Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1397

ตอนที่ 1397 การต่อสู้ครั้งหนึ่ง

นัยน์ตาซูหมิงหรี่ลงเล็กน้อยจนไม่สังเกตเห็น เขายกมือขวาหยุดไว้กลางอากาศ มองเป้ยฉยงตรงหน้าด้วยดวงตาวาววับ มุมปากยิ้มทีเล่นทีจริงทีละน้อย

เป้ยฉยงเห็นรอยยิ้มนี้แล้วในใจพลันสั่นไหว เทียบกับความเย็นชาของซูหมิงก่อนหน้านี้แล้ว เขากลัวสีหน้าในตอนนี้มากกว่า นี่ทำให้เขาคาดเดาความคิดซูหมิงไม่ออก คาดเดาไม่ได้ว่าซูหมิงจะทำอะไรต่อไป

แต่เขารู้ว่าซูหมิงจะต้องมาถามตนแน่ว่าเหตุใดถึงรู้จักนามเขา และเพราะเหตุใดถึงมองว่าอีกฝ่ายที่เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปแล้วคือซูหมิง!

“ซูหมิง…เจ้ามองออกได้อย่างไรว่าข้าคือซูหมิง” ซูหมิงยิ้มมองเป้ยฉยง เขาไม่ปฏิเสธ แต่ดวงตาวาววับ แรงกดดันมหาศาลพลันปกคลุมเป้ยฉยง

“ข้าพูด ข้าพูด…คือ…” เป้ยฉยงลังเลครู่หนึ่ง แต่มองซูหมิงแล้วก็กัดฟัน

“ท่าน…เป็นทั้งซูหมิง และก็เป็นองค์ชายสามของแคว้นกู่จั้ง!” สิ้นเสียง ซูหมิงมี สีหน้าปกติ แต่ในใจเกิดคลื่นลูกใหญ่ สิ่งที่เป้ยฉยงรู้มากมายถึงเพียงนี้ นี่ทำให้ ซูหมิงเงียบ ประกายแวววาวคมกริบกว่าเดิม

“เมื่อสามพันปีก่อน องค์ชายสามแห่งแคว้นกู่จั้งออกจากเมืองหลวงจักรพรรดิ เดินทางฝึกฝนเป็นเวลาหกพันปี เขาหลงทางในระหว่างการเดินทาง ตกอยู่ในยุค ซางเซียงโบราณ เสียความเป็นตัวเองที่นั่น…

คนที่หายตัวไปไม่ได้มีเพียงเขา แต่ยังมีสหายทุกคนของเขาขณะเดินทาง คนที่ผูกพันกับเขาจะหลงทางไปด้วยเพราะเขา แต่ข้า แม้พลังจะไม่สูง แต่ก็เป็นชนรุ่นหลังปรมาจารย์ฟ้าแห่งแคว้นกู่จั้ง ข้ามีอาขุขัยมากกว่าคนธรรมดามาก และตอนนั้น…ก็ได้เข้าไปอยู่ในการหลงทางของท่าน

แต่ข้าตื่นเร็วกว่าคนอื่น อีกทั้งพอตื่นแล้วยังพบว่า…บางทีอาจเป็นเพราะสายเลือดข้า หลังตื่นมาแล้วข้ายังมีความทรงจำตอนหลงทางอยู่ แต่ข้าพบว่าคนที่ตื่นตามข้ามา พวกเขาอยู่ในความสับสน ไม่มีความทรงจำระหว่างการหลงทาง…

เหมือนกับการนั่งฌานครั้งหนึ่ง จะเห็นส่วนวิญญาณกลายเป็นส่วนหนึ่ง ในโลกที่ท่านหลงทาง พวกเขาก็คือพวกเขา ในแคว้นกู่จั้ง พวกเขาก็ยังเป็นพวกเขา แต่ก็มีความต่างอยู่…” เป้ยฉยงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตอบกลับช้าๆ น้ำเสียงแหบเล็กน้อย เหมือนกำลังหวนลำรึก สายตาที่มองซูหมิงมีความซับซ้อน

