Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1410

ตอนที่ 1410 ผู้สังหารเจ้า…คือเถียนเหอ!

เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวคือมหาเต๋าสูงศักดิ์! เป็นยอดผู้แข็งแกร่งที่มีไม่เกินสามสิบคนทั้งแคว้นกู่จั้ง มหาเต๋าสูงศักดิ์เซินมู่!

คนนี้ดูเยาว์วัย แต่ความจริงเขาฝึกฝนมานานกว่าผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักเจ็ดจันทราเหล่านี้ นอกจาก…ผู้อาวุโสใหญ่สายเลือดที่หนึ่งของสำนักเจ็ดจันทรา คนที่เหลืออ่อนกว่าเขา

“สวี่จงฝาน สหายสวี่ ไม่เจอกันนาน ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะรวมวงแหวนมหาเต๋าออกมาได้” เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มดูจริงใจมาก ไม่เห็นถึงความปลอมเลย แต่ให้ความรู้สึกประหนึ่งอาบด้วยแสงฤดูใบไม้ผลิ

“ยังไม่ได้แสดงความยินดีกับสหายสวี่ที่ได้รับศิษย์ดีมาคนหนึ่งเลย คนที่ทำให้รูปแบบชะตาตนสูงส่ง เป็นความหวังที่จะได้สำเร็จมหาเต๋า” เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวมองอาจารย์ซูหมิงในสำนักเจ็ดจันทราแวบหนึ่ง ก่อนยิ้มพูดขึ้น

ตอนนี้ชายวัยกลางคนจีวรเต๋าฟ้าครามหรืออาจารย์ซูหมิงในสำนักเจ็ดจันทรามี สีหน้าทะมึนทึบ ผู้อาวุโสใหญ่ข้างกายเขาล้วนมีสีหน้าเรียบนิ่ง มองเด็กหนุ่ม ชุดคลุมขาวอย่างเย็นชา

มีเพียงคนเดียวที่เป็นชายชราผมขาว จนถึงตอนนี้เขายังคงหลับตา แม้จะอยู่ในกลุ่มผู้อาวุโสใหญ่ แต่กลับมีความต่างจากคนอื่นบางๆ

“มหาเต๋าสูงศักดิ์เซินมู่มาเยือน สำนักเจ็ดจันทรารู้สึกเป็นเกียรตินัก เพียงแต่ มหาเต๋าสูงศักดิ์ไม่ได้มาพบพวกข้าตามมารยาท แต่เข้ามาในฟ้าเหนือฟ้าโดยพลการ สำนักเอกะเต๋า…ดูถูกสำนักเจ็ดจันทราเช่นนี้เชียวรึ!” ตอนนี้อาจารย์ซูหมิงในสำนัก เจ็ดจันทราจ้องเซินมู่พร้อมพูดขึ้นช้าๆ

“ก็ข้าเข้ามาแล้ว” เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวมีสีหน้าปกติ ยังคงยิ้ม ตอนที่กวาดสายตามองผู้อาวุโสใหญ่สำนักเจ็ดจันทรา เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยในช่วงที่มองชายชราที่ยังคงหลับตาตลอด

“แซ่เซินเสียมารยาทแล้ว คารวะผู้อาวุโสกู่ไท่” เขาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนประสานมือคารวะชายชราที่ยังคงหลับตาอยู่ตลอด

“บุกเข้ามาในฟ้าเหนือฟ้าโดยพลการ ผนึกโลกฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า ทั้งยังคุกคามศิษย์ในสำนัก มหาเต๋าสูงศักดิ์ไม่รู้สึกว่าตัวเองเสียเกียรติหน่อยรึ แค่บอกว่าเสียมารยาท แล้วอย่างนี้ศักดิ์ศรีสำนักเจ็ดจันทราของข้าอยู่ที่ใด!” ชายวัยกลางคนจีวรเต๋าฟ้าครามหรืออาจารย์ซูหมิงในสำนักเจ็ดจันทราเดินหน้าหนึ่งก้าว กล่าวขึ้นเนิบๆ ด้วยแววตามืดทะมึน

“ต้องขออภัยด้วย แซ่เซินฝึกฝนมานาน เลยไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของวิถีทางโลก วันนี้ข้ามาอย่างสะเพร่าจริงๆ ทั้งยังไม่ควรผนึกฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้าของสำนักเจ็ดจันทรา ข้าเสียเกียรติไปบ้างจริงๆ ใช้อำนาจคุกคามรุ่นเยาว์เหล่านั้น… หากวันนี้ข้ามีอะไรที่ล่วงเกินไป ก็ให้ย่าเจ้ามาทุบตีข้าดีหรือไม่?” เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวยิ้มน้อยๆ มองสวี่จงฝาน นอกจากคำพูดสุดท้าย ที่เหลือดูจริงใจมาก หากพบกัน ครั้งแรกก็คงยากจะไม่ผ่อนปรนให้เล็กน้อย

