Skip to content

สู่วิถีอสุรา 133

ตอนที่ 133 เรียนรู้กลอุบาย

แทบเป็นวินาทีที่หานเฟยจื่อขยับหนี

ทุ่งหญ้าสีแดงแผ่ขยายปกคลุมในระยะสิบจั้งอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ผ่านใต้เท้าของหายเฟยจื่อไป

ตอนนี้นางยื่นอยู่ในระยะสิบจั้ง

นางรู้สึกเพียงสายตาพร่ามัว ทุกสิ่งที่เห็นในดวงตาเปลี่ยนไปหมด ผู้อื่นไม่รู้ว่านางเห็นอะไร ทว่าดูจากความแปลกใจสงสัยในแววตานาง มั่นใจได้ว่ายามนี้ต้องตื่นตะลึง

ซูหมิงไม่ลงมือไม่เท่าไร แต่เมื่อลงมือจะเป็นการโจมตีประดุจสายฟ้า!

แม้ไม่มีความแค้นกับหานเฟยจื่อ ทว่าซูหมิงก็รู้แก่ใจดีว่า หากไม่ใช่เพราะตนพบความผิดปกติก่อนล่วงหน้า เกรงว่าเมื่อหานเฟยจื่อเข้ามา ตนเองที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรคงถูกสังหารแน่นอน นี่ไม่เกี่ยวกับความแค้นแต่เกี่ยวกับผลประโยชน์!

เหอเฟิงเป็นผลประโยชน์ชิ้นใหญ่ ลำพังเพียงซูหมิงก็ได้กำไรมากมายจากถุงของเขา มันเพียงพอจะทำให้ผู้คนมากมายคุ้มคลั่ง ฉะนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงสมบัติล้ำค่าชิ้นนั้น!

ในช่วงที่หานเฟยจื่อถูกทุ่งหญ้าสีแดงปกคลุม ซูหมิงยกมือขวาตลอด ยามนี้หาตำแหน่งของสามมารพบแล้วจึงฟันลงไปทางทิศเหนือ

เมื่อมือขวาผ่าลง เส้นเลือดในร่างกายพลันรวมเป็นหนึ่งสาย หลั่งทะลักออกจากกาย หวนคืนสู่ทิศเหนือ ก่อนหายไปไร้ร่องรอย

ขณะเดียวกับที่เขาสับมือลง หานเฟยจื่อที่อยู่ภายในทุ่งหญ้าสีแดงสีหน้าพลันเปลี่ยน นัยน์ตาฉายจิตสังหาร ยกมืองามขึ้น รอบตัวนางพลันมีเมฆหมอกโอบล้อมตัว ทว่าทันใดนั้น เมฆหมอกกลับส่งเสียงระเบิด ตรงกลางถูกฉีกกลายเป็นรอยแยกขนาดใหญ่รอยหนึ่ง ภายในรอยแยกเห็นเงาของนางอย่างชัดเจน

แม้มีผ้าขาวปิดบัง ใบหน้านางกลับขาวซีด นัยน์ตาฉายแววตื่นตระหนกยิ่งขึ้น นางทราบดีว่าเมฆหมอกของตนเหมือนธรรมดา ทว่าความจริงแล้วแข็งแกร่งยิ่ง มีแต่ต้องใช้เคล็ดวิชาหมานทรงพลัง มิเช่นนั้นแล้วไม่มีทางทำลายได้ ต่อให้เป็นผู้อาวุโสในชนเผ่าก็ตาม

ทว่าศัตรูที่มองไม่เห็นตัวเบื้องหน้า ไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไรถึงทำได้ขนาดนี้ บุคคลนี้จะดูแคลนมิได้ อีกทั้งสิ่งที่ทำให้นางตื่นตะลึงมากกว่าเดิมคือ เมื่อเมฆหมอกถูกฉีก พลันมีภัยร้ายตรงเข้ามา ราวกับมีรอยแตกไร้รูปกำลังตรงเข้ามากลืนกินตน

หานเฟยจื่อยังไม่ทันได้แสดงเคล็ดวิชาหมานที่แข็งแกร่ง ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา เมื่อวิกฤตมาเยือน นางกัดปลายลิ้นพ่นโลหิตมาหนึ่งกอง มันพลันกลายเป็นเทวรูปหมานสีโลหิตเบื้องหน้า

จะให้กล่าวอย่างแม่นยำคือเทวรูปหมานเป็นเงาสตรี ใบหน้าไม่ชัดเจน

แต่ในช่วงที่ปรากฎกลับเปล่งแสงสว่างจ้าลานตา ปะทะกับเคล็ดวิชาสามตัดสังหารไร้รูปของซูหมิง เกิดเป็นเสียงระเบิดดังสนั่น

