Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1382

ตอนที่ 1382 เหนือน้ำยังมีน้ำใส เหนือฟ้ายังมีฟ้า

“จิตเต๋าเก้าชั้น สามชั้นแรกเรียกว่าขอบเขตวิญญาณเต๋า หกชั้นเรียกว่าขอบเขต เซียนเต๋า แปดชั้นเรียกว่าจุดสูงสุด ขนานนามว่ามหาเต๋า…ส่วนเก้าชั้นถึงเรียกว่า เทพเต๋า

โลกนี้มีเทพเต๋าเพียงสามคน คงอยู่แต่โบราณมาจนนิรันดร์กาล สามคนนี้ไม่สิ้นสูญ และไม่เคยปรากฏคนที่สี่มาก่อน แน่นอนว่า…ยังไม่เคยปรากฏขั้นพลังเต๋าไร้ที่สิ้นสุดอย่างแท้จริง!” ชายชรามองซูหมิง น้ำเสียงดังก้องในสายลมหิมะ

“ไม่เคยมีมาก่อนเลยรึ?” ซูหมิงพลันถามขึ้น

“มี!” ชายชรายิ้ม รอยยิ้มนั้นแฝงไว้ด้วยความแก่ชรา เหมือนชีวิจจะเดินมาถึงปลายทางแล้ว ทว่าลมหายใจต่อมามองไปกลับเหมือนว่าชีวิตเพิ่งเริ่ม เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อ แต่มองซูหมิงด้วยแววตาชื่นชมมากขึ้นทีละน้อย

“เจ้าเดินทางด้วยตัวเองได้แล้ว เจ้าต้องเปลี่ยนหน้าตา ไม่มีนามว่าเสวียนอีก แต่เปลี่ยนเป็นอีกนาม เข้าร่วมสำนักหนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าคือองค์ชาย มีเพียงหกพันปีจากนี้…

เมืองแคว้นกู่จั้ง เจ้า…จำเอาไว้ว่าต้องกลับมา ส่วนข้า…จะรอเจ้าที่นอกประตูเมืองตอนนั้น ทันทีที่เจ้าเข้าประตูเมือง ข้าจะ…สอนบทเรียนสุดท้ายแก่เจ้า” ชายชรายิ้ม เขายืนขึ้นจากท่านั่งสมาธิ มองซูหมิงลึกๆ แวบหนึ่งแล้วยิ้มหมุนตัวเดินไปทาง สายลมหิมะ

“อาจารย์…ชาตินี้ ท่านมีนามว่าอะไร?” ซูหมิงมองชายชราเดินไกลออกไป จนกระทั่งเงาเขาเลือนรางแล้วถึงตอบกลับเสียงเบา

“เจ้ามีคำตอบในใจแล้ว” เสียงแก่ชราดังแว่วมากลางสายลมหิมะอยู่นานไม่เลือนหาย

คำตอบนี้ลอยขึ้นมาในความคิดในแวบแรกที่เห็นชายชราตอนที่ซูหมิงตื่นขึ้นเมื่อสิบปีก่อนแล้ว

เทียนเสียจื่อ!

ไม่ว่าชาตินี้ ในโลกนี้เขาจะเป็นใคร แต่ในใจซูหมิงเขาคือเทียนเสียจื่อ คนที่ถูก เมี่ยเซิงรบกวนเลยทำให้จิตใจเปลี่ยนครั้งที่เก้าของเขาถูกป่วน ด้วยเหตุนี้จึงพัวพันไปถึงการทำลายล้างซางเซียง!

ในโลกปีกที่สี่ ซูหมิงเห็นเลี่ยซานซิวเลือกถูกทำลายไปพร้อมกับหัวเราะเสียงแหลม แต่เขาไม่พบเทียนเสียจื่อ และไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายพลังของเทียนเสียจื่อแม้แต่น้อย ตอนนี้…ซูหมิงเข้าใจแล้ว แต่พอคิดอย่างถี่ถ้วน ก็เหมือนจะยังไม่เข้าใจ

เข้าใจกับไม่เข้าใจไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเส้นทางอยู่ใต้เท้า เดินต่อไปจนถึงวันนั้น ที่เข้าใจ เดินไปในแต่ละก้าวระหว่างนั้น ตอนที่วันหนึ่งหันกลับไปมองจะเห็น ความงดงามของการแสวงหาความจริง

