ตอนที่ 1371 ภัยพิบัติสามรกร้าง 3
ดวงตาตี้เทียนเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ซ้ำยังเหมือนมีน้ำตาโลหิตไหล อาภรณ์ทั่วร่างโบกสะบัดแม้ไร้ลม แม้แต่เส้นผมใต้มงกุฎจักรพรรดิยังลอยขึ้น ทั้งตัวดูจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาแทบจะใช้พลังทั้งหมดเพื่อรักษารูปแบบชะตาที่ลอยอยู่ข้างบนไว้…ไม่ให้แตก!
รูปแบบชะตานั้นส่องแสงสว่างพร่างพราว สีดำแฝงไว้ด้วยเงามืดที่ยามค่ำคืนไม่อาจย้อมสี ทำให้โลกแห่งนี้แทบจะกลายเป็นสีดำ เหมือนกลายเป็นทะเลสีดำที่จมโลก
ตี้เทียนเป็นศัตรูดั่งชะตาชีวิตเมื่อครึ่งชาติก่อนของซูหมิง แต่ตอนนี้กลับยืนหยัดปกป้องรูปแบบชะตาของซูหมิง เรื่องนี้ดูแล้วเป็นการเสียดสี ทว่าสมาธิตั้งมั่นรวมถึงความตั้งใจของตี้เทียนทำให้การเสียดสีนี้ดูไม่น่าหัวร่ออีก แต่กลับมีความเศร้ารันทดเล็กน้อย
ตัวเขาเองไม่มีกำลังพอจะข้ามผ่านการทำลายล้าง อีกทั้งสหายญาติพี่น้องยังยอมตายเพื่อสนับสนุนตัวเอง เขาจะล้มเหลวไม่ได้ เขาไม่อยากล้มเหลว และไม่ยอมล้มเหลว
ในโลกนี้ไม่มีถูกหรือผิดอย่างสุดโต่ง ซูหมิงก็ดี ตี้เทียนก็ดี ซูเซวียนอีก็ดี ต่อให้เป็นผู้เฒ่าเมี่ยเซิงก็เช่นกัน บางทีวิธีการบางอย่างของพวกเขาอาจจะทำลายผลประโยชน์ของคนอื่น ทำร้ายคนอื่น แต่หากยืนในมุมมองตัวเอง พวกเขาจะคิดว่านั่นถูกต้อง พวกเขาต่างมีความยึดมั่นของตัวเอง!
อย่างเช่นดวงจิตสามรกร้าง ไม่มีใครพูดได้ว่าเขาเหี้ยมโหด ว่าเขาผิด นอกจาก ซางเซียง! แต่สำหรับดวงจิตสามรกร้างแล้ว เขาอยากมีชีวิตรอดต่อไป เขาอยาก แกร่งขึ้น เขาไม่ยอมเป็นสิ่งมีชีวิตที่กำเนิดในโลกปีกซางเซียง เขาต้องไปจักรวาล กว้างใหญ่ นี่คือเส้นทางของเขา เขาไม่ผิด!
และก็เหมือนกับซางเซียง มันไร้การช่วงชิงต่อโลก แต่สุดท้ายจะมีจุดจบเช่นนี้ มันคิดว่าทุกอย่างในใต้หล้าผิด มีเพียงตัวเองที่ถูก แต่ว่า…เดิมทีมันเป็นของผู้สร้างสิ่งมีชีวิตอยู่แล้ว แต่ก็เป็นผู้ทำลายเช่นกัน มันอยากให้ตัวเองสมบูรณ์จะได้ไม่ตาย จะได้กลับบ้าน ทว่าสำหรับคนอื่น การกลับบ้านของมันมีราคาต้องจ่ายคือตัวมันเองรวมถึงคนข้างกายทั้งหมดถูกทำลาย เรื่องนี้…จะไปมีใครยอมได้อย่างไร
ตี้เทียนก็เช่นกัน!
ฝึกฝนมาจนถึงระดับที่มั่นคงแล้ว สติปัญญาถึงจุดสูงสุดแล้ว ผู้คนอ่านตัวเองออก และก็อ่านคนอื่นออกเช่นกัน เข้าใจทุกอย่าง ความจริงโชควาสนาทุกอย่าง ฝีเท้า ทุกอย่างล้วนวนเวียนรอบเต๋า
เต๋าของแต่ละคนมีเส้นทางที่ต่างกัน!
