ตอนที่ 158 ซู่มิ่ง
ตงฟางหวาเดินกลับไปกลับมาไม่หยุดอยู่หน้าซูหมิง เขาหัวเราะเสียงดังด้วยความดีใจ ต่างจากความตื่นกลัวขณะเข้าใกล้ผู้แข็งแกร่งก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง เขาในยามนี้ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน มีสีหน้าลำพองใจ ดวงตาเปล่งประกาย เผยความลับในใจของเขาออกมาทั้งหมด
“วันนี้ข้าทะลวงสู่ขั้นวิญญาณหมาน ในเมื่อทุกคนมากราบไหว้ เช่นนั้นข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นว่าขั้นวิญญาณหมานสร้างเทวรูปหมานของตัวเองอย่างไร!” ตงฟางหวากล่าวเสียงดัง ยกสองมือขึ้นแล้วสะบัดไปมา
ซูหมิงมองตงฟางหวาเงียบๆ เขาไม่ค่อยเข้าใจบุคคลนี้ ทว่าพอได้ใกล้ชิดในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เขาก็มองออกว่าตงฟางหวาเป็นคนต่ำต้อยที่รอบคอบและปรารถนาจะเป็นผู้แข็งแกร่งเหมือนกับเขา ต่อหน้าผู้อ่อนแอจะชอบความรู้สึกเป็นที่เคารพ
‘สิ่งที่เขาทำอยู่ในตอนนี้คือตัวตนที่แท้จริงของเขา…ทว่าภาพลวงตาที่ข้าเห็นเมื่อครู่มีบางอย่างคล้ายกัน…’ ซูหมิงเงียบงัน มองตงฟางหวาอยู่นานก่อนเบนสายตาไปทางโฉ่วนู่
โฉ่วนู่คุกเข่าลงกับพื้น หอบหายใจแรง มีสีหน้าเหี้ยมเกรียม เขาแผดเสียงคำรามต่ำเหมือนกำลังโกรธแค้นจนคลุ้มคลั่ง แต่ในดวงตาเขากลับแฝงไว้ด้วยความอ่อนแอ ไม่เข้ากับสีหน้าของเขาในยามนี้นัก
“หากการกระทำคือตัวตนที่แท้จริง โฉ่วนู่คนนี้ ในชื่อเขามีคำว่านู่ (โกรธ) อยู่ ไม่รู้ว่าคำนี้มาพร้อมกับตัวเขาตั้งแต่กำเนิดเลยหรือไม่ หากไม่ใช่อย่างนั้น ก็หมายความว่าสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือความโกรธ…เพราะต้องการมากที่สุด ดังนั้นสิ่งที่เขาขาดมากที่สุดคือความโกรธนี่เอง…..” ซูหมิงพึมพำ เขารู้สึกเหมือนเจอเบาะแสอะไรบางอย่าง ทว่ากลับมีม่านบางขวางเอาไว้
“สิ่งที่ข้าต้องการมากที่สุดคืออะไร…” ซูหมิงหลับตาอยู่นาน ก่อนค่อยๆ ลืมตามองหนานเทียน
หนานเทียนยืนนิ่งหลับตา สีหน้าเปลี่ยนไปไม่คงที่ ทั้งลำพองใจ บิดเบี้ยว เคร่งขรึม ยิ้มเยาะ หลากหลายความรู้สึกปะปนเข้าด้วยกัน ทว่าที่มากกว่าคือลำพองใจ
“เขาเป็นคนเจ้าแผนการ ชอบเล่นกลอุบาย…แม้จะรู้จักกับเขาไม่นาน ทว่าจากเรื่องราวต่างๆ ก็พอมองออกว่าเขาเชื่อมั่นในสติปัญญาของตัวเองอย่างมาก เขาคิดเสมอว่าจะควบคุมผู้อื่นให้อยู่ในกำมือได้ และสุดท้ายก็ต้องยอมมาเป็นผู้ติดตามของเขา” ซูหมิงมองหนานเทียน มองสีหน้าของอีกฝ่ายพลางกล่าวกับตัวเองเบาๆ