“โลกของซางเซียงเป็นของปลอม…” เป้ยฉยงถอนหายใจเบา ก้มหน้าลง

ซูหมิงเงียบ ผ่านไปพักใหญ่ใบหน้ายังไม่เปลี่ยนสี แต่กล่าวขึ้นเรียบๆ

“เจ้าพูดมากขนาดนี้ ยังไม่ตอบข้าเลยว่ามองออกได้อย่างไรว่าข้าคือซูหมิง”

“หากเป็นตอนนี้มองท่าน ข้ามองไม่ออกว่าท่านคือซูหมิงกับองค์ชายสามในตอนนั้น แต่…แต่ก่อนหน้านี้ ท่านไม่ใช้ร่างจริงมาปรากฏต่อหน้าข้า แต่ใช้ร่างเงาจากวิชา เจ็ดชะตา คนต่างกันได้ แต่เงา…เหมือนกับวิญญาณของทุกคน ดูเหมือนไม่ต่างกัน ใต้แสงตะวัน แต่มีน้อยคนนักที่รู้ว่าสีดำในเงานั้น สามารถมองเห็นถึงร่างจริงในนั้น!

เพียงแต่ว่าคนที่เข้าใจวิชานี้มีไม่มาก แต่ข้ามีสายเลือดปรมาจารย์ฟ้า ดังนั้นข้าเลยเห็นในจุดที่ต่างออกไป และก็เพราะรู้ฐานะของท่านด้วย” เป้ยฉยงยิ้มเฝื่อน ท่าทีเหมือนทอดถอนใจ ราวกับกำลังสำนึกเสียใจที่อ่านฐานะซูหมิงออก

ดวงตาซูหมิงขยับประกาย ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นความตกตะลึงและเหลือเชื่อตอนที่เป้ยฉยงเห็นตน ทุกอย่างเหมือนจะได้รับคำอธิบายที่สมบูรณ์แบบแล้ว

“ข้าเล่าความจริงทุกอย่างที่รู้แล้ว อีกอย่างหลายปีมานี้หลังจากข้าตื่นแล้วก็ ตรึกตรองถึงการหลงทางของท่านในตอนนั้น เรื่องนี้เกี่ยวกับองค์ชายรองแล้วก็ องค์ชายใหญ่อย่างมาก สองคนนี้น่าจะร่วมมือกันโจมตีให้ท่านหลงทาง!

องค์ชายสาม ท่าน…ตื่นขึ้นเถอะ ทุกอย่างในซางเซียงเป็นของปลอม นั่นไม่ใช่ความจริง ไม่จริงแม้แต่น้อย ทุกคนที่ท่านพบในโลกซางเซียงล้วนมีร่องรอยใน แคว้นกู่จั้ง พวกเขาต่างหากคือความจริง แต่พวกเขาในโลกซางเซียงเป็นเพียง วิญญาณหลงทาง นั่นเป็นของปลอม!

ขอเพียงท่านตื่นขึ้น พวกเขา…ก็จะตื่นทันที จะจำท่านได้ทันที อย่างเช่นผู้อาวุโสหลัน นางก็เป็นหนึ่งในนั้น เมื่อสามพันปีก่อนนางพบท่านตอนออกไปฝึกฝนข้างนอก แต่ตอนนี้นางจำท่านไม่ได้ เพราะ…ท่านยังไม่ตื่น

องค์ชายสาม ไม่ว่าเพื่อตัวท่านเองหรือเพื่อสหายของท่าน ตื่นเถอะ ขอแค่ตื่น ทุกคนจะจำท่านได้!

ข้าไม่รู้ว่าช่วงท้ายของโลกซางเซียงเกิดอะไรขึ้น แต่…ถึงคนในโลกนั้นจะตายไปแล้ว ทว่าขอเพียงท่านตื่น ท่านจะพบว่าเดิมทีพวกเขา…ยังอยู่ข้างกายท่าน!” เป้ยฉยงมอง ซูหมิงด้วยแววตาสงสารเสี้ยวหนึ่งพลางพูดเสียงเบา

“ข้าพูดจบแล้ว หากท่านไม่เชื่อ ก็ค้นวิญญาณข้า ข้าเป้ยฉยงชีวิตนี้โกหกมา นับครั้งไม่ถ้วน แต่มีเพียงครั้งนี้…ที่ข้าไม่พูดโกหก!” เป้ยฉยงเงยหน้าขึ้นมองซูหมิง อย่างยึดมั่น