แต่เมื่อจบประโยคสุดท้าย รสชาติในคำพูดทั้งหมดเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ ผู้อาวุโสใหญ่สิบกว่าคนของสำนักเจ็ดจันทราต่างดวงตาทะมึนทึบยิ่งกว่าเดิม แต่กลับไม่มีใครมีสีหน้าแปลกใจ เห็นได้ชัดว่ารู้นิสัยของมหาเต๋าสูงศักดิ์เซินมู่อยู่แล้ว

“พอแล้ว!” ยามนี้ชายชราที่หลับตามาตลอดลืมตาขึ้นช้าๆ ในดวงตาไม่มีตาดำ แต่เป็นสีขาวโพลน ตอนที่เขามองคนอื่นจะให้ความรู้สึกที่พิลึกยิ่ง

“เซินมู่ สำนักเจ็ดจันทราไม่ส่งคนให้ หากจะทำสงคราม…สำนักเจ็ดจันทราก็จะทำสงครามเช่นกัน! พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อองค์ชายใหญ่ สำนักเจ็ดจันทราก็จะยอมถูกทำลายสำนักอย่างไม่เสียดายเพื่อองค์ชายสามเช่นกัน!

แต่ได้ยินมาว่าฝ่ายอสุราที่องค์ชายรองอยู่ตอนนี้ก็คิดจะสร้างอำนาจเช่นกัน” คำพูดชายชราเรียบนิ่ง ไม่เผยคลื่นอารมณ์แม้แต่น้อย แต่เมื่อสิ้นเสียง ผู้อาวุโสใหญ่คนอื่นๆ รอบตัวเขาล้วนถอยหลังไปหนึ่งก้าว ให้ชายชราคนนี้อยู่ตรงกลาง ให้เขาเป็นผู้นำ

แม้แต่เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวตอนนี้รอยยิ้มยังหายไป กลายเป็นจริงจัง

“ผู้อาวุโสกู่ไท่ยังคงมีความน่าเกรงขามอย่างในตอนนั้น เซิน…”

“ตอนที่ข้าสำเร็จเต๋า เจ้ายังปรนนิบัติอาจารย์เจ้าอยู่เลย จะทำสงครามหรือไม่ ข้าต้องการคำตอบแค่ประโยคเดียว คำพูดไร้สาระอื่นๆ มันหนวกหู!” ชายชราตอบกลับเรียบๆ แต่กลับมีความบ้าอำนาจแรงกล้าแผ่ออกมา

เซินมู่เงียบ เขาเพ่งมองกู่ไท่อยู่หลายที ดวงตาขยับประกายเล็กน้อย ก่อนถอนหายใจเบา

“ตอนนั้นข้าเคยได้ยินอาจารย์บอกว่าในแคว้นกู่จั้งมีเทพเต๋าขั้นเก้าสามท่าน อีกทั้งคนที่เป็นรองผู้อาวุโสสามท่านนี้ ขอเพียงก้าวสู่มหาเต๋าสูงศักดิ์ที่มีชื่อเสียงก็จะได้บรรลุเทพเต๋าขั้นเก้าอย่างแน่นอน และคนนั้นมีเพียงคนเดียว นั่นคือผู้อาวุโสกู่ไท่แห่งสำนักเจ็ดจันทรา

ถึงอย่างไร…ท่านก็เป็นคนเดียวที่เคยรบกับเทพเต๋าขั้นเก้าสามท่านนั้นแล้วรอดตายมาได้! น่าเสียดาย ท่านมีปมในใจ ทำให้เกิดการบาดเจ็บในใจ ส่งผลให้ท่าน… ไม่อาจก้าวสู่มหาเต๋าสูงศักดิ์ แต่ว่า…ข้ายอมรับ ผู้อาวุโสก็ยังเป็นผู้อาวุโส หากต้องทำสงครามจริงๆ ข้าก็ไม่มีความมั่นใจมากนัก” เซินมู่พูดขึ้นเนิบช้า มองกู่ไท่ตรงหน้าแล้วประสานมือคารวะอีกครั้ง

“วันนี้ข้ามาที่นี่ก็เพื่อเดิมพันกับสำนักเจ็ดจันทรา ในหนึ่งก้านธูป ไม่ว่าชนะหรือแพ้ ข้าจะแสดงการขอโทษยอมออกไป”