ขณะเดียวกัน หานเฟยจื่อใช้มือขวากดไปตรงกลางระหว่างคิ้ว ตรงบริเวณนั้นพลันมีแสงสีทองขยับวูบวาบ ทั้งตัวราวกับกลายเป็นสีทอง ในช่วงที่แสงสีทองปรากฎนางถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันใด เหมือนเหยียบอากาศเดินออกจากทุ่งหญ้าระยะสิบจั้งของซูหมิง

แต่เห็นได้ชัดเลยว่าการแสดงพลังสีทองเมื่อครู่สร้างภาระให้กับนางไม่น้อย ช่วงที่เดินออกไปมุมปากนางมีโลหิตไหล ทว่ากลับไม่หยุดชะงัก เพียงทะยานออกไปนอกถ้ำ

นางตั้งใจไว้แล้วว่า ขอแค่อยู่นอกถ้ำของอีกฝ่าย หากนางฟื้นฟูกลับมาเพียงเสี้ยวลมหายใจ นางจะหั่นคนที่กล้าลอบโจมตีนางให้เป็นชิ้นๆ !

ทว่าซูหมิงจะปล่อยให้นางหนีไปได้อย่างไร ทุ่งหญ้าสีแดงปิดล้อมนางไม่ได้ สามตัดสังหารก็ถูกเทวรูปหมานสตรีขวาง แต่การโจมตีประดุจสายฟ้าครั้งนี้มีแผนสำรอง

แทบเป็นช่วงที่หานเฟยจื่อทะยานออกไปห่างจากปากถ้ำ ห่างไปไม่กี่จั้ง ซูหมิงก้าวเดินไปเบื้องหน้าเข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาเย็นชา ขณะเข้าใกล้ก็ชี้นิ้วมือขวาไปทางหานเฟยจื่อ

ทันใดนั้น วิญญาณค้างคาวจันทรารอบตัวเขาพลันแผดเสียงคำรามที่คนทั่วไปยากจะเคยได้ยิน จากนั้นรวมพลังกันเป็นหนึ่งเดียว ก่อรูปขึ้นเป็นกำปั้นยักษ์ กำปั้นดังกล่าวไร้รูป หานเฟยจื่อกลับสัมผัสได้อย่างชัดเจน ดวงตานางเป็นประกาย ใช้มือขวาวาดเป็นวงกลมรอบตัวทันควัน ปรากฎเป็นเมฆหมอกลักษณะวงกลมปะทะเข้ากับกำปั้นวิญญาณค้างคาวจันทราที่ก่อตัวขึ้น

แต่ยามนั้นเอง มุมปากซูหมิงยกขึ้นยิ้มเยาะ ขณะไล่ตามเขาแผ่ขยายเคล็ดวิชาตราประทับไปด้านนอก เมื่อภายในระยะหนึ่งร้อยจั้งปรากฎขึ้นในความคิด ก็นำระยะหนึ่งร้อยจั้งบีบเข้ามารวมอยู่ตรงหานเฟยจื่อพอดี

สิ่งนี้มาจากบันทึกเคล็ดวิชาตราประทับ มันเป็นทักษะการโจมตีเพียงหนึ่งเดียว ส่วนผลลัพธ์ซูหมิงยังไม่อาจรู้ได้ แม้เป็นการแสดงพลังครั้งแรก ทว่ายามนี้จำเป็นต้องทำ

ตราประทับหนึ่งร้อยจั้งหดตัวอย่างรวดเร็วแทบจะในชั่วพริบตา ในช่วงที่ปิดล้อมหานเฟยจื่อ นางตัวสั่นไหวสีหน้าเจ็บปวด รู้สึกราวกับมีเข็มแทงอยู่ตรงศีรษะ อีกทั้งเพราะความเจ็บปวดเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จึงทำให้เมฆหมอกเบื้องหน้านางส่อเค้าเลือนหาย ยังไม่ทันที่นางจะได้ตั้งสติกลับมา กำปั้นวิญญาณค้างคาวจันทราก็ปะทะกับเมฆหมอก

เสียงระเบิดดังสนั่น วงแหวนเมฆแหลกสลาย กำปั้นวิญญาณค้างคาวจันทราทะลวงผ่านวงแหวนเมฆตรงเข้าสู่หน้าอกของหานเฟยจื่อ

แสงสีทองรอบตัวนางขยับวูบวาบ มีโลหิตไหลจากมุมปากอีกครั้ง ทว่าความเย็นชาในแววตากลับเพิ่มมากขึ้น นางกระเด็นถอยหลัง และใช้แรงขับเคลื่อนตรงนี้หนีออกไปนอกถ้ำ

