ตอนที่ 1351 ซูหมิง ข้าอยากร้องไห้มาก…
เส้นทางจากน้ำวนบนฟ้าของซูหมิงมีไว้เพื่อช่วยส่งมรดกของพวกเด็กเลี้ยงสัตว์เท่านั้น นอกจากมรดกแล้ว จะส่งของอื่นๆ อย่างเช่นจิตแรกไม่ได้
แต่ใจคนไม่เพียงพอ มีผู้ฝึกฌานแบบชายชราชุดคลุมม่วงหมายจะใช้โอกาสนี้ สู้ชีวิต ในเมื่อลิขิตไว้แล้วว่าหลายร้อยปีจากนี้ต้องตาย เช่นนั้นก็ขอเข้าไปในโลกที่อาจจะมีอยู่จริงนั้น เพียงแต่เขากังวลว่าซูหมิงจะไม่ยอม ดังนั้นเลยเสี่ยงย้อมแมว ความจริงซูหมิงสังเกตอยู่ก่อนแล้วเลยเอ่ยไปก่อนหน้านี้ อีกทั้งการตายของจิตแรก ชายชราชุดคลุมม่วงก็ไม่ใช่ฝีมือซูหมิง แต่เขารับแรงกดดันตอนข้ามผ่านเส้นทาง ไม่ไหวเอง วิญญาณเลยดับสูญไป
จนกระทั่งน้ำวนบนฟ้าหายไปท้องฟ้ากลับมาเป็นดังเดิมแล้ว เด็กเลี้ยงสัตว์หันหน้าไปมองตรงจุดที่ชายชราชุดคลุมม่วงอยู่ก่อนหน้านี้ด้วยสีหน้าซับซ้อน ยามนี้ ตรงนั้นว่างเปล่า ร่างชุดคลุมม่วงกลายเป็นเถ้าธุลีลอยไปตามลม
มีเพียงต้นเฟิงกลางคืนมืดที่ยังเปล่งแสงสีแดงโดยไม่มีผู้ใดถามไถ่ ต่อให้ซ่อนอยู่ในค่ำคืนก็ยังคงอยู่
เด็กเลี้ยงสัตว์เงียบ ชายหนุ่มชุดคลุมขาวมีสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย สี่คนข้างๆ ตอนนี้เงียบ ยามนี้ในใจพวกเขาเกิดความเศร้า พวกเขาเข้าใจว่าการตายของชายชราชุดคลุมม่วงไม่เกี่ยวกับซูหมิง แต่อีกฝ่ายรนหาที่ตายเอง
เพียงแต่ผลสุดท้ายแบบนี้ทำให้พวกเขาเข้าใจอารมณ์ตอนที่ชายชราชุดคลุมม่วงตัดสินใจเช่นนี้ ซึ่งความจริงแล้ว พวกเขาหลายคนก็เคยคิดแบบนี้…
“หากโลกนั้นมีอยู่จริงๆ มรดกของพวกเจ้า…พวกมันจะนำพาคำอวยพรของข้าไปด้วย บางทีอาจได้สืบทอดไปยังที่ห่างไกล” ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อ สุดท้ายก็มอง ผู้ฝึกฌานหลายคนตรงหน้าแวบหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินอากาศไป
พวกเด็กเลี้ยงสัตว์คารวะซูหมิงพร้อมกันโดยไม่ต้องนัดหมาย ไม่ต้องเอ่ยคำพูดซาบซึ้งใจ ซูหมิงเองก็ไม่ได้ต้องการความซาบซึ้ง แต่ต้องการความเคารพด้วยการ ยึดมั่นต่อมรดกของพวกเขา
ซูหมิงจากไปแล้ว กลางฟ้าคืนมืด ข้างต้นเฟิง เด็กเลี้ยงสัตว์เผยรอยยิ้มทีละน้อย รอยยิ้มนั้นไม่มีแผนการใดๆ เขามองฟ้านิ่งๆ ในมรดกของเขามีคำอวยพรและความหวังของเขาอยู่ เขาหวังให้ทายาทของตนเหนือกว่าขั้นพลังของตนตอนนี้ในโลกที่อาจจะมีอยู่นั้น
ชายหนุ่มชุดคลุมขาวลูบปลอกกระบี่ที่ไม่มีกระบี่ด้วยสีหน้าหลุดพ้น เขาหลอมกระบี่ตัวเองเป็นมรดก ต่อให้กระบี่เขาต้องแตกในโลกที่อาจจะมีอยู่นั้น สุดท้ายก็จะกลายเป็นกระบี่คมหลายเล่ม เจ้าของกระบี่ทุกเล่มจะประสบความสำเร็จ
เขาไม่ต้องการผู้ครองมรดกคนเดียว เขาต้องการแค่ส่งเจตนารมณ์แห่งการ ฝึกกระบี่ไปให้กับบางคนที่ใช้กระบี่เขาได้ในโลกที่อาจจะมีอยู่นั้น!
