Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1359

ตอนที่ 1359 วันนี้ท่านกระเรียนยังไม่เริ่มกิจการ

ท่านปู่ไปแล้ว

ร่างเงากะเผลกเล็กน้อยพร้อมกับมีความรู้สึกผ่านโลกมาเนิ่นนานเดินจากไปไกลบนฝากนั้น ค่อยๆ หายไปในฤดูใบไม้ผลิของฝากนั้น มองไม่เห็นเงา จนกระทั่งดวงตา ซูหมิงเลือนราง

ที่เลือนรางไม่ใช่เพราะร่างเงาไกลลิบค่อยๆ เดินจากไป แต่เป็นเพราะน้ำตาในดวงตาซูหมิงขีดเป็นฉากฝนขมุกขมัวในโลกของเขา ทำให้มองเห็นโลกไม่ชัด มองเห็นปัจจุบันไม่ชัด มีเพียงอดีตที่ชัดกว่าเดิมเพราะความทรงจำ มีเพียงความหวังในอนาคตที่ใสสะอาดขึ้น เหมือนกับลายใบไม่ร่วง ต้องนับให้ชัด และจำเป็นต้องชัดเจน

พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกสิบปี ซูหมิงใช้ชีวิตในโลกนี้มาเก้าสิบกว่าปีแล้ว หน้าตาเขา แก่ชรากว่าเดิม ใบหน้ามีรอยย่นมากขึ้น ในตัวเขาแผ่กลิ่นอายแก่ชราเหมือนเปรียบได้กับบ้านไม้นั้นแล้ว

เขาในตอนนี้นั่งอยู่ใต้ชายคาบ้านไม้ คนชรา บ้านโบราณ ในยามโพล้เพล้

การตัดสลับกันของสี่ฤดู สายฝนและหิมะปรากฏต่างเวลากันตรงหน้าซูหมิง ใบไม้ร่วงกับหน่ออ่อนของใบไม้ผลิเริงระบำด้วยกัน ความอบอ้าวและป่าแห้งอยู่คู่กัน

ตะวันขึ้นลง ในความไม่เปลี่ยนเป็นนิรันดร์กาลเหมือนแฝงไว้ด้วยกฏของชีวิตไปจนถึงฟ้าดินบางอย่าง ซูหมิงมองไปมองมาพลางรู้สึกถึงร่องรอยที่จะตื่นขึ้น แต่สุดท้ายก็ยังไม่ถึงเวลาตื่น เขายังตื่นไม่ได้ เขาต้องรอคนที่ยังไม่มา การพายเรือยังไม่จบลง

“สามสิบปีสุดท้าย…” ซูหมิงเงยใบหน้าแก่ชราขึ้นในยามรุ่งอรุณ มองเพลิงเทียนที่ไม่เปลี่ยนแปลงข้างหน้า ราวกับเห็นอดีตของตนในแสงเพลิงนั้น

ความโดดเดี่ยวของหนึ่งชีวิตเหมือนกลายเป็นชะตาลิขิต ความยากของโชคชะตาก็ถูกลิขิตไว้ว่าต้องขยายไปโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งยามนี้ตอนที่ซูหมิงมองอดีตเขาพบว่าสิ่งที่ตนหวังให้มีมาโดยตลอดเป็นเพียงสิ่งที่หวังมากเกินไป มันลิขิตไว้แล้วว่าภูเขาทมิฬต้องจากตน ลิขิตไว้แล้วว่ายอดเขาลำดับเก้าต้องเป็นเช่นนี้ สตรีก็ดี ศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ดี แม้แต่มหาโลกสามรกร้าง ผีเสื้อซางเซียงก็เหมือนจะถูกลิขิตไว้แล้วว่า…จะมีวันนี้

‘ข้าซูหมิงไม่เชื่อชะตา’ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววยึดมั่น ตอนที่แววตายึดมั่นเปล่งประกายมาจากในดวงตาแก่ชรานั้น มันทำให้ทุกคนที่เห็นซูหมิงมองข้ามอายุของเขาไปได้ ถูกแววตายึดมั่นดึงดูดประหนึ่งมองนักเรียนที่เพิ่งจากบ้านเกิด เตรียมจะ โลดแล่นในใต้หล้า

ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่เคยชื่นชมก่อนยามรุ่งอรุณ เงามืดแสนสั้นหรือความบ้าคลั่งสุดท้ายก่อนฟ้าสว่าง เหล่านี้ใช้บรรยายคำพูดก่อนฟ้าสาง แต่จะมีสักกี่คนกันที่รู้ว่าช่วงเวลาที่มืดที่สุดก่อนฟ้าสางเรียกว่าอะไร