ซูหมิงเงียบ คนอื่นมองไม่เห็นอารมณ์ความคิดที่หมุนม้วนในใจเขาตอนนี้ เขาเงยหน้าขึ้นไม่มองเป้ยฉยง แต่มองฟ้าไกลออกไป มองฟ้าครามเมฆหมอก และยังมีดวงตะวันกลางเมฆขาว ทุกอย่างสมจริง มองไกลออกไปฟ้าดินเหมือนไม่มีสิ้นสุด มีเพียงรอยยาวที่เหมือนเชื่อมกันระหว่างแผ่นดินกับผืนฟ้า

มองไปมองมาซูหมิงยกมือขวาขึ้นกดกลางกระหม่อมเป้ยฉยงโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว เขาแผ่กระจายพลังออกโดยพลัน เข้าปกคลุมทั่วร่างเป้ยฉยง ผ่านจิตสำนึกมุดเข้าไป ในสมอง ค้นเรื่องราวในอดีตทุกอย่างในความทรงจำ

ซูหมิงเห็นอะไรมากมายในความทรงจำ จนกระทั่งเห็นทุกอย่างที่เป้ยฉยงพูด ก่อนหน้านี้ เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ใช่คำพูด แต่เป็นภาพ

เป้ยฉยงตัวสั่น การค้นวิญญาณเป็นอันตรายต่อคนอย่างยิ่ง แต่นัยน์ตาเขาฉายแววยึดมั่น เหมือนจะเข้าใจ ในเมื่อหลบไม่ได้ ในเมื่อโชคชะตาให้มาพบกัน เช่นนั้น… ก็จะให้ซูหมิงตื่น ให้เขารู้ว่าอะไรคือความจริง อะไรคือปลอม!

จนกระทั่งผ่านไปครึ่งก้านธูป ซูหมิงยกมือขวาขึ้นกดลงเบาๆ เขาไม่พบร่องรอยถูกปรับเปลี่ยนในความทรงจำเป้ยฉยงแม้แต่น้อย ทุกอย่างเป็นเรื่องในอดีตที่เป้ยฉยงประสบมาจริงๆ

“องค์ชายสาม…” เป้ยฉยงหน้าซีดขาว ตอนนี้ร่างกายเขาอ่อนแอ มองซูหมิง ขณะกำลังจะกล่าวนั้น

“เจ้าไปได้แล้ว” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ หลับตาลง ยกมือขวาโบกไป พายุสีดำนั้นพลันนุ่มนวล ม้วนร่างเป้ยฉยงข้ามผ่านฟ้าเหนือฟ้าทีละชั้น ส่งลงไปในสำนัก เจ็ดจันทราชั้นแรก

ตอนที่เป้ยฉยงปรากฏตัวที่ฟ้าเหนือฟ้าชั้นหนึ่ง พายุข้างกายเขาหายไปแล้ว ทว่าเขาไม่ได้จากไปทันที แต่ยืนอยู่ตรงนั้นเงยหน้าขึ้นมองยอดเขาที่ซูหมิงอยู่กลางเทือกเขา

แม้เขาจะเห็นได้แค่ชั้นหนึ่ง ทว่าเขากลับเหมือนเห็นร่างเงาซูหมิงรางๆ นั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขาฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้าที่ซ้อนทับกันนั้น

มองไปมองมาเป้ยฉยงก็ถอนหายใจเบา

‘เดิมทีองค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองไม่ได้แข็งแกร่งถึงขั้นกดไม่ให้เจ้าตื่น แต่…เจ้าไม่ยอมตื่นเอง…หลงใหลอยู่ในโลกซางเซียง ยอมถลำอยู่เก้าแผ่นดิน แต่ไม่ยอมเชื่อ เก้าสวรรค์’ ขณะเป้ยฉยงส่ายหน้า ร่างเขาเหมือนแก่ชราลงไปมาก ก่อนหมุนตัวเดินไกลออกไป

เงาเขาถูกยืดยาวไปมาก ใต้เท้า…เป็นเพียงเงาที่แม้จะดูแฝงไว้ด้วยการผ่านโลกมาเนิ่นนาน แต่เห็นอยู่รางๆ ว่าสวมเสื้อกันฝน สวมงอบ ร่างเงาค่อยๆ จางลง จนกระทั่งเงาซ้อนทับบนเงาเขาแล้วค่อยๆ หายไป แต่เป้ยฉยงกลับไม่สังเกตเห็นแม้แต่น้อย