หากบอกว่าตอนนี้เป็นช่วงภัยพิบัติซางเซียงมาเยือนและเกิดการทำลายล้าง สู้บอกว่านี่คือการพิสูจน์เต๋าของโอรสสวรรค์หลายคนที่อยู่ในโลกซางเซียงตอนนี้จะดีกว่า ว่าใคร…จะเป็นผู้สำเร็จอย่างแท้จริง เต๋าของใคร…เป็นมหาเต๋า!
ซูหมิงเข้าใจในจุดนี้นานแล้ว ดังนั้นเห็นๆ อยู่ว่าเขาหาตี้เทียนพบ แต่กลับไม่ได้ไปหา เพราะเขาอ่านตี้เทียนออก เหมือนกับที่ตี้เทียนอ่านซูหมิงออก
ซูหมิงรู้ว่าเรื่องที่ตี้เทียนทำกับตนเมื่อครึ่งชีวิตก่อนไม่ใช่เรื่องที่ทำตามอำเภอใจ แต่แฝงไว้ด้วยแผนการบางอย่าง แผนการนี้คืออะไร ซูหมิงเดารายละเอียดไม่ออก แต่จากเงื่อนงำมากมายจึงคาดเดาได้เล็กน้อย…
นั่นคือการลอกแบบ!
หากจะลอกแบบก็ต้องสังเกต กระทั่งสังเกตแบบธรรมดาไม่ได้ ต้องมีความรู้สึกร่วมอย่างเด่นชัดถึงจะลอกแบบได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถึงจะซ้อนทับกับภาพจริงได้ ไม่เกิดการแยกออก!
ดังนั้น ตอนที่ซูหมิงต่อต้านกับดวงจิตสามรกร้างเขาก็ได้เข้าใจนานแล้วว่าตี้เทียนไม่ใช่ศัตรูที่ต้องรีบจัดการที่สุด ในทางตรงข้ามอีกฝ่ายกลับไม่อยากให้ตนล้มเหลวมากกว่า เพราะหากตนล้มเหลว เช่นนั้นก็เท่ากับว่าการลอกแบบของตี้เทียนไม่มีผลอะไรเลย!
ส่วนซูเซวียนอี…แม้อีกฝ่ายจะเป็นคนเจ้าแผนการ แม้จะมืดทะมึนอย่างยิ่ง ความคิดดั่งทะเล แต่หลังจากซูหมิงตัดขาดกับอีกฝ่ายในตอนนั้น เขาก็ได้เข้าใจแล้วว่าต่อให้อีกฝ่ายมืดทะมึนกว่านี้อีก แผนการสุดท้ายก็ไม่ใช่ตน
สำหรับอีกฝ่ายแล้ว ซูหมิงเป็นเพียงเป้าหมายที่ใช้ประโยชน์ในช่วงแรกเท่านั้น ไม่ได้อยู่ชั่วนิรันดร์ แต่การผงาดขึ้นของซูหมิงเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายจนทำให้เขาเปลี่ยนแผนการไม่ได้
เป้าหมายของซูเซวียนอี…คือ ผู้เฒ่าเมี่ยเซิง!
ดังนั้นตอนที่ซูหมิงออกจากโลกปีกที่สี่เขาถึงเคยพึมพำ ตอนที่เขาเจอกับผู้เฒ่าเมี่ยเซิงอีกครั้ง อีกฝ่าย…ยังเป็นเมี่ยเซิงอยู่หรือไม่…เพราะความเข้าใจนี้เอง ตอนที่ซูหมิงสังหารผู้แข็งแกร่งยุคก่อน เขาถึงไม่เข้าไปในโลกแท้จริงที่สี่ เพราะเขารู้ว่าซูเซวียนอี อยู่ที่นั่น
ศัตรูของซูเซวียนอีคือ เมี่ยเซิง ในเมื่อเป็นเช่นนั้นซูหมิงก็จะไม่ไปรบกวน เรื่องราวต่างๆ ดูเหมือนซับซ้อน แต่ความจริงซูหมิงเรียงมันในความคิดนานแล้ว
ศัตรูของเขาคือ ดวงจิตสามรกร้าง ผู้เฒ่าเมี่ยเซิง และยังมี…ซางเซียงที่เขาเพิ่งพบก่อนหน้านี้!
เหมือนอย่างที่สามรกร้างเคยบอกว่าเขาเป็นผู้ฝึกฌาน ซูหมิงก็เป็นผู้ฝึกฌาน แต่ซางเซียง…เป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่ง ตอนที่สามรกร้างสงสัยว่าเหตุใดซูหมิงถึงไม่ช่วยตน เขาก็สงสัยด้วยว่าเหตุใดซูหมิงถึงช่วยซางเซียง
หากบอกว่าซูหมิงในตอนนั้นจะช่วยซางเซียงจริงๆ เช่นนั้นหลังผ่านทุกอย่างมาแล้ว หลังเห็นชายหนุ่มชุดคลุมดำกับผู้เฒ่าเมี่ยเซิงแล้ว เขาก็ไม่ได้จะช่วยฝั่งใด ฝั่งหนึ่งแล้ว แต่เขา…เป็นอีกหนึ่งฝ่าย!