ก่อนหน้านี้ซูหมิงก็ไม่รู้ เพียงแต่เขามองก่อนฟ้าสางอยู่นานแล้ว จึงเริ่มเข้าใจ

ก่อนฟ้าสางเรียกว่าเงามืดตะวันยามรุ่งอรุณ

ตะวันยามรุ่งอรุณ เดิมทีคือการเริ่มต้นใหม่ เป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักรใหม่ แต่ในความคิดซูหมิง คำว่าตะวันยามรุ่งอรุณนี้(旭) ด้วยความที่ตัวมันมีเลขเก้า(九) อยู่ข้างหน้า อีกทั้งเลขเก้ายังหมายถึงจุดสูงสุด หมายถึงจุดสิ้นสุด บางทีในวันหนึ่ง มันอาจจะหมายถึงจุดสิ้นสุดครั้งสุดท้ายของคืนมืด บางทีในสมัยหนึ่ง มันอาจจะหมายถึงจุดจบของสมัยนี้

และเพราะมีเลขเก้านี้เอง คำว่าตะวันยามรุ่งอรุณนี้จึงสื่อถึงจุดเริ่มต้นของวัฏจักร ขณะเดียวกันซูหมิงรู้สึกว่ามันกดอยู่เหนือกว่าคำว่า日ที่หมายถึงดวงตะวันข้างๆ ตัวมัน กลายเป็น…ต้นกำเนิดความมืดมิดทุกอย่าง

เงามืดตะวันยามรุ่งอรุณ…หมายถึงช่วงเวลาที่มืดที่สุด ไม่มีเวลาใดที่จะมืดกว่านี้อีกแล้ว เหมือนกับการตระหนักรู้ในอดีตของซูหมิง เขาคือเงามืดที่ฟ้ายามค่ำคืนย้อมสีไม่ได้

ช่วงเงามืดตะวันยามรุ่งอรุณ แม้แต่เพลิงเทียนตรงหน้าซูหมิงยังอ่อนแสงลงมาก ราวกับมันต้องดิ้นรนเปล่งแสงในความมืดมิดของโลกนี้ แต่สุดท้ายก็อ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนถูกคืนมืดกลืนหายไป

ซูหมิงยิ้ม รอยยิ้มนั้นขมขื่นมาก สายตามองเพลิงเทียนที่อ่อนแสงลงทีละน้อยพลางถอนหายใจเบา

‘ข้าดับเพลิงเทียนนี้ได้ แต่กลับดับ…ยามรุ่งอรุณที่จะมาถึงไม่ได้ เหมือนว่าต้อง ส่งแสงหลังยามรุ่งอรุณคืนให้ยามกลางวัน’ ซูหมิงส่ายศีรษะ เวลานี้เอง มีปากใหญ่พลันปรากฏในเงามืดข้างเพลิงเทียนตรงหน้าซูหมิง มันงับแสงเพลิงเทียนนั้น

จากแสงเพลิงเทียนชั่วพริบตาก่อนหน้านี้จึงเห็นได้ว่าปากใหญ่ที่ปรากฏขึ้นใน เงามืดนั้นเหมือนกับจะงอยปากนก…จนกระทั่งเพลิงเทียนหายไป มีเสียงเรอดังแว่วมา ก่อนปรากฏกระเรียนตัวหนึ่งตรงหน้าซูหมิง

มันไม่มีขนแม้แต่น้อย ซ้ำยังมีสีหน้าถ่อยทราม หลังออกมาจากความมืดอย่างระมัดระวังแล้วก็มองซูหมิงอย่างเหยียดหยามก่อน

“ท่านกระเรียนตกใจแทบแย่ ที่แท้ก็เป็นตาแก่นี่เอง กำลังรบมีแค่ขนเส้นหนึ่งของท่านกระเรียนเท่านั้น มังกรใหญ่ออกมาเถอะ” กระเรียนขนร่วงเดินมาอยู่ตรงหน้า ซูหมิงอย่างลำพองใจ จ้องซูหมิงอย่างชั่วร้ายด้วยสีหน้าข่มขู่

ขณะเดียวกันมีสุนัขใหญ่ตัวหนึ่งวิ่งหกล้มตามมาข้างหลังกระเรียนขนร่วง จนมาอยู่ข้างกระเรียนขนร่วงแล้วก็จ้องซูหมิงอย่างเหี้ยมโหด ซ้ำยังส่งเสียงฮือๆ ข่มขู่

สุนัขใหญ่เห่าแสดงอำนาจคุกคาม กระเรียนขนร่วงข้างๆ กลอกตา มันยกกงเล็บขึ้นตบเข้าที่หัวสุนัขใหญ่โดยจิตใต้สำนึก

สุนัขใหญ่ร้อง มันรีบนอนหมอบลงกับพื้นทันที ยกสองเท้าขึ้นมากุมหัวเอาไว้ มองกระเรียนขนร่วงด้วยความคับอกคับใจ เหมือนไม่เข้าใจว่าเหตุใดครั้งนี้ กระเรียนขนร่วงถึงต้องทุบตีตน

