ตอนที่ 15 ท่านปู่
“พี่ชาย…”
“พี่ชาย…ท่านได้ยินหรือไม่…” น้ำเสียงนุ่มนวลที่คุ้นหูดังขึ้นในความฝัน ก้องกังวานในหัวซูหมิงอีกครั้ง คงอยู่นานไม่จางหาย ร่างสลบไสลของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับกำลังดิ้นรนอะไรบางอย่าง
“พี่ชาย ข้ากำลังรอท่านอยู่…”
ตอนที่เสียงเรียกชัดเจนที่สุด ซูหมิงพลันได้สติขึ้นมา ดวงตาเหม่อลอยมองผนังเบื้องหน้าอยู่นาน เสียงร้องตื่นเต้นดังขึ้นขัด หันหลับไปมองก็พบว่าเสี่ยวหงที่อยู่ด้านข้างกระโดดเข้าใส่ด้วยความดีใจ
เสี่ยวหงได้สตินานแล้ว ที่มันสลบไปก่อนหน้านี้ ความจริงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย หลังจากได้สติก็เป็นห่วงซูหมิงอย่างมาก จึงคอยเฝ้าอยู่ข้างกายด้วยความร้อนรน
ซูหมิงมองเจ้าลิงน้อยแล้วเผยรอยยิ้มบาง เพียงแต่ในรอยยิ้มกลับซ่อนความสับสน ความฝันนั้นเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองแล้ว…
ซูหมิงถอนหายใจยาว โคลงศีรษะ บังคับให้ตนเลิกนึกถึงเรื่องความฝันประหลาด ก่อนก้มหน้าลงมองเศษหินสีดำธรรมดาที่แขวนอยู่ตรงคอ เขาคลำเศษหินแผ่นนั้น ดวงตาทั้งสองข้างค่อยๆ เป็นประกาย
เขาได้สัมผัสด้วยตนเองแล้วว่าเศษหินสีดำแผ่นนี้เปลี่ยนชีวิตเขา จากการหลอมโอสถชำระล้าง ทำให้ระดับความเร็วในการฝึกฝนเพิ่มขึ้นไม่น้อย อีกทั้งยังหลอมโอสถสีแดงสำเร็จได้ด้วยความบังเอิญ จึงทำให้ซูหมิงเป็นฝ่ายรุกเอาชนะการประมือชี้เป็นตายก่อนหน้านี้ไปได้
“จะต้องหลอมโอสถต่อไป…สถานที่พิลึกนั่น ข้าเห็นเพียงประตูหนึ่งบาน แต่ว่าบนประตูกลับมีสิบห้าหลุม ก่อนหน้านี้โอสถไม่พอใช้ข้าจึงลังเล แต่ตอนนี้ข้าอยากรู้แล้วว่า เมื่อส่งโอสถชำระล้างครบสิบห้าเม็ด จะเกิดอะไรขึ้นกับประตูบานนั้น….”
ซูหมิงพึมพำกับตนเอง
“อีกทั้งยังต้องหลอมโอสถโลหิตต่อสักหน่อย โอสถนี้…เป็นอาวุธสังหารของข้า!”
