Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1390

ตอนที่ 1390 ใครปลุกข้า

คำพูดสตรีดังก้อง นางหมุนตัวเดินไกลออกไป ซูหมิงมองเงาแผ่นหลังนาง ดวงตาเป็นประกายประหลาดใจ ภาพก่อนหน้านี้ในความคิดขยับแสง เหมือนทำให้เขานึกอะไรบางอย่างออก

ขณะเงียบอยู่นี้ ซูหมิงไม่พูดตอบ แต่เดินตามเงาแผ่นหลังนางค่อยๆ เดินไกลออกไป

จนกระทั่งมาถึงวงแหวนอาคมแปดเหลี่ยมที่ล้อมไว้ด้วยหอทางฝั่งซ้ายของ สำนักเจ็ดจันทรา บนวงแหวนอาคมนั้นมีไข่มุกยักษ์ขนาดราวหนึ่งจั้งลอยอยู่

มองจากนอกวงแหวนอาคม ไข่มุกราบเรียบไม่มีความแปลก ไม่มีจุดเด่น แต่เมื่อสตรีคนนั้นเดินเข้าไปในวงแหวนอาคมรวมถึงซูหมิงตามเข้าไปแล้ว เขาเห็นว่าไข่มุกเปล่งแสงสว่างหลากสี ที่แปลกคือแสงถูกจำกัดอยู่ในวงแหวนอาคม ไม่ได้เปล่งออกมาแม้แต่น้อย ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงไม่เห็นแสงสว่างหลากสีจากข้างนอก มีเพียงเข้าไปในวงแหวนอาคมเท่านั้นถึงเห็นแสงสว่าง

“เจ้ารอที่นี่ก่อน อีกสักครู่ข้าจะกลับมา” สตรีคนนั้นมองไข่มุกหลากสีก่อนหันกลับมามองซูหมิงพลางพูดเสียงเบา น้ำเสียงนุ่มนวลมาก อีกทั้งคำพูดยังไม่มีน้ำเสียงที่มองว่าซูหมิงเป็นรุ่นเยาว์ แต่กลับ…มีความรู้สึกว่าอยู่ระดับเดียวกัน

ซูหมิงไม่ตอบ แต่พยักหน้า

นางก้มหน้าลง หมุนตัวกลับพร้อมยกมือขวาชี้ไปยังไข่มุกนั้น ฉับพลันนั้นแสงจากไข่มุกสว่างวูบวาบ มันเหมือนกลายเป็นหยดน้ำ มีหยดหนึ่งลอยขึ้นมาตกบน ปลายนิ้วนาง พริบตาที่สัมผัส หยดน้ำปกคลุมทั่วร่างนาง ดึงนางหลอมรวมเข้าไปในไข่มุก

ซูหมิงมองไข่มุกนั้นด้วยดวงตาแวววาว ขณะตรึกตรองก็นั่งขัดสมาธิลงบน วงแหวนอาคม สีหน้าดูไม่รีบร้อน หลับตาลงนั่งฌานสมาธิ

ภายในไข่มุก โลกที่เป็นดั่งฟ้าเหนือฟ้า ฟ้าของโลกนั้นมีหลากสี แผ่นดินแบ่งเป็นสิบสามส่วน ทุกส่วนเหมือนมีสิ่งมีชีวิตอยู่เหลือคณานับ

สตรีคนนั้นยืนอยู่กลางฟ้า มองแผ่นดินสิบสามส่วน สุดท้ายก็มองแผ่นดินที่สาม ก่อนขยับวูบไหวเป็นสายรุ้งยาวตรงไปยังแผ่นดินที่สาม

เมื่อเข้ามาใกล้ในพริบตา นางเห็นยอดเขานับไม่ถ้วนตั้งตระหง่านบนแผ่นดิน และยังมีผู้ฝึกฌานจำนวนหนึ่งระหว่างยอดเขา ตอนที่นางเข้ามาใกล้ ผู้ฝึกฌานเหล่านี้เงย หน้าขึ้นทั้งหมดมองนาง ทุกคนมีสีหน้าหวาดกลัว ก่อนหมอบกราบคารวะอยู่บนพื้น