“ก่อนหน้านี้เจ้าทำอะไร!” กระเรียนขนร่วงถลึงตามองสุนัขใหญ่

“ขะ…ข้ากำลังขู่ตาแก่คนนี้…” สุนัขใหญ่ตอบกลับด้วยสีหน้าคับอกคับใจยิ่ง

“โง่เขลา!” ตอนที่กระเรียนขนร่วงยกกงเล็บขึ้นจะตบไปอีกครั้ง มันถลึงตามอง สุนัขใหญ่จึงจำใจคลายเท้าที่กุมหัวลง กระเรียนขนร่วงจึงตบไปที่หัวมันสำเร็จ

“การจะขู่ขวัญคนห้ามทำเสียงฮือๆ เจ้าดูข้า” กระเรียนขนร่วงมีสีหน้าเข้มงวดราวกับอาจารย์กำลังสอนศิษย์ มันขยับไหวตัวกลายเป็นสุนัขใหญ่สีดำแยกเขี้ยวใส่ ซูหมิง ตรงมุมปากยังจงใจรีดน้ำลายออกมาไม่น้อย ดวงตาไร้ความรู้สึก ทำให้นึกถึงสุนัขบ้าเป็นอย่างแรก…

“เห็นรึยัง มันต้องแบบนี้” สุนัขใหญ่สีดำร่างแปลงกระเรียนขนร่วงมองสุนัขใหญ่ร่างแปลงมังกรยมโลกอย่างลำพองใจ ก่อนกลับคืนร่างกระเรียนขนร่วงภายใต้สายตาชื่นชมของอีกฝ่าย

“เฮ้ ตาแก่ เจ้ามีตำลึงจีนหรือไม่? มีหินแวววาวหรือไม่ จะบอกเจ้าให้ วันนี้ ท่านกระเรียนยังไม่เริ่มกิจการ หากเจ้ากล้าหลอกท่านกระเรียนล่ะก็ หึหึ” กระเรียนขนร่วงมองซูหมิงราวกับกิ้งก่าได้ทอง พูดจบก็กระแอมไอ สุนัขใหญ่ มังกรยมโลกข้างๆ จ้องซูหมิงตาเขม็ง แยกเขี้ยว น้ำลายไหล ดวงตาไร้ความรู้สึกเหมือนจะกระโจนเข้าไปหากระเรียนขนร่วงสั่ง

“ไม่มี” ซูหมิงมองกระเรียนขนร่วงกับมังกรยมโลกด้วยรอยยิ้ม

“โอ้ เจ้ายังยิ้มได้อีกรึ?” กระเรียนขนร่วงมีสีหน้าโกรธในทันใด มันยกกงเล็บขึ้นชี้ซูหมิงด้วยท่าทีว่าข้านั้นเก่งกาจนัก ต่อให้เจ้าเป็นตาแก่ข้าก็จะรังแก

“หึหึ ช่างเถอะๆ เดาว่าตาแก่คนนี้คงไม่มีของดีอะไร ถือเสียว่าวันนี้ท่านกระเรียน ดวงซวย…หืม?” กระเรียนขนร่วงกำลังพูดพลันเห็นเรือตรงริมฝั่งแม่น้ำลืมเดินทางของซูหมิง

“เรือลำนั้นไม่เลว เอาแบบนี้แล้วกันตาแก่ เจ้าก็เห็นแล้วว่าพวกข้าคือปีศาจ ปีศาจน่ะเจ้ารู้จักหรือไม่ เป็นพวกกินคน แต่ดูจากอายุเจ้าแล้ว ข้าไม่อยากสร้างความลำบากให้เจ้า พวกข้าต้องการเรือลำนี้ เจ้าพายเรือให้พวกข้าไปถึงอีกฝั่ง จากนั้นเจ้าก็ว่ายน้ำกลับมา” กระเรียนขนร่วงพูดพร้อมขยับวูบไหวขึ้นเรือไป มองซ้ายมองขวาด้วยท่าทีฝืนใจยอมรับ

“คงจะขายได้ตำลึงอยู่บ้าง” ขณะมันพึมพำ สุนัขใหญ่มังกรยมโลกพุ่งเข้ามา จากนั้นหันหลังไปจ้องซูหมิง แยกเขี้ยว น้ำลายไหล

ซูหมิงยิ้มกว้างกว่าเดิม เขาไม่ถือสาท่าทีของกระเรียนขนร่วงกับมังกรยมโลก แต่ยืนขึ้นเดินไปที่ท้ายเรือช้าๆ หยิบพายขึ้นพาเรือไปอีกฝั่งของแม่น้ำลืมเดินทาง