“หากเจ้าแพ้ล่ะ” ชายชราถามขึ้นเรียบๆ

“คัมภัร์เต๋าหนึ่งแสนม้วน แผ่นหยกบรรลุวิญญาณเต๋าที่มีการตระหนักรู้ต่างกันสามร้อยแผ่น” เซินมู่ตอบกลับอย่างไม่ลังเลทันที

“ไม่ต้อง หากเจ้าชนะทุกอย่างก็ไม่ต้องคุยกันแล้ว หากเจ้าแพ้…ในพื้นที่หนึ่งล้านจั้ง คนสำนักเอกะเต๋าทุกคนที่บุกรุกเข้ามาต้องทิ้งชีวิตเอาไว้!” พูดจบ เซินมู่หรี่ตาลง โดยพลัน

“ได้!” เขามีสีหน้าเด็ดขาด ถึงอย่างไรแม้ชายชราคนนี้จะมีพลังเพียงเต๋าสูงศักดิ์ แต่อย่าว่าแต่เขาเลย ต่อให้เป็นอาจารย์เขาก็ยังหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย ไม่ยอมล่วงเกินง่ายๆ ตอนนั้นชื่อเสียงของชายชราคนนี้สั่นสะเทือนไปทั่วแคว้นกู่จั้ง ทั้งยังมีกลอุบายอีกเล็กน้อยแน่นอน เล่าลือว่าเขาลอกแบบอภินิหารรูปแบบหนึ่งของเทพเต๋าขั้นเก้า ทั้งสามท่านนั้นได้!

“รวมถึงน่านฟ้า” ชายชราพูดต่อ

ครั้งนี้เซินมู่เงียบ แต่ก็พยักหน้าอย่างเร็วไว เขานั่งขัดสมาธิลง สะบัดมือขวา ทันใดนั้นปรากฏธูปขึ้นระหว่างเขากับทุกคน ธูปนั้นขยับไหวพลันติดไฟขึ้นมา

“ท่านเจ้าสำนัก…เรื่องนี้…” สวี่จงฝานอาจารย์ซูหมิงในสำนักเจ็ดจันทราข้าง ชายชรามีสีหน้ากังวล ขณะกำลังจะพูด กู่ไท่มองมาแวบหนึ่ง

“เรื่องนี้พวกเจ้าช่วยเขาไม่ได้ หากเขาแพ้ นั่นคือชะตาลิขิตว่าเขาไม่ใช่ผู้ที่จะแย่งชิงบัลลังก์จักรพรรดิ หากเขาชนะ…เราสำนักเจ็ดจันทราจะยอมได้แม้กระทั่งสำนัก ถูกทำลายเพื่อเขา!” ชายชรากล่าวอย่างแน่วแน่ ทำให้ผู้อาวุโสใหญ่คนอื่นรอบๆ พากันเงียบ

ช่วงที่ทุกสายตาจับจ้องก้านธูปติดไฟ เมื่อควันลอยโชย กลางฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า ชายหนุ่มคิ้วกระบี่ที่เดิมทีหลับตาแน่นิ่งพลันลืมตาขึ้น นัยน์ตามีจิตสังหารและ ความตื่นเต้น

“เริ่มได้ เวลาหนึ่งก้านธูปรึ…ข้าใช้แค่ครึ่งก้านธูปก็พอ” ทันทีที่ชายหนุ่มลืมตาขึ้นพลันมีเสียงกึกๆ ดังมาจากในร่างกาย ก่อนหน้านี้ตัวเขาเหมือนเผยออกมาในฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า แต่ตอนนี้ภายใต้เสียงกึกๆ เหมือนว่าเพิ่งลงมาเยือนอีกครั้ง ก่อนก้าวเดิน…เป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปยังยอดเขาที่สามที่ซูหมิงอยู่

‘จับองค์ชายสาม…ข้าจะไม่ทำแบบนั้น ข้าจะสังหารเขา ฮ่าๆ ข้าจะเป็นคนแรกตั้งแต่โบราณจนถึงตอนนี้ที่สังหารราชวงศ์! หากสังหารเขา ข้าอาจจะมีโอกาสได้ยึดครองรูปแบบชะตาเขา พลังข้าจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน! อีกอย่างต่อให้สังหารเขา ในสามพันปีนี้ข้ายังไม่ถือว่าฝ่าฝืนกฏแคว้นกู่จั้ง!