นางห้อเหยียดไปตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงยอดเขาที่สูงสุดบนแผ่นดินที่สาม ยอดเขานี้เป็นดั่งกระบี่คมกริบปักมวลอากาศ มองไกลๆ จะเต็มไปด้วยความสูงตระหง่าน ทั้งยังมีความหนาวเยือกแผ่กระจายมา ทำให้ผิวดินใต้ยอดเขานี้เป็นหิมะตลอดปี

“ผู้ใด!” ช่วงที่นางเข้าไปใกล้ยอดเขา มีเสียงดังสนั่นปานฟ้าผ่าแว่วมาจากข้างหลังยอดเขา จากนั้นมีคนยักษ์สูงหลายหมื่นจั้ง ทั่วร่างเต็มไปด้วยขนสีฟ้าโผล่หัวออกมาจากข้างหลังยอดเขานั้น

ดวงตาสองข้างเป็นประกายแสงหม่น คำพูดดังกังวานเหมือนจะก่อให้เกิดพายุคลั่ง ส่งผลให้หิมะบนพื้นปลิวว่อน บดบังฟ้าดิน

“ผู้เยาว์หลันหลันคารวะฝ่าหวัง มีเรื่องสำคัญเลยต้องมาหาอาจารย์” นางหยุดชะงัก มองคนยักษ์ด้วยสีหน้าเคารพ ก้มหน้าลงคารวะ

คนยักษ์ขนสีฟ้าเพ่งมองหลันหลันแวบหนึ่งแล้วก็แสยะยิ้มมุมปาก เขาพยักหน้าให้ จากนั้นหายไปข้างหลังยอดเขา

เมื่อคนยักษ์ขนสีฟ้าหายไป หลันหลันสูดลมหายใจเข้าลึก มีสีหน้าเด็ดขาด ร่างเงาเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปยังยอดเขา ครู่ต่อมาก็เข้ามาใกล้ ก่อนพุ่งไปยังยอดเขาด้วยความเร็วที่มากขึ้น

ไม่นานจนข้ามผ่านหมอกหลายชั้นมาแล้ว หลันหลันมาถึงยอดสูงสุดของยอดเขานี้ บนยอดเขาวางโลงไม้ยักษ์หนึ่งโลง โลงไม้นี้จมอยู่กลางสายลมหิมะ ถูกผนึกไว้เป็นของเพียงหนึ่งเดียวบนยอดเขา

โลงไม้ไม่มีฝาโลง มองผ่านน้ำแข็งหลายชั้นจะเห็นว่าในนั้นมีซากศพหนึ่งนอนอยู่ในนั้นราวกับตายไปแล้ว ทั่วร่างผอมแห้งจนไม่เป็นรูปคน

หลันหลันเดินมาอยู่ข้างโลงไม้ที่ถูกแช่แข็งนั้น มองซากศพในนั้นเงียบๆ อยู่นาน

“อาจารย์ ขออภัย หลันเอ๋อร์ต้องปลุกท่านก่อนเวลา เพราะข้าเจอเรื่องที่ไม่เข้าใจ เพราะเรื่องนี้จะส่งผลถึงทั้งสำนักเจ็ดจันทรา เพราะ…คนที่เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็น ผู้อาวุโสใหญ่อีกคน อีกทั้งยังเกี่ยวกับ…คนที่มีรูปแบบชะตาหายากยิ่งนับแต่โบราณมา!

รูปแบบชะตาเขา ข้าเองก็บอกไม่ถูก เพียงแต่ตอนที่มองเขา ข้าจะมีความรู้สึกเหมือนรู้จักกับเขามาสามภพสามชาติ…นอกจากนี้แล้ว รูปแบบชะตาเขายังพัวพันกับสำนักเจ็ดจันทรา รุ่งเรืองหรือเสื่อมถอยเพียงแค่หนึ่งความคิด…

หลันเอ๋อร์ไม่อาจจัดการคนเดียวได้ ผู้อาวุโสใหญ่เต้าหานก็มีชะตาต้องสิ้นลง เมื่อพบเขา…อาจารย์ ให้อภัยข้าด้วยที่ต้องปลุกท่านก่อนเวลา…” หลันหลันพูด เสียงเบา เอ่ยจบก็กัดฟันงาม ยกมือขวาขึ้นกรีดมือซ้าย มีโลหิตไหลทว่าไม่หยดลงมา แต่รวมที่ปลายนิ้วนาง สีเริ่มไม่ใช่สีแดงอีก แต่เป็นสีทอง!

