่รู้ กี่ยุคมานี้ในทั้งโลกสี่ปีกของซางเซียงให้ได้ ถึงขั้นต้องก้าวอีกขั้นเป็นเหมือนกับ ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงที่ข้ามผ่านจักรวาลกว้างใหญ่ได้ มีแต่แบบนี้เท่านั้นถึงจะต่อต้านกับ ภัยพิบัติทุกอย่างได้ แม้จะไม่อาจต่อต้านในภัยก็ตาม แต่ก็ยังรักษาศักยภาพได้ มีความเป็นไปได้เสี้ยวหนึ่งที่จะผงาดขึ้นในอนาคต

ซูหมิงเงยหน้าดวงตาขยับประกายวาวด้วยปณิธานแน่วแน่เช่นนี้ ก่อนเดินหน้า ไปยังโลกที่มากกว่าของฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณเพื่อทำการกลืนกิน เขาไม่เพียงแต่จะกิน โลกของเงามืดรุ่งอรุณเท่านั้น แต่ยังจะกินโลกของฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนด้วย จนกระทั่งกินสามร้อยหกสิบโลกของเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนแล้ว ดวงจิตเขาจะทำการผลัดเปลี่ยนอีกครั้ง

นี่จะช่วยให้เขายกระดับวิญญาณครั้งสุดท้ายได้!

การกินแบบนี้ดำเนินไปเกือบครึ่งเดือน จุดที่ซูหมิงผ่าน ไม่ว่าโลกใด ไม่ว่าในนั้นจะมีชนเผ่าอะไร ดวงจิตอ่อนแอที่กำเนิดในโลกนั้นๆ ล้วนถูกกินไปจนหมด แต่เขาก็ไม่ได้รบกวนชาวเผ่าของโลกใดๆ เลย

การกินแบบนี้ ความจริงแล้วไม่ได้ส่งผลต่อคนเหล่านี้มากนัก เพียงแค่กิน ดวงจิตของโลกที่แปลงมาจากพลังความคิดตลอดหลายปีของชาวเผ่าเท่านั้น กระทั่งจะมองว่าเป็นเทพที่แต่ละเผ่ากราบไหว้บูชาก็ได้

หลังถูกกินไป ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวคือชนเผ่าของโลกนั้นๆ จะไม่มีความรู้สึกหลอมรวมกับทั้งโลก แต่ขั้นพลังยังอยู่ อายุขัยยังอยู่ จนเมื่อเวลาผ่านไปอีกเล็กน้อยก็จะกลับมาเป็นปกติ

เพียงแต่ว่าตอนนี้ห่างจากช่วงภัยพิบัติอีกหลายร้อยปี ต่อให้ซูหมิงไม่กิน สุดท้ายดวงจิตอ่อนแอเหล่านี้จะถูกลบไปในเคราะห์ภัยอยู่ดี

ทว่าซูหมิงไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าในแต่ละโลกที่เขาผ่าน คนชุดคลุมดำสามคนจากวิหารแห่งการทำลายล้างชีวิตยังคงอยู่ตลอด รวมความอาฆาตแค้นของชาวเผ่า เหลือคณานับต่อซูหมิง กำลังสูบด้านลบเหมือนกับเมล็ดพันธุ์หนึ่งที่กำลังเติบโตไม่หยุด

ซูหมิงกำลังกินดวงจิตของโลก แต่ในช่วงนี้กระเรียนขนร่วงดูใช้ชีวิตอย่างกระชุ่มกระชวยยิ่ง ตอนที่ซูหมิงกินดวงจิตของหนึ่งโลก มันจะอาศัยวิชาแปลงกาย ใช้ทุกวิธีรวบรวมหินผลึกทั้งหมด ใช้วิธีเลวทรามทุกอย่าง แต่สำหรับมันแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นแค่เรื่องเล็ก เป็นที่รู้กันว่าบนดาวทมิฬในตอนนั้น มันใช้กลอุบายหลอกแต่งงานเพื่อหินผลึกมาแล้ว เทียบกับตอนนี้ มันยังถือว่าใจอ่อนลงไม่น้อย

