ตอนที่ 1357 ตรงนั้นคืออีกฝาก
คนพายเรืออยู่สุดขอบฟ้า
ฟ้านั้นคือฟ้าที่เกิดจากการสะท้อนของแม่น้ำลืมเดินทาง สุดขอบนั้นคือแม่น้ำไม่มีสิ้นสุด ไม่รู้ว่าไหลไปที่ใด กลายเป็นสุดขอบไร้ที่สิ้นสุด…
การดื่มน้ำลืมเดินทางอาจลืมอดีตได้ เหมือนกับซูหมิงตอนนี้ เขาพายเรือ น้ำที่กระเซ็นขึ้นมากระจายออก มีหยดหนึ่งตกลงริมฝีปาก เป็นรสขม
เขายังคงอยู่ตรงริมแม่น้ำลืมเดินทาง ยังคงอยู่ในบ้านไม้ที่เหมือนจะไม่เสื่อมโทรมไปในกาลเวลาอีก อยู่ใต้ชายคาบ้าน นั่งตรงนั้นเงียบๆ มองฟ้า มองโลก มองทุกชีวิตขึ้นลง มองคนที่อาจจะมาในคืนฝนตก
ฤดูร้อนของปีหนึ่ง สายฝนเย็นสบายแต่แฝงด้วยความอบอ้าว ในคืนหนึ่ง ในที่สุดก็มีอีกคนมาอยู่นอกบ้านไม้
นั่นคือชายร่างกำยำ สวมอาภรณ์ยาว ร่างกายสูงใหญ่ หน้าตาองอาจห้าวหาญ เขายืนอยู่ข้างบ้านไม้เงียบๆ มองแม่น้ำเงียบๆ ด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว
“คนพายเรือ” เขาพูดขึ้นเสียงเบา
ซูหมิงนั่งอยู่ใต้บ้านไม้ เงยหน้าขึ้น ยามที่มองชายร่างกำยำ ใบหน้าที่หลอมรวมในเงามืดเผยรอยยิ้ม ส่งฟางชางหลันแล้ว ต่อไปเป็นศิษย์พี่ใหญ่
“แม่น้ำนี้มีนามว่าลืมเดินทาง” ชายร่างกำยำมองแม่น้ำพลางพูดเบาๆ
“ใช่”
“ตรงนั้นคืออีกฝากรึ?”
“ข้าไม่รู้”
“ข้ากำลังรอคนหนึ่ง” ตอนที่ชายร่างกำยำหันหน้ามามองซูหมิง แสงจันทร์ส่องบนใบหน้าเขา แววตามีการอาลัยอาวรณ์ลุ่มลึกและความเศร้าจากการพรากจากที่บอกไม่ถูก
ซูหมิงยิ้ม เขายืนขึ้นเดินไปยังท้ายเรือ หันไปมองชายร่างกำยำอย่างสงบนิ่ง ชายร่างกำยำเงียบไปชั่วครู่ก่อนหัวเราะ เสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ หัวเราะไปหัวเราะมาก็เหมือนน้ำตาไหล เขาเดินขึ้นไปยังหัวเรือแล้วนั่งขัดสมาธิลง
เรือโดดเดี่ยวเดินหน้าไปในค่ำคืนของแม่น้ำลืมเดินทาง สายฝนตกลงบนแม่น้ำจึงเกิดเสียงดังไม่ขาดสายเข้าไปในเรือ กระทบกับเรือไม้ เหมือนกำลังบอกภพก่อน ระบายความในใจกับภพหน้า
ศิษย์พี่ศิษย์น้องกันในภพก่อน ภพนี้เดินทางร่วมเรือเดียวกันบนแม่น้ำลืมเดินทาง ซูหมิงมองทอดไกล รอยยิ้มบนใบหน้ากลายเป็นเสียงถอนหายใจภายในทีละน้อย จนกระทั่งถึงอีกฝาก จนกระทั่งชายร่างกำยำยืนขึ้นเงียบๆ เดินออกจากหัวเรือ
“ข้ารอศิษย์น้องเล็กของข้า รบกวนคนพายเรือด้วยว่าหากเห็นเขา บอกเขาว่า…เขา…จะต้องมาให้ได้!” ชายร่างกำยำไม่ได้หันมามอง แต่ก้าวเท้ายาวเดินไกลออกไป
ซูหมิงมองร่างเงาชายร่างกำยำอยู่นานมากถึงพยักหน้าเบาๆ
“ได้” เขาหมุนตัวกลับ พายเรือโดดเดี่ยวลำนั้นกลับมายังจุดที่เขาควรจะรอ รอคนต่อๆ ไป