จากนั้นหยดลง โลหิตสีทองหยดนั้นตกลงบนชั้นน้ำแข็งโลงไม้ ทันทีที่หยดลงก็หลอมรวมเข้าไปในชั้นน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว ทำให้ชั้นน้ำแข็งกลายเป็นสีทองด้วยความเร็วระดับสายตา!

ในเวลาเดียวกันทั้งยอดเขาสั่นสะเทือนราวกับโคลงเคลง ภายใต้การโคลงเคลงอย่างรุนแรง ชั้นน้ำแข็งบนโลงไม้เริ่มเกิดรอยแตก รอยแตกเหล่านี้เกิดเสียงกึกๆ พร้อมเชื่อมเข้าด้วยกันเป็นอักขระยักษ์ตัวหนึ่ง

ไม่กี่ลมหายใจ อักขระนั้นเปล่งแสงสีทองสว่างจ้า ชั้นน้ำแข็งเริ่มละลาย หมอกขาวจำนวนมากลอยฟุ้ง พริบตาเดียวก็ปกคลุมโลงไม้เอาไว้ภายใน

หลันหลันถอยไปหลายก้าวแล้วคุกเข่าข้างหนึ่งบนพื้น

หมอกขาวเยอะขึ้น เสียงกึกๆ ดังขึ้นไม่หยุด ครึ่งก้านธูปต่อมา เมื่อน้ำแข็งละลายทั้งหมด หมอกโดยรอบแผ่กระจายล้อมรอบ ทำให้ยอดเขาเหมือนถูกล้อมไว้ด้วยหมอก

ขณะเดียวกัน ช่วงที่น้ำแข็งละลายทั้งหมด โลหิตสีทองหยดนั้นตกลงบนระหว่างคิ้วซากศพ ชั่ววูบเดียวก็หลอมรวมเข้าไปจนมีแสงสีทองไม่มีสิ้นสุดส่องแสงมาจากในซากศพ แสงทองรวมเป็นพลังชีวิต ไหลผ่านเลือดเนื้อเส้นเลือดในร่างซากศพ แผ่ขยายออกโดยพลัน

จุดที่ผ่าน เส้นเลือดที่แห้งไปแล้ว เลือดเนื้อที่แห้งตายไปแล้วเหมือนเปล่งประกายแห่งชีวิตขึ้นมา จนกระทั่งแสงทองหลอมรวมเข้าไปในหัวใจซากศพที่แห้งเหี่ยวไปแล้ว หัวใจนั้นกลายเป็นสีโลหิตด้วยความเร็วระดับสายตา เริ่ม…เต้น!

“ใคร…ใครปลุกข้า!” น้ำเสียงแก่ชราดังแว่วมาจากมวลอากาศ ดังกึกก้องในเวลานี้ จากนั้นทุกสิ่งมีชีวิตบนแผ่นดินที่สามตัวสั่นพร้อมกัน ล้วนคุกเข่าคารวะ

“ศิษย์หลันหลัน คารวะอาจารย์” หลันหลันที่คุกเข่าคารวะอยู่พูดขึ้นด้วยเสียงเบา

“หลัน…หลัน…” เสียงนั้นเหมือนไม่มีจิตสำนึกรู้ตัวมากนัก ท่ามกลางเสียงพึมพำดังกังวาน ทันใดนั้นมีมือแห้งเหี่ยวข้างหนึ่งยกขึ้นมาจากในโลงไม้ ในเวลาเดียวกันซากศพในโลงลืมตาขึ้น เผยดวงตาสีดำภายใน สีดำของดวงตานั้นปกคลุมสีของลูกตา พริบตาที่ซากศพนี้ลืมตาขึ้น เขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งในโลงไม้