“นอกจากนี้ ข้าต้องกลับเผ่าสักครั้ง ไม่ได้กลับมานานมากแล้ว…หลายปีมานี้ขั้นพลังท่านปู่ยังไม่ก้าวหน้า บางทีโอสถชำระล้างอาจช่วยท่านได้” ซูหมิงยืนขึ้นพลางครุ่นคิด หลังยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย ความเมื่อยล้าได้หายไปเกือบหมดแล้ว
เขาตั้งสมาธิ แล้วเริ่มหมกมุ่นอยู่กับการหลอมสมุนไพรอีกครั้ง ในขณะเดียวกันก็ฝึกฝนเส้นเลือดในกายอยู่ตลอดเวลา เพียงแค่มีบางจุดที่ในยามโคจรโลหิตจะรู้สึกไม่ราบรื่น ไม่คล่องตัวเหมือนก่อนหน้านี้ ซูหมิงเดาว่าคงเป็นเพราะตอนทะลวงพลังลำดับหนึ่ง ร่างกายได้รับความบอบช้ำภายใน เกรงว่าคงไม่ฟื้นตัวในเร็ววันแน่
หนึ่งเดือนผ่านกว่าไป ระหว่างนั้นซูหมิงออกไปข้างนอกหลายครั้ง แล้วยังให้เจ้าลิงน้อยช่วยเก็บสมุนไพรมาให้ โดยเฉพาะสมุนไพรสำหรับการหลอมโอสถโลหิต ซูหมิงไปเก็บมันกลับมาสองต้น เดิมทีเขาอยากได้มากกว่านี้ ทว่ากลับสัมผัสได้ถึงอันตรายจึงเกิดความลังเล และไม่โลภมากอีก
ด้วยสมุนไพรมหาศาลเหล่านี้ ภายในหนึ่งเดือนซูหมิงขะมักเขม้นฝึกรวมโลหิตอย่างหนักจนลืมกินลืมนอน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการหลอมสมุนไพร มีเสียงกลัดกลุ้มดังก้องในถ้ำภูเขาไฟอยู่บ่อยครั้ง
หนึ่งเดือนต่อมายามรุ่งอรุณ ซูหมิงกำชับเจ้าลิงน้อยหลายอย่าง ก่อนลงเขาไปเพียงลำพัง แล้วหายเข้าไปในป่าทึบ
ซูหมิงที่บรรลุถึงลำดับสองในยามนี้พุ่งทะยานวูบวาบบนพื้นหิมะอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันถึงเที่ยงวัน เขาก็ข้ามป่าเขาแล้วมาปรากฏตัวอยู่นอกเผ่าเขาทมิฬเป็นที่เรียบร้อย เขามองเผ่าจากที่ไกลๆ ใบหน้าเผยรอยยิ้ม…
“ไม่ได้กลับมานานแล้ว….” ซูหมิงสาวเท้ายาวไปทางเผ่า ยามนี้เผ่ายังคงเป็นปกติ เด็กหลายคนวิ่งเล่นกันอยู่ และยังมีคนในเผ่าบางส่วนกำลังประมือ คลับคล้ายว่าประลองฝีมือกัน
การกลับมาของซูหมิงเป็นที่สนใจของคนในเผ่าบางส่วน ถึงอย่างไรเขาก็หายจากเผ่าไปนานมาก จึงยิ้มให้และกล่าวทักทาย
“ซูหมิง! เจ้ากลับมาแล้ว หายไปไหนมาตั้งนาน!” ซูหมิงลูบศีรษะเด็กน้อยคนหนึ่ง ขณะกำลังจะเดินไปหาท่านปู่ พลันมีเสียงสดใสดังขึ้นจากด้านหลัง
พอหันกลับไปมอง ก็พบกับชายร่างกำยำดูแข็งแกร่งยิ่งนัก ทว่าใบหน้ากลับค่อนข้างเยาว์วัย ดูอายุยังไม่มาก เขาคือเหลยเฉินนั่นเอง
“หืม!” ซูหมิงมองเหลยเฉินแวบหนึ่ง เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าโลหิตในกายของเหลยเฉินมหาศาลยิ่งนัก แข็งแกร่งกว่านักรบหมานจากเผ่าภูผาดำที่เขาสังหารด้วยโอสถโลหิตหลายเท่า
“ใกล้ทะลวงลำดับสี่ขั้นรวมโลหิตแล้วรึ?” ซูหลิงกล่าวด้วยความตะลึง
เหลยเฉินฉีกยิ้ม เดินมาข้างซูหมิง กระซิบกล่าว
“รู้สึกจะทะลวงในเร็ววันนี้ เหอะเหอะ ท่านปู่ว่าโลหิตหมานในกายข้าบริสุทธิ์นัก หากมีเวลาเพียงพออาจทะลวงสู่ขั้นพลังระดับเดียวกับท่านปู่ได้” ขณะกล่าวแววตาเขาเผยความตื่นเต้น ทว่าไม่นานก็เปลี่ยนเป็นตะลึง เพ่งมองซูหมิงอยู่นาน ดวงตาพลันเบิกกว้างราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเห็น เขาเตรียมจะอ้าปากพูด
“เย็นนี้ไปหาเจ้าค่อยคุยกัน ตอนนี้ข้าต้องไปหาท่านปู่ก่อน” ซูหมิงทราบดีว่าเหลยเฉินจะกล่าวอะไร จึงยิ้มให้ก่อนหมุนตัวเดินไปทางเรือนของท่านปู่