อย่างไรก็ตาม ขณะนางกำลังหนี ซูหมิงตามเข้ามาติดๆ เงาของเขาดูเลือนรางในสายตาของหานเฟยจื่อ นี่เกี่ยวกับความเร็วของเขา

ทว่าที่สำคัญกว่าคือบนตัวหานเฟยจื่อมีตราประทับของซูหมิง ทักษะการโจมตีเพียงหนึ่งเดียวของเคล็ดวิชานี้แข็งแกร่งยิ่งนัก สร้างความเจ็บปวดตรงศีรษะนางอย่างต่อเนื่อง ทำให้สายตาพร่ามัว สีหน้าดูเจ็บปวดอย่างยิ่งยวด

สองคนหน้าหลังประดุจสายรุ้งลากยาวออกจากถ้ำรอยแยก ซูหมิงเร็วกว่าเล็กน้อย หลังจากไล่ตามเขาไม่กล่าวสิ่งใด พลันพ่นโลหิตสดที่อมอยู่ในปากมาโดยตลอดออกไป

สิ่งนี้เตรียมไว้สำหรับเคล็ดวิชาธุลีโลหิตดำ ยามนี้เมื่อพ่นออกมามันพลันกลายเป็นหมอกแดงผืนใหญ่ปกคลุมเบื้องหน้า ตรงเข้าหาหานเฟยจื่อด้วยแรงทะลวงผ่านที่น่าตะลึง

หานเฟยจื่อสีหน้าเปลี่ยน ตั้งแต่เข้าไปในถ้ำจนถึงตอนนี้เพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น ทว่านางยังมองเห็นศัตรูไม่ชัด ถูกอีกฝ่ายจู่โจมติดต่อกันจนบาดเจ็บ เรื่องนี้ทำให้คนหยิ่งยโสอย่างนางยากจะรับได้

หมอกแดงของซูหมิงตรงเข้าใส่ ขณะล่าถอยนางสะบัดมือขวาไปเบื้องหน้า ขอแค่ตั้งรับได้เพียงชั่วครู่ หากมีโอกาสสวนกลับเพียงเล็กน้อยจะลงมือทันที

ทว่าตั้งแต่เริ่มกลับไม่เคยมีโอกาส การโจมตีของอีกฝ่ายประดุจพายุฝน ไม่ลดน้อยลงมีแต่จะรุนแรงยิ่งขึ้น

‘ขอแค่ข้ามีโอกาสสักครั้ง!’ ขณะหานเฟยจื่อสะบัดมือขวา หมอกพลันปรากฎเป็นผืนสีสันแพรวพราว เมื่อปะทะกับหมอกโลหิต หมอกโลหิตเกิดเสียงซ่าๆ ก่อนหายไปทันที

หานเฟยจื่อกำลังจะใช้โอกาสนี้เพื่อสวนกลับ แต่ไม่ง่ายเลยที่ซูหมิงจะสร้างสนามรบนี้ขึ้นมา เขาครอบครองการโจมตีทั้งหมด ไม่ปล่อยโอกาสให้อีกฝ่าย

หลังจากพ่นโลหิตสด เขากางแขนสองข้าง วิญญาณค้างคาวจันทราพลันปกคลุมรอบตัวเขาไม่หยุด แม้ดูเหมือนเขาอยู่เพียงลำพัง ทว่ากลับลอยขึ้นประดุจเหยียบอากาศ กำหมัดขวาแล้วชกเข้าใส่หานเฟยจื่อหลังหมอกโลหิตโดยไม่เอ่ยสิ่งใด

หมัดนี้ไม่เพียงแต่จะแฝงไว้ด้วยพลังโลหิตทั้งหมดของเขาในยามนี้ ที่มากกว่าคือวิญญาณค้างคาวจันทรารอบตัวเขา หลังกลายเป็นกำปั้นยักษ์ก็พลันชกลง

หมัดนี้เป็นการตัดโอกาสสวนกลับของหานเฟยจื่อ ทำให้นางต้องตั้งรับอีกครั้ง เมฆหมอกปกคลุมรอบตัวปะทะเข้ากับซูหมิง

เสียงโครมครามดังก้องต่อเนื่อง บนท้องฟ้า ร่างกายซูหมิงเลือนราง ปล่อยหมัดรัวขึ้นเรื่อยๆ หานเฟยจื่อถูกกระทำอยู่เพียงผู้เดียว ตั้งรับพร้อมกับล่าถอย แววตาเย็นชามากยิ่งขึ้น ทว่าก็ต้องถอยร่นไป