ซากศพนี้แห้งเหี่ยว ทั้งตัวดูเหมือนถูกตากลมมาไม่รู้กี่ปี แต่ทันทีที่เขาลุกขึ้นนั่ง กลิ่นอายพลังจากตัวเขากลับทำให้โลกนี้หยุดนิ่ง ทำให้มวลอากาศสั่นไหว ทำให้ ทุกดวงจิตก้มหัวลง นั่นคือพลังที่มากพอจะทำให้ทุกชีวิตตัวสั่น

กดขี่อยู่เหนือผู้ฝึกฌานทั้งปวง นั่นคือ…พลังของผู้แข็งแกร่งขั้นเต๋าไร้ที่สิ้นสุด ขั้นเจ็ดซึ่งเหนือกว่าขอบเขตวิญญาณเต๋า ห่างจากมหาเต๋าสูงศักดิ์อีกก้าวเดียว!

กลิ่นอายพลังนี้เบาบางมาก แต่แม้จะเบาบาง แต่ก็มากพอจะสังหารสวรรค์!

“หลัน…หลัน…ศิษย์ของข้า เจ้าไม่ควรปลุกข้า อาจารย์ยังไม่ถึงเวลาตื่น คนหนึ่งควบคุมดูแล สิบสองคนหลับใหล นี่คือมรดกยุคโบราณ นี่คือกฎที่พวกเราต้อง ปฏิบัติตาม มีแต่แบบนี้เท่านั้นพวกเราถึงคงอยู่ต่อไปได้ มีแต่แบบนี้เท่านั้นพวกเราถึงแกร่งขึ้นได้เรื่อยๆ…

และเจ้า…ไม่ควรปลุกอาจารย์ก่อนเวลา ยุคนี้คือยุคของผู้อาวุโสใหญ่เต้าหาน เป็นยุคที่เขาดูแลเจ็ดจันทรา ในยุคนี้…จะมีผู้อาวุโสใหญ่สองคนไม่ได้! แต่เจ้า…ฝ่าฝืนกฏสำนักสูงสุด เจ้าปลุกข้าก่อนเวลาสามร้อยสมัย…” ซากศพแห้งนั้นนั่งอยู่ในโลงไม้ น้ำเสียงโกรธดังก้องฟ้าดิน สะเทือนแผ่นดินที่สาม

กระทั่งเกิดพายุคลั่งขึ้น ช่วงที่ซากศพนี้กล่าว ปรากฏใบหน้ายักษ์ขึ้นตรงหน้า หลันหลัน ใบหน้านั้นคำรามเหมือนจะกินนาง

“มีคนที่รูปแบบชะตาหายากยิ่งในแคว้นกู่จั้งปรากฏ ศิษย์…” หลันหลันกัดฟัน ขณะกำลังจะกล่าวนั้น ใบหน้ามวลอากาศยักษ์บิดเบี้ยวเป็นมือใหญ่ข้างหนึ่งกดกลางกระหม่อมนาง

หลันหลันไม่หลบ แต่หลับตาลง ปล่อยให้ฝ่ามือนั้นกดลงมาสัมผัสกลางกระหม่อม ตอนนี้เองฝ่ามือหยุดชะงัก มันรับรู้ได้ถึงความทรงจำของหลันหลัน

ครู่ต่อมาฝ่ามือพลันหายไป ขณะเดียวกันซากศพในโลงไม้ยืนขึ้นช้าๆ ทันใดนั้นเองหมอกเมฆรอบตัวเขาม้วนตลบมาที่ร่างเขา ไหลผ่านร่างกายหลอมรวมเข้าไป ทำให้ร่างกายเกิดเลือดเนื้อขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งไม่แห้งเหี่ยวอีก ผิวหนังเกลี้ยงเกลา เมฆหมอกถึงกลายเป็นจีวรนักบวชเต๋าโบราณและเรียบง่าย ปรากฏบนร่าง ชายวัยกลางคนที่มีหน้าตาหล่อเหลาแบบพิลึกเหมือนกับเป็นสตรี!

“พาหวังเทาเข้ามา…เจ้าจัดการเรื่องนี้ได้ดีมาก เจ้าควรปลุกข้าก่อนเวลา บุตรของข้า” ชายวัยกลางคนเดินออกมาจากโลงไม้ ตอนที่มองหลันหลัน เขามีสีหน้าอ่อนโยนและยังมีความเมตตา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!