ส่วนสามพันปีจากนี้…หากข้ายังไม่บรรลุเทพเต๋าขั้นเก้า มีชีวิตอยู่ก็ไม่มีความหมายแล้ว หากบรรลุเทพเต๋าขั้นเก้า…ใครก็ทำอะไรข้าไม่ได้!’ ขณะชายหนุ่มหัวเราะดังก้อง ร่างเงาเขามาปรากฏอยู่บนยอดเขาสายเลือดที่สาม เขาไม่ได้ขึ้นไปยังหน้าผาที่ซูหมิงอยู่ แต่ปรากฏกายตรงตีนเขาแล้วก็เดินขึ้นไปทีละก้าวพร้อมเสียงหัวเราะดังกังวาน

ทุกก้าวที่เขาเดินจะทำให้ยอดเขาสายเลือดที่สามสั่นสะเทือน แรงกดดันรุนแรงลงมาเยือนมากขึ้นตามก้าวเดิน ก่อเป็นพลังอำนาจที่แกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสียงที่มีความมั่นใจและตื่นเต้นของชายหนุ่มคนนี้

“องค์ชายสาม ผู้สังหารเจ้า…คือเถียนเหอ!”

ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า บนยอดเขาสายเลือดที่สามนี้ ไม่ว่าจะเป็นผนึกของโลกนี้หรือแรงกดดันทรงอานุภาพก่อนหน้า ล้วนไม่มีผลกับเขาที่นี่ เหมือนกับเลี่ยงพื้นที่ที่ซูหมิงอยู่

และเพราะจุดนี้เองสำนักเจ็ดจันทราถึงยอมเดิมพันกับเซินมู่ มิเช่นนั้นแล้วจะเป็นอีกสภาพการณ์หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าสำนักเกอะเต๋าคำนวนทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว

ตอนนี้ซูหมิงกำลังนั่งฌาน เขารู้สึกถึงผนึกของโลกนี้ รู้สึกถึงแรงกดดันน่าสะพรึงปกคลุมฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า ส่งผลให้ทั้งฟ้าเหนือฟ้ากลายเป็นคุกขุมขัง คนอื่นๆ ในนี้ ต่างพลังปั่นป่วน กำลังต่อต้านกันเองอย่างยากลำบากอยู่

ขณะเดียวกันซูหมิงยังรู้สึกว่าฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้าที่เป็นดังคุกคุมขังปรากฏกลิ่นอายพลังนอกเหนือจากนี้ขึ้น ความแกร่งของกลิ่นอายพลังนั้นมาพร้อมกับจิตสังหาร มีความบ้าคลั่ง จนกระทั่งยอดเขาสั่นสะเทือน จนกระทั่งได้ยินเสียงที่มีความบ้าคลั่งและจิตสังหารดังแว่วมา

ซูหมิงลอบถอนหายใจเบา เขารู้ว่าตนเลี่ยงสงครามครั้งนี้ไม่ได้ จึงได้แต่ถอนหายใจต่อการหลอมรวมร่างเงาตัวเอง เขาหาร่องรอยพบแล้ว แต่กลับติดอยู่ที่คอขวด เหมือนขาดโอกาสบางอย่าง

พริบตาที่จะลืมตาขึ้นนั้น ซูหมิงพลันนิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนกำลังฟังอะไรบางอย่าง ผ่านไปพักใหญ่เขายังคงสีหน้าสงบนิ่งดังเดิม ซ้ำยังล้มเลิกความคิดที่จะลืมตาขึ้น

ยอดเขาสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ เสียงหัวเราะทุ้มต่ำ กลิ่นอายพลังที่รวมจิตสังหารและความตื่นเต้นเข้าด้วยกันอัดแน่นอยู่ในยอดเขาสายเลือดที่สาม

จนกระทั่งสิบกว่าลมหายใจผ่านไป ร่างเงาเถียนเหอชายหนุ่มคิ้วกระบี่ปรากฏกายห่างจากซูหมิงไปหลายสิบจั้ง ตอนนี้เองกลิ่นอายพลังเขาบรรลุถึงจุดสูงสุด

“องค์ชายสามที่เคารพ เจ้า…พลาดโอกาสที่ดีที่สุดในการต่อต้านไปแล้ว” ชายหนุ่มคิ้วกระบี่มองซูหมิงที่นั่งฌานอยู่นอกบ้านแวบหนึ่งด้วยรอยยิ้ม

คนที่ฝึกฝนถึงระดับนี้ย่อมไม่ใช่คนเขลา แม้เขาจะอวดดีแต่ก็มีการวางแผน ที่เดินขึ้นมาทีละก้าว ด้านหนึ่งเพื่อกดดันซูหมิง อีกด้านหนึ่ง…หลังเขาผ่านวงแหวนอาคมในสำนักเจ็ดจันทราก่อนหน้านี้มาแล้ว พลังเขาต้องได้รับการฟื้นฟูทีละก้าวจนถึงจุดสูงสุด!

นั่นคือจุดสูงสุดของจิตเต๋าขั้นสอง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!