ในความรู้สึกนาง ทุกหมัดล้วนแฝงไว้ด้วยพลังสองชนิด หนึ่งคือพลังโลหิต พอเมินเฉยได้ ทว่าพลังที่สองกลับน่าตะลึง

การโจมตีของมันไม่ใช่ร่างกายแต่เป็นจิตใจภายใน นางที่ถูกเคล็ดวิชาตราประทับจู่โจมจนเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง เกิดความรู้สึกว่าวิญญาณจะล่องลอย

ทันใดนั้นซูหมิงปล่อยเข้าไปอีกหนึ่งหมัด วิญญาณค้างคาวจันทราในกายเคลื่อนไหวพร้อมเพรียง บีบจนหานเฟยจื่อกระเด็นถอยไปหลายสิบจั้ง ในที่สุดเขาก็กล่าวขึ้นเป็นครั้งแรกด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ดังก้องกังวาน

“เหอเฟิง เจ้าล่อนางมา ตอนนี้ยังไม่ลงมือแล้วจะรอไปจนถึงเมื่อไร!”

เมื่อเอ่ยคำพูดดังกล่าว หากเหอเฟิงได้ยิน จะต้องแผดเสียงตะโกนด่าทอว่าต่ำทรามเป็นแน่ เพียงแต่ว่ายามนี้เหอเฟิงไม่ได้ยิน

เมื่อหานเฟยจื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าดูตื่นตะลึงและโกรธแค้น ก่อนหน้านี้นางเคยสงสัย ยามนี้ไม่ต้องหยุดคิด พลันล่าถอยกลายเป็นสายรุ้งยาวห้อเหยียดในทันที

ฐานะนางสูงส่ง ไม่ยอมเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอย่างแน่นอน ศัตรูลึกลับเทียบเท่ากับขั้นชำระล้างทำให้นางเสียโอกาส ถูกจู่โจมอย่างต่อเนื่อง หากเหอเฟิงลงมืออีกคน เว้นแต่นางจะยอมทิ้งเส้นเลือดสมบูรณ์ เลือกทะลวงขั้นชำระล้างทันที มิเช่นนั้นก็ยากจะได้ชัยชนะ

ซูหมิงไม่ไล่ตาม ใบหน้าเขาขาวซีด มีโลหิตไหลจากมุมปาก การต่อสู้ครั้งนี้แม้เขาเป็นฝ่ายรุกจู่โจม ทว่าทุกครั้งที่โจมตีใส่หานเฟยจื่อล้วนถูกแสงสีทองรอบตัวนางสูบกิน ทั้งยังมีแรงสะท้อนประหลาดทำให้เขาได้รับบาดเจ็บต่อเนื่อง

‘สตรีคนนี้ถูกเคล็ดวิชาตราประทับและวิญญาณค้างคาวจันทราจู่โจม รวมกับแผนการให้อีกฝ่ายตั้งรับ ทำให้ตื่นตกใจหนีไปเพราะคำพูดเกี่ยวกับเหอเฟิง แต่นางไม่ใช่คนธรรมดา เกรงว่าคงจะกลับมาในอีกไม่ช้า’ กายซูหมิงขยับไหว กลับเข้าไปในถ้ำรอยแยก นำกระดูกสองชิ้นใส่ถุง อุ้มร่างของเหอเฟิงออกจากปากถ้ำและมุ่งหน้าเข้าไปยังส่วนลึกยิ่งกว่าของป่าฝน

หนึ่งก้านธูปต่อมา เมฆหมอกบนท้องฟ้าส่งเสียงคำราม บนเมฆหมอก

หานเฟยจื่อมีสีหน้าประดุจน้ำแข็งที่ไม่ละลาย นางกระโดดลงมายืนอยู่ตรงสนามรบเมื่อครู่ จ้องส่วนลึกในป่าฝน นัยน์ตาฉายแววเหี้ยมโหด

ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่นางไม่เคยเสียเปรียบเช่นนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกต้อนจนมุมถึงเพียงนี้ กระทั่งหน้าตาของอีกฝ่ายยังไม่เห็น ทำให้นางผู้โอหังไม่อาจรับได้

‘บุคคลนี้ขั้นพลังไม่สูง ทว่าการโจมตีกลับลึกลับยิ่งนัก พอจะเทียบเคียงกับขั้นชำระล้าง…แผนการของเขาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน…แต่ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ขอแค่เจ้ายังอยู่ใกล้เมืองเขาหาน ข้าจะหาเจ้าให้พบ!’ สีหน้าหานเฟยจื่อค่อยๆ กลับมาเรียบเฉย แต่ความแค้นต่อซูหมิงยังอยู่ในแววตาไม่เลือนหาย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!