จนกระทั่งผ่านไปครึ่งเดือน ซูหมิงกินดวงจิตของหนึ่งร้อยแปดสิบโลกฝ่าย เงามืดรุ่งอรุณไปราวเจ็ดส่วน ขณะกำลังจะดำเนินการต่อแม้แต่กระเรียนขนร่วงยังสนุกไม่สุดนั้น วันนี้ซูหมิงผ่านหนึ่งโลกไปแล้วพลันหยุดชะงัก ยกมือขวาขึ้นตบถุง เก็บวัตถุ ทันใดนั้นปรากฏแผ่นหยกแผ่นหนึ่งขึ้นในมือ

แผ่นหยกนี้คือหินหยกสื่อสารที่เขารวมวิญญาณเสี้ยวหนึ่งของเหยียนเผยเอาไว้ เขามองแผ่นหยกแวบหนึ่ง หลังใช้ดวงจิตกวาดมองไป ก็มีเสียงของเหยียนเผยดังขึ้นในความคิดอย่างเคารพทันที

“นายท่าน ข้าหาร่องรอยของคนที่ท่านต้องการพบแล้ว เพียงแต่ว่า…นายท่านมาที่โลกของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์จะดีกว่า…” คำพูดนี้เหมือนมีความลังเลเล็กน้อย และยังไม่รู้ด้วยว่าควรจะพูดอย่างไรดี ราวกับไม่รู้ว่าจะแก้ไขเรื่องที่ประสบอย่างไรดี มีท่าทีกังวลมากว่าจะล่วงเกินให้ซูหมิงโกรธ

ซูหมิงตรึกตรองครู่หนึ่งแล้วเก็บแผ่นหยกไป ก่อนขยับวูบเดินหน้าไปยังโลกของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ตามแผนที่ในความคิด

โลกนี้เป็นหนึ่งในโลกสามส่วนที่ซูหมิงยังไม่ได้กินดวงจิต เผ่าจิ้งจอกสวรรค์ในนั้นเป็นเผ่าอะไรเขายังไม่รู้ แต่เหยียนเผยเคยบอกกับเขาว่าจื่อรั่วจักรพรรดิรุ่งอรุณ คนที่สามเป็นชาวเผ่าจิ้งจอกสวรรค์นี้

ซูหมิงไม่ได้สนใจอะไรมากนักกับจื่อรั่วสตรีหมายเลขหนึ่งของทั้งฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณตามที่เหยียนเผยบอก ยามนี้ขณะเดินหน้าไปก็ไม่ได้ใช้เวลาอย่างเปล่าประโยชน์แม้ แต่น้อย ราวครึ่งก้านธูปก็ข้ามผ่านแต่ละโลกจนมาอยู่กลางโลกจิ้งจอกสวรรค์

เพิ่งเข้ามาในโลกนี้ซูหมิงขมวดคิ้วทันที ฟ้ากระจ่างดาวของโลกนี้ไม่ได้มืดมิด แต่เป็นสีชมพู พอมองไปแล้วจะรู้สึกอบอุ่นไปทั่วร่างโดยไม่รู้ตัว ทว่าความอบอุ่นนี้ไม่ใช่ร่างกายอบอุ่นจริงๆ แต่เป็นเพราะโลหิตไหลเวียนเร็วขึ้นเล็กน้อย เลยเกิด ความร้อนขึ้นเบาๆ ในร่างกาย

ซูหมิงรู้สึกแปลกกับความรู้สึกนี้มาก แต่ด้วยความแกร่งของพลัง และยังมี ดวงจิตมหึมาเลยไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ถึงอย่างไรทุกโลกก็มีความต่างกันอยู่แล้ว จุดนี้ซูหมิงรู้ดี

แทบเป็นช่วงที่เข้ามาในโลกนี้ก็มีสายรุ้งยาวหลายสายพุ่งเข้ามาจากด้านหน้า มองไปสายรุ้งเหล่านี้ล้วนเป็นสตรีที่งดงามยิ่ง พวกนางไม่ได้สวมอาภรณ์แบบเปิด ส่วนเว้าโค้ง แต่กลับมีความรู้สึกสวยงาม ทุคนล้วนเป็นหญิงงาม

บนตัวพวกนางไม่มีจุดด่างพร้อยใดๆ เลย พอเข้ามาใกล้ก็ต่อกันเป็นสองแถวยาวตรงหน้าซูหมิง พวกนางทุกคนอมยิ้มพลางชูโคมไฟสีแดงขึ้นสูง ส่องสะท้อนฟ้ากระจ่างดาวสีชมพูให้เต็มไปด้วยความรู้สึกเหมือนดอกกุหลาบ มีความลึกลับและมหัศจรรย์ ทั้งยังมีความอบอุ่นที่บอกไม่ถูกในเวลาเดียวกัน