คืนฝนตกในฤดูกาลนี้ เหมือนว่าเวลาผ่านไปช้าลงเล็กน้อย ต่อให้หลายเดือนต่อมาฝนก็ยังตกอยู่ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ราวกับว่ามีคนหลั่งน้ำตาบนฟ้า น้ำตานั้นตกลงมายังโลกมนุษย์กลายเป็นสายฝน
โดยเฉพาะยามค่ำคืน ตอนที่สายลมพัดมา สายฝนตกลงบนแผ่นดินที่ต่างกัน บ้างเป็นดินเลน บ้างเป็นใบไม้ บ้างเป็นเรือไม้ บ้างเป็นแม่น้ำ หรือไม่ก็ชายคาบ้านที่ ซูหมิงอยู่ เสียงต่างกันดังแว่วมาพร้อมกัน รวมขึ้นเป็นเสียงธรรมชาติที่หากไม่ตั้งใจฟังก็จะมองข้ามไปได้ง่ายๆ
ซูหมิงนั่งอยู่ใต้ชายคาบ้าน หลอมรวมเข้าไปในเงามืด ฟังสายฝน จิตใจสงบ มองทอดไกลผ่านความหนาวในวันฝนตกเงียบๆ จนกระทั่งถึงกลางดึก ซูหมิงจุดแสงเทียนในฝาครอบโคมไฟวางไว้ใต้ชายคาอย่างระมัดระวัง ทำให้สายลมไม่อาจดับไฟได้ ทำให้แสงไฟนี้กลายเป็นความสว่างเพียงหนึ่งเดียวในคืนมืด ทำให้คนที่จะมายาม ค่ำคืนต้องเห็นที่นี่ ไม่มีหลงทาง
ซูหมิงมองแสงเทียน เขาไม่นึกถึงอดีตตัวเอง ไม่นึกถึงพลังของตน ไม่สนใจการ มาเยือนของภัยพิบัติกับเรื่องสามรกร้าง สิ่งที่เขาสนใจมีเพียงอย่างเดียวคือใน ร้อยยี่สิบปีนนี้ เขาต้องเป็นคนพายเรือส่งสหาย ส่งคนรักไปยังอีกฝาก
ไม่รู้ว่าเมื่อไรมีเสื้อคลุมฝนปกคลุมหัวใจซูหมิง มีงอบบดบังวิญญาณเขา เขาก้มหน้าลง ภายใต้งอบนั้น เขาเพ่งมองแสงเทียนในฝาครอบโคมไฟ มองเห็นโลกในเพลิงเทียน เห็นว่าพวกคนที่เขารู้จักกำลังสุขเศร้าอยู่ในโลกนั้น
จนกระทั่งในคืนหนึ่งใกล้จะถึงยามรุ่งสาง มีภูตผีตนหนึ่งมาอยู่ข้างกายเขา
ภูตผีตนนี้ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดทั้งตัว ยืนอยู่ตรงข้ามซูหมิง มองเพลิงเทียนในฝาครอบโคมไฟเช่นกัน เขามองเพลิงเทียน ภายในดวงตามีความซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก ก่อนเงยหน้าขึ้นมองซูหมิงช้าๆ
“เจ้าปิดบังคนอื่นได้ แต่ปิดบังข้าไม่ได้…ในเมื่อนี่คือการตัดสินใจของเจ้า ข้าหวังแค่ว่า…สักวันหนึ่งข้าจะยังได้เห็นศิษย์น้องเล็กของข้าอีกที่นั่น
ชาตินี้เจ้าคือคนพายเรือ ไปเถอะ พาข้าข้ามแม่น้าไป” ภูตผียิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มขมขื่นมาก
ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองภูตผีตรงหน้า มองศิษย์พี่รองของเขา ก่อนยืนขึ้นเงียบๆ พายเรือจนกระทั่งถึงอีกฝั่ง
“ข้าไม่มีเงินค่านั่งเรือ” ภูตผียืนอยู่ตรงหัวเรือ พูดขึ้นเนิบช้า
“ชาติก่อนให้มาแล้ว” ซูหมิงส่ายศีรษะ เขามองส่งศิษย์พี่รองของเขา ศิษย์พี่รองได้ยินประโยคนี้แล้วก็เหมือนยิ้ม นี่คือความอาลัยอาวรณ์ในรอยยิ้ม ตอนที่สองคน หันหน้ามามองกันโดยมีแม่น้ำลืมเดินทางกับเรือโดดเดี่ยวกั้นกลาง ก็ยังคงชัดเจน