ซูหมิงยิ้มมองแสงไฟ เห็นรางๆ ว่ากลางไฟมีภาพต่างๆ ในมหาโลกซางเซียงในอดีต มีใบหน้าแต่ละคน และยังมีเรื่องในอดีตภายในความทรงจำราวกับสายลม

“โลกนี้เป็นของจริงก็ดี เป็นมายาก็ดี อาจารย์ได้ให้คำตอบกับข้าเมื่อสิบปีก่อนแล้ว…” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา ในรอยยิ้มมีความเข้าใจ

“และข้าก็ให้คำตอบเขาแล้วเช่นกัน” ซูหมิงหลับตาลงอยู่ข้างกองไฟในสายลมหิมะ ร่องรอยในอากาศเป็นดั่งฝุ่นละออง เชื่อมฟ้าดิน

แม้แต่ใจซูหมิงยังกลายเป็นการแสวงหาที่ซ่อนความยึดมั่นเอาไว้ใต้ดวงตาสองข้างท่ามกลางความเงียบสงัด

“การยึดร่างครั้งนี้ เสวียนจั้ง…ข้าจะอยู่กับเจ้า! มองประกายในดวงตาตอนที่ ลืมตาขึ้นในตอนสุดท้าย ว่าเป็นความตายที่ผ่านโลกมาเนิ่นนานของเจ้า…หรือความ บ้าคลั่งยึดมั่นของข้าซูหมิง!” ทันทีที่ซูหมิงลืมตาขึ้น สายลมหิมะโดยรอบหยุดนิ่ง สายลมหยุด หิมะไม่ตก

หน้าตาซูหมิงไม่ได้หล่อเหลาดังสิบปีมานี้อีก เส้นผมเขาเริ่มยาวจนค่อยๆ คลุมบ่า ยาวมาถึงเอว สีก็ไม่ใช่สีดำอีก แต่ย้อมด้วยโลหิตในใจเขา กลายเป็น…สีม่วงที่หลอมรวมกับสีแดงฉาน!

เส้นผมม่วง ชุดคลุมขาว หน้าตาก็ไม่ได้ขมขื่นอีก แต่ดูผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ร่างกายไม่ผอมอีก แต่สูงยาว

ตอนนี้ ซูหมิง…กลับมาเป็นรูปลักษณ์ตอนอยู่ในมหาโลกซางเซียง เขา…กลับมาแล้ว!

พริบตาที่เขาลืมตาขึ้น ตรงระหว่างคิ้วค่อยๆ เปิดเป็นดวงตาที่สาม ทันใดนั้นเองการลืมตาของดวงตาที่สามทำให้โลกนี้เกิดเสียงดังสนั่น เพราะจิตเต๋าในดวงตาที่สามของเขาก็ลืมตาขึ้นเช่นกัน!

“ดวงจิตของข้า…พวกเจ้า…ยังอยู่หรือไม่!” ซูหมิงพึมพำพร้อมยกมือขวาขึ้น ทันทีที่เพ่งมองไปก็เหมือนย้อนไปเป็นร้อยเป็นพันปี จนกระทั่งเส้นลายมือขวากลายเป็นเปลวเพลิงสีม่วง การเผาของเปลวเพลิงนั้นทำให้หิมะรอบๆ เป็นหมอก ทำให้หมอกวนเวียนไปรอบๆ จนขมุกขมัว

ซูหมิงเห็นโลกดาราสัจธรรมในความทรงจำกลางเปลวเพลิงตรงฝ่ามือ เห็นโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก เห็นโลกพรรคเซียน และก็เห็นโลกดาราโบราณ!

ตอนนี้สี่โลกแท้จริงกำเนิดขึ้นกลางเปลวเพลิงในมือขวาเขา บางทีพวกมันอาจเคยถูกทำลายไปแล้ว แต่ตอนนี้กำเนิดอีกครั้งบนมือขวาซูหมิง!

เพียงแต่ว่า…ในดวงตาซูหมิงค่อยๆ เกิดแสงหม่นพิลึก ในแสงหม่นนั้นมีความยึดมั่น เขารู้สึกถึงดวงจิตสี่โลกแท้จริงกลางฝ่ามือ ทว่า…ดวงจิตนี้อยู่ได้แค่กลางเพลิง ไม่อาจออกมาจากในเปลวเพลิง และก็หลอมรวมเข้าไปในจิตวิญญาณเขาเหมือนตอนอยู่โลกซางเซียงไม่ได้

ถึงอย่างไร…ซางเซียงก็ตายไปแล้ว!