“เห็นรึยัง ติดตามท่านกระเรียนทำให้เจ้ามีกินมีดื่มนับจากนี้ไป ดีกว่าที่เจ้ากิน ไก่ในป่าหรือไม่? เห็นรึยัง พวกเราเปิดกิจการกันแล้ว หึหึ” กระเรียนขนร่วงอยู่ตรง หัวเรือ กำลังสั่งสอนสุนัขใหญ่มังกรยมโลกด้วยสีหน้าลำพองใจ

สุนัขใหญ่มังกรยมโลกมองกระเรียนขนร่วงด้วยสีหน้าเลื่อมใส มันพยักหน้าต่อเนื่องกัน บ้างยังหันหลังไปแยกเขี้ยวต่อ น้ำลายไหล ใช้ท่าทางนี้บอกกับซูหมิงว่า มันดุร้ายมาก…

“รอพวกเราไปถึงฝากนั้นก่อน ท่านกระเรียนจะพาเจ้าไปกินของดีดื่มของเผ็ดร้อน ให้นามสองมารดำเหลืองของเราผงาดขึ้นที่นั่น” กระเรียนขนร่วงมีท่าทีได้ใจ มันยก กงเล็บขึ้นเหมือนชี้ภูเขาและแม่น้ำ ทำให้สุนัขมังกรยมโลกข้างกายเลื่อมใสยิ่งกว่าเดิม แต่หลังลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วก็อดใจไม่ไหวพูดขึ้น

“พี่ใหญ่…ขะ…ข้าไม่ชอบดื่มของเผ็ดร้อน…”

กระเรียนขนร่วงเงียบ จิตใจเร่าร้อนของมันในยามนี้เหมือนถูกรบกวนจึงโกรธขึ้นมา มันหมุนตัวกลับช้าๆ มาจ้องสุนัขใหญ่มังกรยมโลกที่ไม่มีความผิดใดๆ ก่อนยกกงเล็บขึ้นตะโกนใส่พลางตบหัวสุนัขใหญ่ไม่หยุด

“ข้าจะไม่ให้เจ้ากินของเผ็ดร้อน!”

“ข้าจะให้เจ้ากล้าไม่ฟังคำสั่งข้า!”

“ข้าจะให้เจ้า…”

ซูหมิงยิ้มตลอดทาง การสนทนาระหว่างกระเรียนขนร่วงกับมังกรยมโลกดังก้องบนแม่น้ำลืมเดินทาง จนกระทั่งถึงอีกฝาก กระเรียนขนร่วงหอบหายใจแรงเล็กน้อยพลางยกกงเล็บขึ้น ถลึงตามองสุนัขใหญ่มังกรยมโลกอย่างเหี้ยมโหด

“ยังไม่ลงไปดูว่าโดยรอบมีอันตรายหรือไม่อีก รู้ทั้งรู้ว่าพวกเราเป็นปีศาจ ปีศาจน่ะรู้จักหรือไม่ เป็นปีศาจ พวกเราต้องระวังตัวตลอดเวลา พวกเรามีความตื่นตัวที่สูงมาก โดยเฉพาะเวลาไปที่แปลกตา ยิ่งต้องตรวจดูทุกอย่างรอบๆ ก่อนเป็นอันดับแรก

มีแต่แบบนี้เท่านั้นถึงจะสอดคล้องกับฐานะปีศาจอย่างพวกเรา และยามที่เจอกับชาวไร่ชาวนาสมควรตายที่จะกินพวกเราเหล่านั้นแล้วจะได้หนีทันเวลา” กระเรียนขนร่วงมีท่าทีพูดจากใจจริง สุนัขใหญ่มังกรยมโลกจึงพยักหน้าทันที ก่อนพุ่งออกไป พอไปถึงริมฝั่งแล้วก็มองซ้ายมองขวาด้วยสีหน้าตื่นตัว มันวิ่งวนอยู่หลายรอบถึงกลับมาริมฝั่ง รายงานกับกระเรียนขนร่วงบนเรือด้วยท่าทีมีความสุขมาก

“พี่ใหญ่ ไม่มีชาวไร่ชาวนา ไม่มีศัตรู แต่ก็ไม่มีต้าฮวาเช่นกัน…” สุนัขใหญ่มังกรยมโลกพูดจบก็ถอนหายใจ

“ความจริงต้าฮวางดงามมาก ขนมันไม่เลวจริงๆ ข้าชอบมันมากจริงๆ…”

“สมควรตาย เจ้าเป็นมังกร เจ้าเป็นมังกร! จะ เจ้า…ข้าคิดว่าเสี่ยวฮวาดูยั่วยวนกว่าต้าฮวาเสียอีก” กระเรียนขนร่วงพูดแล้วก็กระแอมไอหลายที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!