สี่คนที่เหลือต่างมองฟ้าเงียบๆ ในใจมีความหวังที่ต่างกันแต่คล้ายๆ กัน…พวกเขาไม่มีวันรู้เลยว่าในโลกที่อาจจะมีอยู่นั้น มรดกของพวกเขา…จะรุ่งเรืองแบบใด
คำตอบไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือตอนนี้ในใจพวกเขาไม่มีความเสียใจแล้ว
“สหายทุกท่าน สามร้อยกว่าปีจากนี้ ข้าอยากจะหลับใหล ไม่อยากคิดถึงเรื่องใดอีก จนกระทั่งวันนั้นมาถึง” เด็กเลี้ยงสัตว์มองคนอื่นๆ ข้างกาย
“ข้าว่าจะออกไปข้างนอก ไม่ว่าอย่างไรสามร้อยกว่าปีนี้ก็ต้องหลอมกระบี่อีกสักเล่ม” ชายหนุ่มชุดคลุมขาวยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นเย็นชาเล็กน้อย แต่มีการหลุดพ้น ขณะเอ่ยก็ประสานมือคารวะทุกคนแล้วเดินอากาศไป
สี่คนที่เหลือต่างเงียบอยู่ชั่วครู่ก่อนประสานมือคารวะเด็กเลี้ยงสัตว์ แล้วกลายเป็นสายรุ้งยาวสี่สายบินไปบนฟ้า หายไปในฟ้ากระจ่างดาว
จนกระทั่งทุกคนจากไป เด็กเลี้ยงสัตว์นั่งขัดสมาธิลงใต้ต้นเฟิงนั้น เอาหลังพิงต้นไม้มองแสงไฟจากหลายตระกูลในเมือง ค่อยๆ ยิ้มมุมปาก หลับตาลงช้าๆ หลับใหลไป
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดมา พัดเส้นผมเขา ใบไม้ร่วงหล่นเป็นผ้าห่มปกคลุม เมื่อเขาหลับตาลง ทั้งโลกค่อยๆ เลือนราง จนกระทั่งสุดท้ายกลายเป็นอากาศธาตุ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ตอนที่เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาไม่อยู่ใต้ใบเฟิงอีก แต่อยู่กลางเขา ท้องฟ้าไม่ใช่คืนมืดอีก แต่เป็นตอนบ่าย กลางภูเขาเต็มไปด้วยพืชเขียวขจี แกะและวัวอยู่กันเป็นฝูง เขา…ก็ยังเป็นเด็กเลี้ยงสัตว์ เพียงแต่เด็กเลี้ยงสัตว์ในตอนนี้ลืมฐานะจริงๆ ไปแล้ว
“ฝันรึ…” เด็กเลี้ยงสัตว์ตบศีรษะตัวเอง…
ซูหมิงกลางฟ้าเดินหนึ่งก้าว มวลอากาศที่เขาอยู่เปิดออกอย่างเงียบเชียบราวกับเปิดหน้าตำรา ตอนที่ปิดลง ปีกที่สี่เปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นโลกจิ้งจอกสวรรค์ของ ฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณ
เขามองฟ้ากระจ่างดาวคุ้นเคยรางๆ ไม่เห็นกระเรียนขนร่วงจึงยิ้มเงียบๆ เวลาผ่านไปนานขนาดนี้ ด้วยนิสัยของกระเรียนขนร่วง ดูท่าคงจะเที่ยวเล่นอย่าง ชุ่มชื่นอยู่ที่ใดสักแห่ง
ซูหมิงหมุนตัวกลับพร้อมแผ่กระจายดวงจิต เขาสังเกตเห็นที่อยู่ของเหยียนเผยตอนนี้ ข้างกายเขายังมีสตรีนามจื่อรั่ว ซูหมิงตรึกตรองอยู่ชั่วครู่แล้วก็เดินไป
พื้นที่ใจกลางโลกจิ้งจอกสวรรค์ กลางดาวดวงหนึ่ง บนยอดเขา จื่อรั่วยืนอยู่ ตรงนั้น สำหรับนางแล้ว ร้อยกว่าปีอาจเป็นเพียงพริบตา แต่ตอนนี้…นางมีสีหน้าอ้างว้างเพิ่มมา
ข้างหลังนางเป็นเหยียนเผยยืนอยู่ด้วยสีหน้าขมขื่น เหมือนอยากจะพูดบางอย่าง แต่มองเงาแผ่นหลังจื่อรั่วแล้วก็พูดไม่ออก