‘แต่เพราะเหตุใด…ข้ายังรู้สึกว่าพวกเจ้าไม่ยอม รู้สึกถึงการเรียกหาของพวกเจ้า รู้สึกถึง…ร่องรอยของพวกเจ้าในโลกนี้’ ดวงตาซูหมิงขยับประกายแสงเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ เขายืนขึ้นช้าๆ แล้วยกมือขวาขึ้นกดเปลวเพลิงลงบนดวงตาที่สามตรง ระหว่างคิ้ว

ตอนนี้เองซูหมิงตัวสั่นไปทั่วร่าง ในดวงตาที่สามปรากฏภาพเลือนรางขึ้น ภาพเหล่านั้นขยับวูบวาบอย่างรวดเร็วจนกระทั่งซูหมิงเห็นทุกอย่างชัดเจน

นั่นคือผีเสื้อตัวหนึ่งกำลังคำรามต่อสู้ดิ้นรนเหมือนไม่ยินยอม มันไม่มีร่างกาย ซูหมิงเห็นวิญญาณมัน นั่นคือ…วิญญาณของซางเซียง!

ซูหมิงรู้สึกคุ้นเคยกับวิญญาณของซางเซียงตัวนี้ กระทั่งเขาเห็นปีกของวิญญาณซางเซียงว่ามีปีกหนึ่ง…มีช่องโหว่รอยแตก!

ซางเซียงตัวนี้…ก็คือบ้านเกิดที่ซูหมิงเคยอาศัย!

สิ่งที่ผนึกวิญญาณซางเซียงดวงนี้คือมวลอากาศ มวลอากาศนั้นดูเหมือนไม่มีสิ้นสุด แต่ความจริงทุกที่ที่มวลอากาศอยู่เป็นเพียง…ไข่มุกที่เปล่งแสงประหลาด หนึ่งเม็ด!

ในไข่มุกนั้นเป็นหมอกเมฆหมุนวน แฝงไว้ด้วยมวลอากาศ ผนึกซางเซียงภายใน แต่ไข่มุกนี้ลอยอยู่ในพระราชวังยักษ์แห่งหนึ่ง เปล่งแสงปกคลุมพระราชวังทั้งหมด

ส่วนพระราชวังนี้สร้างบนหมอกเมฆเหนือหมู่ภูเขา ด้านข้างยังมีพระราชวังอีกนับไม่ถ้วนโอบล้อม มองไปไม่เห็นสุดปลาย ระหว่างยอดเขาแต่ละลูกมีเหล็กเชื่อมเป็นสะพาน มองไกลๆ หมู่ภูเขาที่นี่เป็นวงแหวนอาคมใหญ่ยักษ์วงหนึ่ง

ทว่า วงแหวนอาคมรวมถึงหมู่ภูเขานี้ ในสายตาซูหมิงหดเล็กลงอย่างไร้ที่สิ้นสุดเป็นลายมือ เปลี่ยนเป็นฝ่ามือยักษ์ข้างหนึ่ง เมื่อฝ่ามือนั้นกำหมัดในพริบตาแล้ว ซูหมิงเห็นเจ้าของฝ่ามือนี้ว่าเป็นชายวัยกลางคนสวมอาภรณ์ยาวสีแดงคนหนึ่ง เขากำลังนั่งขัดสมาธิ ข้างล่างเขามีผู้ฝึกฌานมากกว่าหลายล้านคนคุกเข่าคารวะ เหมือนกำลังฟังเสียงหายใจขณะนั่งฌานของคนนี้ ราวกับว่าแค่ฟังเสียงหายใจก็ได้ตระหนักรู้ เต๋าแล้ว

ที่นี่เป็นลานกว้างยักษ์ นอกลานกว้างเป็นแดนแอ่งกระทะยักษ์ที่ถูกล้อมไว้ด้วยเทือกเขา ในแอ่งแห่งนี้…มีผู้ฝึกฌานอยู่นับไม่ถ้วน จนกระทั่งซูหมิงเห็นว่าแอ่งนี้ หดเล็กลง เห็นบนหน้าผาทางตะวันออกว่ามีศิลาหินยักษ์สูงเสียดเมฆอยู่อันหนึ่ง

บนศิลาหินนั้นสลักตัวอักษรใหญ่เอาไว้ว่า!

สำนักเจ็ดจันทรา ฟ้าเหนือฟ้า!