แต่ความอบอุ่นนี้เบาบางยิ่งนัก หากเป็นคนที่มีความคิดต่ำช้าจะรู้สึกรุนแรงยิ่ง แต่หากเป็นผู้มีจิตใจบริสุทธิ์จะรู้สึกแค่ว่างดงามที่สุด ซูหมิงไม่ใช่อย่างแรก และก็ไม่ใช่อย่างหลัง เขาขมวดคิ้ว มองเส้นทางยาวที่รวมขึ้นจากสตรีสองแถวด้วยสายตาเย็นชา ไม่รู้ว่ามันพาไปถึงที่ใด

หญิงเหล่านี้จะงดงามก็ดี จะอัปลักษณ์ก็ดี ล้วนไม่เข้าตา เขาไม่ได้รู้สึกเป็นพิเศษ เพราะชีวิตนี้ไม่เคยมีประสบการณ์ในด้านนี้มาก่อนเลย…

“เผ่าจิ้งจอกสวรรค์คารวะผู้อาวุโสซูหมิง” เสียงไพเราะของสตรีกลุ่มนี้แฝงไว้ด้วยความงามเพียบพร้อม พวกนางโค้งตัวคารวะซูหมิงพร้อมกัน เสียงดังค่อนข้างน่าฟัง อ่อนนุ่มแต่ไม่ไร้มารยาท ภายในความเคารพเหมือนแฝงไว้ด้วยการยั่วยุอย่างไร้เจตนา ต่อให้เป็นซูหมิงยังอดมองหลายครั้งไม่ได้ ฟังแล้วก็สบายดี ซ้ำยังทำให้คิ้วขมวดคลายออกโดยไม่รู้ตัว

“เชิญผู้อาวุโส จ้าวเผ่ารวมถึงจักรพรรดิจื่อและจักรพรรดิเหยียนอยู่ข้างหน้า กำลังคารวะมาทางนี้ เชิญผู้อาวุโส” สตรีสองคนที่อยู่หน้าสุดของสตรีสองแถว ขณะที่หนึ่งในนั้นพูดขึ้นเบาๆ ยังกวาดสายตางามมองซูหมิงด้วยแววตาบริสุทธิ์

ซูหมิงพยักหน้า ขณะจะก้าวเดินนั้น สตรีอีกคนรีบคุกเข่าลงแล้วถามขึ้นเสียงเบา

“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสจะนั่งเกี้ยวหรือเดินเจ้าคะ?” เสียงของหญิงคนนั้นไพเราะปานกระดิ่งใบเล็ก ตอนที่เข้าถึงหูซูหมิงเหมือนกับมีฝนอุ่นๆ ตกอยู่ในใจ เขารู้สึกสบายขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เลยหยุดชะงักครู่หนึ่งแล้วถึงมองไป

“นั่งเกี้ยวไหนรึ?” ซูหมิงถามขึ้นเรียบๆ

สิ้นเสียง ซูหมิงตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น เพราะสตรีสองกลุ่มตรงหน้าจำนวนมากกว่าร้อยคนรวมตัวกัน ต่างฝ่ายต่างใช้สองมือจับบ่าสตรีตรงหน้าตัวเอง พริบตาเดียวก็เป็นลักษณะงูล้อมเป็นวงกลมหลายวงขึ้นเป็นงูนอนขดตัวหนึ่ง ตรงกลางงูขดตัวนั้นเป็นเตียงตั่งนุ่มที่รวมขึ้นจากร่างสตรีสิบกว่าคน รวมออกมาเป็นเกี้ยวที่งดงามเช่นนี้

“เชิญผู้อาวุโสขึ้นเกี้ยวเจ้าค่ะ” หญิงที่พูดกับซูหมิงก่อนหน้านี้โค้งตัวคารวะแล้วพูดขึ้นเบาๆ สีหน้าไม่ได้แปรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ความงดงามยังคงเดิม เกี้ยวแบบนี้คือสัจธรรมความถูกต้องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ หากเจ้าคิดมาก นั่นไม่ใช่ความผิดของพวกนาง แต่เป็นความผิดของเจ้า…

ซูหมิงเงียบ

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!