“เจ้าน่าจะรู้ว่าร่างเงานั้นที่ปรากฏในฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนไม่ใช่เขา…” ผ่านไปพักใหญ่เหยียนเผยถอนหายใจเบาแล้วพูดขึ้นช้าๆ
“ข้าย่อมรู้ว่าไม่ใช่เขา แต่…ข้าเห็นกับตาว่าชาวเผ่าข้าตายด้วยมือร่างเงานั้น นั่นคือหน้าตาของเขา เป็นกลิ่นอายพลังเขา ข้าเห็นความบ้าคลั่งและโกรธแค้นของชาวเผ่า ข้า…จะทำอย่างไรได้!” จื่อรั่วตัวสั่น นัยน์ตาฉายแววเคียดแค้น
เหยียนเผยเงียบ เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร แม้จะรู้ว่าคนนั้นไม่ใช่ซูหมิง แม้เขาจะเป็นจักรพรรดิรุ่งอรุณ แต่ก็ไม่อาจให้ผู้ฝึกฌานหรือเผ่าพันธุ์ที่ถูกความแค้นครอบงำและสูญเสียญาติพี่น้องเชื่ออะไรเขาได้
ต่อให้เป็นเขา หากมิใช่เพราะสนิทกับซูหมิง ทันทีที่เห็นร่างเงานั้นก็คงไม่กล้าเชื่อ…
เขาในยามนี้ลอบถอนหายใจ และยังมีจื่อรั่วที่อ้างว้างก็ไม่รู้ว่าซูหมิงยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา ฟังคำพูดสองคนนี้พลางขมวดคิ้วขึ้น
เมื่อซูหมิงขมวดคิ้ว เขาแผ่ขยายดวงจิตออกไปอย่างเงียบเชียบ ปกคลุมโลกจิ้งจอกสวรรค์ อบอวลไปทั่วทุกโลกเงามืดรุ่งอรุณ และยังไปถึงฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน เห็นหนึ่งร้อยแปดสิบโลกของฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน
ภาพแต่ละโลกในตอนนี้ลอยขึ้นในความคิดเขาประหนึ่งภาพวาด เขาเห็น ชาวเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ในโลกจิ้งจอกสวรรค์ตายไปเกือบห้าส่วน เห็นเผ่าพันธุ์ทั้งหมด ทั้งฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณเป็นเช่นนี้เกือบทั้งหมด รวมถึงหนึ่งร้อยแปดสิบโลกในฝ่าย สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนก็เช่นกัน
ร้อยกว่าปีมานี้ ชาวเผ่าทุกเผ่าจำนวนมากถูกคนนามว่าซูหมิงสังหารอย่างเหี้ยมโหด ความแค้นของพวกเขาเข้มข้น ความรุนแรงของจิตสังหารต่อซูหมิงทำให้พอซูหมิงเห็นทุกอย่างแล้วก็เงียบลง
เห็นได้ชัดว่านี่คือสิ่งที่ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงกระทำ เพียงแต่ซูหมิงคิดไม่ออกว่าผู้เฒ่าเมี่ยเซิงทำแบบนี้มีสาเหตุอะไร ไม่ว่าร้อยกว่าปีนี้จะมีคนตายไปเท่าไร วันที่ภัยพิบัติมาถึงพวกเขาก็จะถูกลบอยู่ดี ทำแบบนี้นอกจากได้รับความแค้นแล้วก็ไม่ได้อะไรอีก
‘ความแค้น…’ ซูหมิงขมวดคิ้ว ผ่านไปพักใหญ่ถึงคลายออก ในเมื่อไม่เข้าใจเรื่องนี้ก็ไม่คิดถึงมันเสียเลย เพียงแต่ว่าไม้กลายเป็นเรือแล้ว เลยแก้ไขเรื่องนี้ไม่ได้
ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง ในใจกว้างใหญ่และราบเรียบ เขาเพียงแค่ต้องเข้าใจเรื่องนี้ รู้ว่าตนไม่ได้ทำจริงๆ ก็พอ ส่วนเรื่องอื่นๆ…เขาไม่ต้องเข้าใจ