เหลยเฉินมองตามซูหมิง แววตาค้างตะลึงอยู่นาน เกาศีรษะพึมพำกับตนเอง ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ แต่จำได้ว่าต้องไปพบกับซูหมิงค่ำนี้
ใกล้ถึงเรือนท่านปู่ ซูหมิงเปลี่ยนเป็นย่องฝีเท้า สีหน้ากังวลเล็กน้อย ท่านปู่ที่เลี้ยงดูตนมาแต่เล็ก อีกทั้งยังสอนให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ขาด เขาให้ความเคารพเป็นอย่างมาก สำหรับเขาแล้วท่านปู่เป็นดั่งบิดา ความรู้สึกไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้
เขาไม่อยากโกหกท่านปู่ เพียงแต่บางเรื่องเขาไม่อาจบอกได้ทั้งหมด อย่างเช่นเรื่องเศษหินบนคอของเขา….ซูหมิงโตแล้ว เขาสามารถตัดสินด้วยตัวเองได้ ของสิ่งนี้หากผู้อื่นรับรู้ เป็นไปได้มากว่าต้องนำพาภัยพิบัติมาสู่ทั้งชนเผ่า ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียว
เขา…ไม่อาจพูดได้
ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ยืนอยู่นอกเรือนท่านปู่ไม่ได้เข้าไปในทันที เขาพอได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากข้างใน คลับคล้ายว่ามีหลายคนกำลังสนทนากัน
หลังจากรออย่างอดทนอยู่พักหนึ่ง ประตูเรือนท่านปู่ถูกเปิดออก มีชายร่างกำยำสามคนเดินออกมาจากด้านใน รูปร่างสูงใหญ่ดุจดั่งเนินเขา ซูหมิงสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงแรงกดดันมหาศาล ถึงกระทั่งการปรากฏของทั้งสามคนไปกระตุ้นโลหิตของซูหมิง ทำให้เขารู้สึกราวกับหมุนวนอยู่ท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำ
ซูหมิงสูดลมหายใจ ถอยห่างไปหลายก้าว ผู้เดินนำหน้าสุดคือจ้าวเผ่าเขาทมิฬ ก่อนหน้านี้ที่ซูหมิงเห็นเขา ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก ทราบเพียงว่าเขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในเผ่ารองจากท่านปู่
ทว่ายามนี้ ซูหมิงอยู่ในลำดับสองขั้นรวมโลหิต ตอนที่เห็นเขาอีกครั้ง กลับสัมผัสได้เด่นชัดยิ่งกว่าปกติหลายเท่า
ยามเขามองไป โลหิตในกายจ้าวเผ่าผู้นี้ราวกับสะท้านฟ้าสะเทือนดิน โดยเฉพาะลวดลายเลือนรางบนใบหน้า ให้ความรู้สึกน่าสะพรึงยิ่งนัก
ส่วนชายอีกสองคนข้างกาย ซูหมิงก็รู้จักเช่นเดียวกัน ชายร่างกำยำด้านซ้ายอายุราวสี่สิบปี บนใบหน้ามีลวดลายแมงป่องขยับวูบไหวเลือนราง โลหิตในกายมหาศาล พลังเป็นรองจากจ้าวเผ่าเขาทมิฬ
อีกทั้งชายคนนี้ยังมีแขนที่ยาว ด้านหลังแบกคันศรใหญ่ ไม่ทราบว่าเหตุใดตอนซูหมิงเห็นคันศรดังกล่าว ถึงรู้สึกราวกับได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นข้างหูไม่หยุดหย่อน ทำให้เขาอดตื่นกลัวมิได้
ชายคนนี้คือผู้นำกองรักษาการณ์เผ่าเขาทมิฬ!
มันไม่ใช่เพียงชื่อ แต่เป็นคำเรียกขานที่สืบทอดกันมา ทุกชนเผ่าจะมีผู้นำกองรักษาการณ์ได้เพียงหนึ่งเดียว คนที่ใช้คันศรได้เก่งกาจที่สุดในเผ่าเท่านั้นถึงมีสิทธิ์ได้รับคำเรียกขานนี้
คนสุดท้ายอยู่ขวามือจ้าวเผ่าเขาทมิฬ เป็นชายร่างกำยำอายุราวสามสิบปี สีหน้าเรียบเฉย ดูเป็นคนรักสันโดษ ชอบหรี่ตาทั้งสองข้างอยู่บ่อยครั้ง จึงเห็นเพียงแสงในแววตาเล็กน้อย ยากจะเห็นดวงตาทั้งดวง
เขาเป็นผู้นำกลุ่มล่าสัตว์เผ่าเขาทมิฬ รับผิดชอบเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับการล่าสัตว์นอกชนเผ่า นามคือซานเหิน!