“เดิมทีนี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเจ้า”
“ข้ายินยอมเอง”
เรือจากไปไกล แม่น้ำลืมเดินทางกั้นระหว่างชาติก่อนกับชาตินี้ กั้นระหว่างอดีตกับตอนนี้ บางทีอาจจะกั้นไว้ให้ยากจะพบกันชั่วนิรันดร์…แยกไม่ออกว่าเขาส่งเขา หรือว่าเขาส่งเขากันแน่…
เขาคำนี้คือใคร ซูหมิงไม่เข้าใจ ศิษย์พี่รองเข้าใจ คนอื่นอาจเข้าใจ
ส่งฟางชางหลัน ส่งศิษย์พี่ใหญ่ มองศิษย์พี่รองจากไปไกล ในสายตาซูหมิง เขากลับมายังที่ของเขาในเวลาร้อยยี่สิบปีอีกครั้ง อยู่ข้างบ้านไม้ที่ไม่เสื่อมโทรมไปในกาลเวลาอีก เพียงแต่ว่า…บ้านไม้ไม่เสื่อมโทรม แต่ใบหน้าซูหมิงไม่ใช่ชายหนุ่มอีก แต่เป็นวัยกลางคน
เขาในวัยกลางคนมีหนวดเคราขึ้นสั้นๆ มีความรู้สึกผ่านโลกมานานบางๆ เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่จะสวมงอบ แสงตะวันส่องไม่ถึง แน่นอนว่าจึงมองเห็นไม่ชัด บางทีอาจมีเพียงแสงเทียนตรงหน้าที่ทำให้เห็นใบหน้าที่ถอนหายใจเบานี้ได้ชัด
วันฝนตกประหนึ่งใกล้จะผ่านไป ในคืนฝนตกอีกคืน ซูหมิงมองแสงเทียน ก่อนหันกลับไปมองดอกไม้เล็กสีขาวที่ไม่รู้ว่าบานตั้งแต่ปีใดเดือนใดข้างบ้านไม้นี้
ดอกไม้นั้นงามมาก เพียงแต่สั่นไหวกลางสายฝนราวกับตัวสั่น ทว่าก็ยังยืนหยัดเบ่งบาน นั่นคือดอกเซวียน
เซวียนกลางสายฝน ในความงามมีความเข้มแข็งปานสตรีคนหนึ่ง
มันเบ่งบานเงียบๆ ไม่มีกลิ่นหอมเข้มข้น ไม่มีความล้ำค่าอันสุภาพ แต่ธรรมดามาก ทว่าในคืนฝนตกมันคือสิ่งเดียวในสายตาซูหมิง
เขามองดอกเซวียนกลางสายฝน เดินผ่านไป ในมือมีร่มกระดาษเพิ่มมาคันหนึ่ง เขาใช้บังฝนให้กับดอกเซวียนสีขาวนั้น ร่มคันนี้ไม่ใหญ่ แต่กลับบังสายลมสายฝนทุกอย่างได้ ราวกับว่าความอบอุ่นที่เขามอบให้จะทำให้ดอกไม้เล็กสีขาวรู้สึกได้ ท่าทางการเบ่งบานของดอกไม้จึงเหมือนกับสตรีในความคิดซูหมิงคนหนึ่งกำลังยิ้มให้เขา
รอยยิ้มนั้นงดงามมาก มองไปมองมาซูหมิงก็ยิ้ม มองดอกไม้เล็กเงียบๆ อยู่อย่างนั้นเหมือนมองไปทั้งชีวิต
ในที่สุดฤดูฝนก็ผ่านไป ในฤดูใบไม้ร่วง ซูหมิงนำดอกไม้สีขาวใส่ไว้ในกระถางดอกไม้ วางไว้ตรงหน้าตน ใช้ร่างกายปกป้องด้วยความอบอุ่น กลายเป็นดั่งคู่ชีวิตที่มองสายลมใบไม้ร่วงกับเขา
มองไกลๆ จะเหมือนว่าข้างกายซูหมิงมีสตรีคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างกาย มองตะวันขึ้นด้วยกัน รอตะวันตกดินด้วยกัน มองแสงจันทร์ด้วยกัน และก็นับดวงดาวด้วยกัน
ใบไม้โปรยลงมาตามสายลม มีใบหนึ่งตกลงตรงหน้าซูหมิง ตกลงในฝ่ามือที่เขายกขึ้น ใบไม้นี้มีสีใบไม้ร่วง ลายเส้นชัดเจนบนใบประหนึ่งแฝงไว้ด้วยชีวิตของบางคน ทำให้คนนับร่องรอยของลายเส้นใบได้