ทันทีที่ซูหมิงเห็นอักษรเหล่านี้ชัดเจน อักษรบิดเบี้ยวโดยพลัน กลายเป็นดวงตาที่เปิดอยู่คู่หนึ่งมองผ่านมวลอากาศมาเหมือนสบตากับซูหมิง ขณะเดียวกันชายชุดคลุมแดงที่หลับตาอยู่บนลานในสำนักนี้ลืมตาขึ้น

“หาญกล้านัก!” เขาแค่นเสียงขึ้นจมูกแล้วพูดขึ้นเรียบๆ

สิ้นเสียง พลังที่ต่อให้เป็นซูหมิงยังรู้สึกว่าแข็งแกร่งอย่างยิ่งพลันเคลื่อนผ่านแววตาข้ามมวลอากาศมาปะทะกับซูหมิงอย่างบ้าอำนาจ

ขณะเดียวกัน มีเงามายาซ้อนทับเดินออกมาจากร่างชายชุดคลุมแดง เงามายานี้ขยับวูบไหวกลายเป็นร่างแยกของเขาก่อนเดินเข้าไปในอากาศ ไปตามจิตสำนึกที่ ซูหมิงสำรวจที่นี่ เหมือนหาร่องรอยซูหมิงพบจึงพุ่งตรงเข้าไปหาซูหมิง

ท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนอย่างเงียบเชียบในมวลอากาศ ซูหมิงพลันปิดดวงตา ที่สามลง ตอนนี้เองเขาตัวสั่นไหวเบาๆ ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ตรงมุมปากมี โลหิตไหล เงยหน้าขึ้นจ้องฟ้า

ทันทีที่ซูหมิงปิดดวงตาที่สาม กลางมวลอากาศบนฟ้าที่ห่างจากซูหมิงไปไกลยิ่ง เงามายาชายชุดคลุมแดงเผยตัวออกมา เขาหาร่องรอยซูหมิงไม่พบ กวาดสายตามองพื้นดินก็ยังไม่พบร่างเงาซูหมิง

‘ถือว่ามีไหวพริบ…คนนี้มีพลังไม่ธรรมดา บรรลุถึงขอบเขตจิตเต๋าชั้นหนึ่งแล้ว’ ชายชุดคลุมแดงละสายตากลับ เขาตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ก่อนหมุนตัวเดินเข้าไปใน มวลอากาศ หายไปบนฟ้า

‘จิตเต๋าชั้นสาม ขอบเขตวิญญาณเต๋า!’ ซูหมิงมองฟ้าพลางรู้สึกถึงความแกร่งและแรงกดดันจากชายชุดคลุมแดงที่สังเกตเห็นตนเข้ามาใกล้ในสำนักเจ็ดจันทรา แรงกดดันนี้เหนือกว่าทุกสิ่งมีชีวิตนอกจากเสวียนจั้งที่เขาเคยพบ

‘นี่ก็เป็นโลกที่ใหญ่กว่าโลกซางเซียงที่ข้าอยู่ไม่รู้กี่เท่า กระทั่งแกร่งกว่า!’ นัยน์ตา ซูหมิงเผยประกายวาว เพราะซางเซียงบรรลุถึงขั้นไม่อาจกล่าวสมบูรณ์ ดังนั้น… ในด้านพลัง ในโลกมันจึงไม่มีใครเหนือกว่าขั้นพลังนี้ มีเพียงยุคสุดท้ายก่อนตายถึงจะเกิดสิ่งมีชีวิตที่ทำลายกฏข้อนี้ อย่างเช่นซูหมิงที่ตระหนักรู้จิตเต๋า

โลกนี้เหนือกว่าโลกซางเซียงมาก ดังนั้นที่นี่…ถึงมีผู้แข็งแกร่งที่ทำให้ซูหมิงหวาดกลัว และก็เพราะแบบนี้เองถึงทำให้ซูหมิงหาเส้นทางที่ให้ตนแกร่งขึ้นต่อไปพบ

ซูหมิงเงียบ ผ่านไปพักใหญ่ดวงตาขยับแวววาว

“ข้าจะต้องชิงดวงจิตของข้ากลับมา นี่คือที่ที่ต่างจากแดนที่ข้าฝึกฝนอย่างชัดเจน” ดวงตาซูหมิงวาววับ ขณะพึมพำยังขยับไหวเป็นสายรุ้งยาวบินไปยัง มวลอากาศไกลๆ

“สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือต้องลอบเข้าไปในสำนักเจ็ดจันทรา!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!