กระทั่งเขาคาดการณ์ได้ว่าในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวกับผู้เฒ่าเมี่ยเซิง เช่นนั้นก็มีโอกาส สูงมากที่จะเกี่ยวกับคนชุดคลุมดำสามคนนั้นที่ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงส่งไปมหาโลกสามรกร้าง
พอนึกถึงคนชุดคลุมดำสามคนนี้แล้ว ซูหมิงถอนหายใจเบา หมุนตัวจากไป ไม่ได้ เผยตัว ไม่ได้รบกวนเหยียนเผยกับจื่อรั่ว แต่เดินไปกลางฟ้าเข้าไปในอากาศ ตอนที่ก้าวเท้าลง เขาออกจากฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณเข้าไปอยู่กลางฟ้าของฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน
เดินหน้าไปยังจุดที่กระเรียนขนร่วงอยู่ตอนนี้
ฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน ณ โลกเล็กธุลีตก นี่คือโลกเล็กตรงชายแดนใกล้กับ โลกของเผ่าฝังฟ้า โลกนี้มีนามว่าธุลีตก มีฐานะศักดิ์สิทธิ์ในฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน เพราะว่าที่นี่…เป็นที่อยู่ของผู้สูงส่งหวนคืนเฟยฮวาหนึ่งในสามผู้สูงส่งหวนคืน
กลางโลกเล็กธุลีตก มีเพียงดาวดวงเดียว หากมองไกลๆ จะเห็นเป็นสีเขียวมรกต แม่น้ำทะเลโอบล้อม ทำให้ดาวนี้เหมือนกับดาวน้ำ เต็มไปด้วยความนุ่มและเหนียวอย่างมีความหมายลึกซึ้ง ขณะเดียวกันยังมีความยิ่งใหญ่ไม่ด้อยไปกว่ายอดเขาสูงใหญ่
บนดาว ข้างทะเลสาบ มีบ้านไม้หลังหนึ่ง รอบๆ มีพืชเขียวขจีนับไม่ถ้วน กลิ่นหอมคละคลุ้ง เต็มไปด้วยความรู้สึกเปี่ยมล้นด้วยพลังชีวิต นอกบ้านไม้มักจะมีหญิงชรานั่งอยู่ มองทะเลสาบคนเดียว ใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนโยน เหมือนกำลังนับความทรงจำ ตกอยู่ในห้วงเวลาแห่งการหวนคะนึงคิด
ไม่ไกลนัก อีกด้านของทะเลสาบ กระเรียนขนร่วงนอนหมอบอยู่ตรงนั้นกลายเป็นก้อนหินก้อนหนึ่ง ร้อยปีนี้มันมองบ้านไม้อยู่แบบนี้ มองหญิงชรานอกบ้านไม้เหมือนจะมองไปจนกว่าฟ้าดินถูกทำลาย จักรวาลไม่คงอยู่
มันไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดต้องมองแบบนี้ และไม่รู้ด้วยว่าเพราะเหตุใดถึงไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนมา เหมือนทุกครั้งที่คิดถึงคำถามนี้ หัวใจมันจะเจ็บปวดราวกับจะถูกฉีก
ทว่าพอไม่คิดถึงคำถามนี้ ร้อยกว่าปีมานี้ มันจึงหาความสงบนิ่งอีกชนิดหนึ่งพบนอกจากตอนติดตามซูหมิง ความสงบนิ่งนี้ทำให้มันไม่ลุ่มหลงหินผลึกอีก ไม่คิดถึง เรื่องในอดีตอีก กระทั่งเกิดความคิดจะอยู่กับความสงบนิ่งแบบนี้ไปชั่วชีวิต
จนกระทั่งวันนี้ร่างเงาซูหมิงปรากฏตัวข้างกายมันเงียบๆ ตอนที่นั่งลงข้างมัน ก้อนหินร่างแปลงกระเรียนขนร่วงเปลี่ยนไปช้าๆ จนสุดท้ายกลับมาเป็นร่างเดิมแล้วก็มองซูหมิง
ซูหมิงก็มองกระเรียนขนร่วง เขาเห็นน้ำตาในดวงตามัน สำหรับร่างมายาที่ไม่มีร่างจริงแล้ว น้ำตา…เป็นสิ่งฟุ่มเฟือย มันไม่มีทางหลั่งออกมาได้ ดังนั้นน้ำตานี้ก็คือความเศร้า
“ซูหมิง…ข้าอยากร้องไห้มาก…” กระเรียนขนร่วงพูดพึมพำ