นี่ก็คือสถานการณ์ยามภัยพิบัติตอนนี้ เป็นภาพที่ดูเหมือนซับซ้อนมาก แต่ความจริงกลับชัดเจนยิ่ง!
แทบเป็นช่วงที่พายุของซูหมิงกับสามรกร้างรวมเข้าด้วยกัน ซางเซียงเข้ามาทีหลัง ตี้เทียนรักษารูปแบบชะตาไม่ให้แตก ขณะเดียวกันผู้เฒ่าเมี่ยเซิงบนเรือโบราณที่ซ่อนตัวอยู่ข้างช่องโหว่ในโลกปีกที่สี่พลันลืมตาขึ้น
พริบตาที่เขาลืมตา กลิ่นอายพลังการตื่นอบอวลในตัวเขา
“ในที่สุด…ก็ถึงเวลาแล้ว!” ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงพึมพำ ในดวงตาเผยประกายวาว ยกมือขวาขึ้นพร้อมกับเพ่งมองลายมือ
ตอนนี้ในมหาโลกสามรกร้าง ในวิหารลอยกลางโลกแท้จริงที่สี่ ซูเซวียนอีตัวสั่น เงยหน้าขึ้นยิ้มมุมปากอย่างมีความหมายลึกซึ้ง นัยน์ตาฉายแววเฝ้ารอคอยเด่นชัดที่สุดในชีวิตหลังรอมาไม่รู้กี่ปี
“บุตรของข้า…เหลยเฉิน ชีวิตนี้สองมือพ่ออาบไปด้วยเลือด สังหารคนมานับไม่ถ้วน บางทีอาจมีคนมากมายดูถูกข้า…แต่ว่า ทุกอย่างที่พ่อทำก็เพื่อให้เผ่ายมโลกเรา ผงาดขึ้น เพื่อ…เจ้า!
เจ้าคือความหวังของเผ่ายมโลก เจ้าคือเผ่ายมโลกที่จะผงาดขึ้นใหม่อีกครั้งในจักรวาล เป็นจ้าวเผ่าในอนาคต!” ซูเซวียนอียืนขึ้นช้าๆ ก้มหน้าลงมองกลองป๋องแป๋งในมือ
ซูหมิงเคยมีกลองนี้มาก่อน แต่ซูหมิงตอนอยู่ภูเขาทมิฬไม่รู้ว่าเหลยเฉินก็มีเหมือนกัน…เพียงแต่ว่าของที่ซูหมิงมีท่านปู่เป็นคนทำให้ แต่เหลยเฉิน…เป็นของซูเซวียนอี
“เหลยเฉินบุตรข้า พ่อสร้างโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนให้เจ้าแล้ว เป็นโอกาสที่จะให้เจ้ายึดร่างผู้เฒ่าเมี่ยเซิง!
นี่คือแผนการใหญ่ที่สุดที่ข้าซูเซวียนอีวางแผนมาทั้งชีวิต!” ซูเซวียนอีสะบัดแขนเสื้อด้วยสีหน้าคลุ้มคลั่ง เขารอวันนี้มานานมากแล้ว เขาเห็นบิดาของตนหรือ บรรพบุรุษเผ่ายมโลกซื่อสัตย์ต่อเมี่ยเซิงกับตา ซ้ำยังเห็นทั้งโลกแท้จริงที่ห้าถูกทำลายกับตา ซึ่งความจริงแล้วคนที่ลงมือก็คือ…บิดาของเขาเอง
เขาเห็นทุกอย่าง และก็เห็นด้วยว่าข้างหลังบิดาตนมีเมี่ยเซิงเป็นคนควบคุมอยู่ กระทั่งเขายังรู้ความลับที่ชาวเผ่าคนอื่นอีกไม่น้อยไม่รู้ อย่างเช่นเผ่ายมโลก แท้จริงแล้วเป็นเผ่าที่ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงที่ชี้นำให้ปรากฏขึ้น
อย่างเช่นคุณค่าเพียงหนึ่งเดียวที่เผ่านี้ยังมีอยู่คือให้ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงศึกษา เหมือนจะหาบางอย่างจากเผ่านี้ จนกระทั่งซูเซวียนอีเห็นการตายของเผ่าพันธุ์ เห็นญาติพี่น้องกลายเป็นเถ้าธุลี เห็นบ้านเกิดของตนหรือโลกแท้จริงที่ห้าที่ตอนนี้อยู่แต่ในความ ทรงจำกลายเป็นซากปรักหักพัง…
เขาแค้นบรรพบุรุษเผ่ายมโลก แค้นสายเลือดตัวเอง แค้นทุกสิ่งมีชีวิตในจักรวาล จากนั้นมานิสัยเขาก็เปลี่ยนไป ส่วนลึกในใจเกิดความคิดบ้าคลั่งแต่กลับทำให้เขา ยึดมั่นขึ้น
“ยึดร่างผู้เฒ่าเมี่ยเซิงด้วยพรสวรรค์เผ่ายมโลก! หากข้าทำไม่ได้ เช่นนั้นก็ให้บุตรข้าทำ” ซูเซวียนอีเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง นี่คือแผนการของเขา มีแต่แบบนี้เท่านั้นถึงจะถือว่าแก้แค้นให้ชาวเผ่า แก้แค้นให้กับโลกแท้จริงที่ห้าและเผ่ายมโลกได้!