บนยอดเขา ซูหมิงกำลังหลับตานั่งสมาธิ จนกระทั่งฟ้าไกลออกไปเป็นตะวันยามอัศดง ในยามโพล้เพล้นี้ มีร่างเงาสตรีเพิ่มมาหนึ่งคนนอกบ้านของเขา

นางคือ หลันหลัน แปดปีมานี้ นางมาที่นี่เป็นครั้งแรก ยืนอยู่ข้างกายซูหมิง มองฟ้ายามโพล้ไกลๆ

ผ่านไปพักใหญ่นางถึงก้มหน้ามองซูหมิงที่กำลังหลับตา ไม่พูดอะไร แต่หมุนตัวจากไป

จนกระทั่งยามค่ำคืนมาถึง ตอนที่บนฟ้าประดับด้วยจุดดาว ยามเที่ยงคืน ซูหมิง…ลืมตาขึ้น

แววตาเขาสงบนิ่ง แต่ตรงส่วนลึกในความสงบกลับเผยความยึดมั่นที่มากพอจะทำให้คนอื่นเพ่งมอง ความยึดมั่นนี้เป็นดั่งเพลิงที่แผดเผาฟ้าดิน จุดไฟบนฟ้าในยามค่ำคืนได้

“ความทรงจำเขาไม่มีร่องรอยถูกปรับแก้แม้แต่น้อย นี่อธิบายได้ว่าความทรงจำของเขาเป็นจริง แต่ความจริงในความทรงจำไม่ได้หมายความว่าความจริงเป็นเช่นนั้น!” ซูหมิงกล่าวขึ้นเนิบๆ

‘เพราะว่าความทรงจำข้าก็ไม่ถูกปรับแก้เช่นกัน หากเขาเป็นจริง เช่นนั้นข้าก็จริงเหมือนกัน! แต่จะมีเพียงหนึ่งที่สุดท้ายแล้วเป็นของปลอม…’ ภายในความยึดมั่นในแววตาซูหมิงขยับเป็นประกายคมกริบ

‘อีกอย่าง เขาเผยพิรุธที่ใหญ่ที่สุดออกมา พิรุธนี้เองที่ทำให้คำพูดเขาที่เหมือนสมบูรณ์แบบมีช่องโหว่ เขาควรจะเรียกข้าว่าโม่ซู…ไม่ใช่ซูหมิง! ถึงอย่างไร…ตอนอยู่เผ่าร่องลมข้าก็ใช่นามโม่ซู จากนั้นข้าจากไปก็ไม่พบเขาอีก ก่อนหน้านี้ตอนที่ค้นความทรงจำเขา ภาพในโลกซางเซียงไปสิ้นสุดที่เผ่าร่องลม!’ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววประหลาดใจ

‘แต่เขากลับเรียกข้าว่าซูหมิง…’ ซูหมิงยิ้มมุมปากอย่างมีความหมายลึกซึ้ง

‘เสวียนจั้ง นี่เป็นโลกของเจ้าหรือโลกของข้า เรื่องนี้…ในใจเจ้ากับข้ารู้ดี ดวงจิตข้าซูหมิงก็ไม่ใช่ว่าจะถูกเจ้าปรับเปลี่ยนง่ายขนาดนั้น

นี่เป็นเพียง…การต่อสู้ระหว่างข้ากับเจ้าครั้งหนึ่งเท่านั้น!’ ช่วงที่ซูหมิงกล่าวเสียงเบา ฟ้ายามค่ำคืนพลันเกิดเสียงฟ้าผ่า มองไม่เห็นเมฆดำที่ซ่อนในคืนมืด ภายใต้การรวมกันทีละน้อย จึงเกิดฝนตกในคืนนี้

ตอนเริ่มฝนยังตกไม่หนัก แต่พริบตาเดียวก็เหมือนเทอ่างลงมา ฉากฝนคลุมเทือกเขา ปกคลุมแผ่นดิน ปกคลุมสำนักเจ็ดจันทรา

เพียงแต่ว่า…ตกที่ชั้นหนึ่งเท่านั้น ฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้าที่ซูหมิงอยู่ เขาเห็นสายฝน แต่รู้สึกไม่ได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!