แต่สิ่งที่ฤดูใบไม้ร่วงงดงามที่สุดไม่ใช่ใบไม้ร่วงกลางสายลมที่ปลิวว่อน แต่เป็นตะวันยามอัศดง ตะวันที่มีสีแดงค่อยๆ ลาลับขอบฟ้า แสงสุดท้ายสะท้อนลงบนแผ่นดิน ดึงเงาซูหมิงให้ยาวขึ้นเรื่อยๆ แต่หากมองดีๆ จะพบว่าเงาที่ยาวขึ้นเรื่อยๆ นั้นกำลังจางลง จนกระทั่งผ่านยามโพล้เพล้ไป เงาหายไป เจ้าแยกไม่ออกว่ามันหลอมรวมในแผ่นดินหรือหลอมรวมในคืนมืด เหมือนกับแยกไม่ออกว่าเวลาจะสิ้นสุดลงเมื่อใด แยกไม่ออกว่าในโลกที่ห่างไกลนั้น ตนเองกับพวกเขา…จะมีวันได้พบกันอีกครั้งจริงๆ หรือไม่
เหมือนกับความเศร้าที่ฤดูใบไม้ร่วงมอบให้คน ยามนี้ซูหมิงมองใบไม้ร่วงกลางฝ่ามือ เขาถอนหายใจราวกับอยากจะส่งความคิดครึ่งชีวิตหลังทั้งหมดออกไปในร้อยยี่สิบปีนี้
ยามเย็นผ่านไป ตอนที่เงาซูหมิงหลอมรวมเข้าไปในแม่น้ำลืมเดินทาง เขามองไม่เห็นเงาข้างหลังตนแล้ว และก็มองไม่เห็นเงากลับด้านของสตรีข้างเงานั้น
เวลาหยุดนิ่งลงในตอนนี้ ภาพงดงามมาก ใบไม้ร่วงโปรยลงมา มีจำนวนหนึ่งตกลงไปกลางแม่น้ำลืมเดินทาง เกิดคลื่นกระเพื่อมขึ้น ทำให้เงาซูหมิงสั่นไหวเล็กน้อย ทำให้เงาสตรีนั้นจะหลอมละลาย ทำให้ภาพนี้ไม่สงบนิ่งอีก
ยามที่ก้มหน้าลง ดอกไม้เล็กสีขาวเกิดสัญญาณจะโรยรา เพียงแต่เหมือนอยากอยู่เป็นเพื่อนตนอีกเล็กน้อยจึงยืนหยัดอยู่ถึงตอนนี้
ช่วงที่เงยหน้าขึ้นในยามโพล้เพล้ สตรีสวมชุดกระโปรงสีแดง มีท่าทีหยิ่งยโส ข้างหลังมีกระบี่เล่มหนึ่งเดินมาแต่ไกล จังหวะก้าวไม่เร็ว แต่ทันทีที่ปรากฏตัวก็เหมือนกับดึงดูดสายตารอบๆ เข้ามา นี่ไม่ใช่เพราะความงามของนาง แต่เป็นเพราะพลังอำนาจจากในใจ
นางต่างกับความสุภาพของสตรีทั่วไป นั่นคือเสน่ห์ที่สุกงอม เหมือนกับอาภรณ์ของนาง สีแดงเพลิงดั่งดวงตะวันเจิดจรัส มองไกลๆ จะเหมือนกับม้าองอาจ หากเจ้ามีปัญญากำราบ จากนี้นางจะเป็นของเจ้า
หากเจ้ากำราบไม่ได้ นางก็จะจากไปไกล
“คนพายเรือมีสุราหรือไม่” เมื่อเดินเข้ามาใกล้ หญิงคนนั้นหยุดอยู่ข้างบ้านไม้ มองซูหมิงอย่างลึกซึ้ง
ซูหมิงเงยหน้าขึ้นยิ้ม
“หืม? คนพายเรือเจ้าอายุไม่น้อยแล้ว แต่หน้าตาก็ยังมีเสน่ห์อยู่บ้าง” หญิงคนนั้นมองซูหมิงแวบหนึ่งแล้วพลันเดินเข้ามาใกล้อีกหลายก้าว เข้ามาใกล้ซูหมิง เพ่งมองใบหน้าเขาอย่างละเอียด
“ไม่มีสุรา แต่อีกฝั่งของแม่น้ำอาจจะมี” ซูหมิงยิ้มตอบกลับ
“เช่นนั้นเจ้ายังรออะไรอีก พาข้ามแม่น้ำไป!” หญิงคนนั้นยิ้ม รอยยิ้มเป็นดั่ง ดอกกุหลาบเบ่งบาน นางหมุนตัวกลับเดินขึ้นเรือ ตอนที่หันกลับมามอง นางเห็นซูหมิงยืนขึ้น นำดอกไม้เล็กสีขาวที่ใกล้จะโรยราขึ้นมาอยู่ท้ายเรือด้วย
พริบตาที่ตะวันยามอัศดงจากไป เรือแล่นไปบนแม่น้ำลืมเดินทาง ข้างเรือ…สะท้อนเป็นสามเงา