เขาสละชีพภรรยาเพื่อแก้แค้นได้ สละชีพสหายสนิทเพื่อแก้แค้นได้ และเขายอมเสียจิตใจมนุษย์เพื่อแก้แค้น ทุกอย่างนี้…ตอนนี้มาถึงช่วงเวลาใกล้จะจบลงแล้ว ซูเซวียนอีมองเหลยเฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้า
แววตาเขาเผยความชื่นชมและเมตตาของบิดาทีละน้อย ผ่านไปพักใหญ่… ข้างหลังซูเซวียนอีปรากฏน้ำวนขึ้น ก่อนหมุนตัวกลับเดินเข้าไปในน้ำวนนั้นอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย พริบตาที่เขาเข้าไปในน้ำวน ในใจเขาดังก้องไปด้วยเสียงแก่ชราจาก ผู้เฒ่าเมี่ยเซิง
“บุตรแห่งยมโลก…จงกลายเป็นฝ่ามือของข้าตามคำสัญญาระหว่างเผ่าเจ้ากับข้า จงเป็นระฆังมรณะปั่นป่วนกาลเวลา…ก่อเป็น…กลิ่นอายความแค้นผนึกดวงจิต!
มีเพียงความแค้นของชีวิตหนึ่งโลกเท่านั้นถึงจะกลบจุดสูงสุดของชีวิตโลกนี้ มีเพียงความแค้นที่มีต้นกำเนิดเดียวกันของหนึ่งโลกเท่านั้น ถึงจะผนึกสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดที่มีต้นกำเนิดเดียวกันของโลกนี้ได้!”
เมื่อเสียงผู้เฒ่าเมี่ยเซิงดังก้อง ร่างเงาซูเซวียนอีบิดเบี้ยวอย่างรวดเร็วกลางน้ำวน พริบตาเดียวก็กลายเป็นฝ่ามือหนึ่ง ฝ่ามือนี้เป็นสีขาวราวกับบริสุทธิ์ ก่อนโบกมือลงแล้วขยับแสงออกมาจากในน้ำวนทันที ทว่าไม่อยู่โลกแท้จริงที่สี่แล้ว แต่อยู่… ฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน!
“เจ้าคือฝ่ามือของข้า เป็นเส้นลายมือที่ข้าปรารถนา!” โลกปีกที่สี่ ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงบนเรือโบราณลืมตาขึ้น ตราประทับฝ่ามือที่ซูหมิงเคยประทับเอาไว้บนไม้เรือตรงหน้าเขาหายไป แต่เมื่อรอยมือหายไป ฝ่ามือจากซูเซวียนอีค่อยๆ เกิดเส้นลายมือที่เหมือนกันขึ้น!
“เริ่ม…การเซ่นไหว้!” ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงยืนขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงหลายปีมานี้ เส้นผมยาวโบกสะบัดแม้ไร้ลม เขาสะบัดแขนเสื้อเปล่งเสียงคำรามต่ำ เมื่อเสียงดังกึกก้อง นอกโลกซางเซียง ในจักรวาลกว้างใหญ่…ปรากฏเข็มทิศยักษ์นั้นขึ้น!
ชายหนุ่มชุดคลุมดำที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเข็มทิศ เขายังคงบีบไข่มุกเม็ดที่เจ็ดอยู่ตลอด ดวงตาเย็นชา เพ่งมองผีเสื้อซางเซียงที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายมรณะตรงหน้า!
เขามาแล้ว!