ทั้งสามคนนี้ นอกจากท่านปู่แล้วจะว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าก็คงไม่ผิด!
ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก รีบโค้งคำนับด้านข้าง
ยามนี้จ้าวเผ่าเขาทมิฬขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าการสนทนากับท่านปู่ก่อนหน้านี้ไม่ราบรื่นนัก เขาไม่ได้มองซูหมิง แต่เดินเลียบออกไปด้านข้าง
ผู้นำกองรักษาการณ์ที่ถือคันศรด้านข้างมองซูหมิงก่อนยิ้มให้ พยักหน้าและเดินตามจ้าวเผ่าไป ส่วนซานเหินผู้นำกลุ่มล่าสัตว์ เหมือนว่าเขาจะไม่เห็นซูหมิงในสายตา เดินผ่านไปทันที
กระทั่งคนทั้งสามเดินห่างไปไกล แววตาซูหมิงจึงเป็นประกาย แฝงไว้ด้วยความสงสัย ที่เขาสงสัยคือพลังโลหิตในกายของตน แม้แต่เหลยเฉินยังสัมผัสได้ แล้วเหตุใดผู้แข็งแกร่งทั้งสามถึงตรวจไม่พบ
“ข้าช่วยเจ้าปกปิดพลังเอง ยังไม่เข้ามาอีก จะยืนข้างนอกทำไม!”
ขณะซูหมิงกำลังสงสัย น้ำเสียงจริงจังของท่านปู่ดังมาจากในเรือน ซูหมิงก้มหน้าลงพร้อมกับเดินเข้าไปข้างใน
“เจ้ายังรู้จักกลับมานี่” ท่านปู่สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ บนศีรษะยังคงถักเปียหลายเส้น ใบหน้าเหี่ยวย่น ทว่าดวงตากลับเป็นประกาย ขณะกล่าวแม้นน้ำเสียงจริงจัง ทว่าในนัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความปีติ ไม่อาจปกปิดได้
ซูหมิงขานรับหลายครั้ง ก้มหน้าลง ไม่กล้ากล่าวอะไรมาก
“ปีกกล้าขาแข็ง ไม่กลับบ้านหลายเดือน คงจะลืมคนแก่อย่างข้าไปแล้ว หึ เงยหน้าขึ้น มาให้ข้าดูหน่อย” น้ำเสียงท่านปู่แฝงความไม่พอใจ ซูหมิงทำหน้าเหยเกย เงยหน้าขึ้นมองท่านปู่
“ท่านปู่…”
ยังไม่ทันกล่าวจบ เห็นแววตาท่านปู่ที่นั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้าเพ่งสายตามอง ยกมือขวาขึ้นไปจับทางซูหมิง ร่างของเขาขยับไปเบื้องหน้าโดยธรรมชาติ ก่อนถูกมือขวาของท่านปู่กดตรงหน้าอก พลังอ่อนโยนไหลเข้าสู่ร่างซูหมิง เมื่อหลอมรวมเข้ากับโลหิตแล้วจึงเริ่มโคจร พริบตาเดียวบาดแผลภายในหลายจุดที่ไม่ปรากฏก่อนหน้านี้ก็ถูกรักษาจนเป็นปกติ และยังช่วยจัดการภัยแฝงที่ปรากฏขึ้นตอนทะลวงสู่ลำดับสองโดยที่พลังยังไม่เสถียร ด้วยเพราะต้องออกไปสังหารคน
ตอนท่านปู่ชักมือกลับ ซูหมิงสั่นไปทั่งตัว เขาพลันหยิบมีดตัดสมุนไพรออกมากรีดแขนตัวเอง ปรากฏโลหิตสีดำทะลักจากปากแผล ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง
“ขั้นพลังยังไม่เสถียรก็ออกไปเข่นฆ่าแล้ว เจ้าเก่งขึ้นจริงๆ” ท่านปู่มองการกระทำของซูหมิง นัยน์ตาฉายแววชื่นชมยิ่งขึ้น ทว่าปากยังแข็ง กล่าวจบจึงหยิบขวดเล็กสีเขียวเข้มส่งให้ซูหมิง
โลหิตสีดำไหลออกมาจากบาดแผลทั้งหมด ซูหมิงพลันตื่นตัว รีบรับขวดเล็กแล้วเปิดฝาออก ใช้นิ้วจิ้มมาเล็กน้อย ก่อนทามันลงบนปากแผล