“และยังมีเขา…..” ซูหมิงมองไปทางเสวียนหลุน
“เขาเป็นคนเหี้ยมโหด ในจุดนี้รู้ได้จากตอนเหอเฟิงบุกโซ่เขาหาน เขาบีบวิญญาณบุพการีของเหอเฟิงจนแหลกละเอียด โหดร้ายอำมหิต ไม่ทันกล่าวอะไรก็จะสังหารอย่างเดียว อีกทั้งเขายังเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้าง อยู่เหนือกว่าขั้นรวมโลหิต ด้วยนิสัยของเขาชีวิตนี้คงสังหารคนมาไม่น้อย…”
ซูหมิงมองสีหน้าของเสวียนหลุน มันเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหดดุจชื่นชอบการสังหาร หลงใหลในการเข่นฆ่า เพียงแต่ว่าภายใต้ความเหี้ยมโหดแฝงไว้ด้วยความจำใจอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าเข้าใจแล้ว…” ซูหมิงกล่าวกับตัวเองด้วยความขมขื่น เดิมทีเขาก็เป็นคนชาญฉลาดยิ่งนัก ทุกอย่างที่ทั้งสี่คนแสดงผ่านสีหน้าและการกระทำหลอมรวมเข้าด้วยกัน เขาย่อมเข้าใจแล้วว่าคำตอบคืออะไร
“สิ่งที่เจ้าโป้ปดมากที่สุด แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่เจ้าขาดมากที่สุด”
“สิ่งที่เจ้าอยากให้คนอื่นรู้ว่าเจ้ามีมากที่สุด แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการมากที่สุด”
“เสวียนหลุนเหี้ยมโหด อำมหิต สังหารจนเป็นนิสัย นี่คือความโอ้อวดของเขาและเป็นสิ่งเขาอยากให้คนอื่นรู้ ทว่าความจริงแล้วมันเป็นสิ่งที่เขาขาดมากที่สุด
บางทีเขาอาจสังหารคนมาไม่น้อย แต่ทำทุกอย่างเพื่อปิดซ่อนความจำใจของเขา เพราะเขารู้สึกไม่ปลอดภัย ในเมื่อเป็นอย่างนั้นเขาจึงใช้การโป้ปดเป็นการสังหาร ต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาชอบสังหาร ได้รู้ถึงนิสัยเหี้ยมโหดของเขา และใช้มันปกปิดความกลัวในจิตใจ
เขาต้องการความเหี้ยมโหด ดังนั้นตอนเขาเห็นความโหดเหี้ยมจะเกิดความกลัวในจิตใจ กระหายในความปลอดภัย ฉะนั้นสีหน้าของเขาเลยแฝงไว้ด้วยความจำใจ”
ซูหมิงกล่าวกับตัวเองด้วยความขมขื่น เขาเข้าใจแล้ว
“สิ่งที่หนานเทียนโป้ปดมากที่สุดคืออยากให้ทุกคนรู้ว่าเขาเป็นคนเจ้าแผนการ เป็นคนฉลาด ความจริงแล้วมันเป็นสิ่งที่เขาขาดมากที่สุด….เขาอยากให้ทุกคนรู้ว่าเขาเป็นคนมีแผนการหยั่งลึก สิ่งนี้อธิบายได้พอดีว่านั่นเป็นสิ่งที่เขากระหายมากที่สุด”
“ในชื่อของโฉ่วนู่มีคำว่า นู่ ท่าทางของเขาโกรธแค้นตลอด เหมือนจะระเบิดได้ทุกเมื่อ นี่เป็นการโป้ปดของเขา อยากให้ทุกคนรู้…..และเป็นความปรารถนาของเขาด้วย เพราะในความเป็นจริงแล้วเขาอ่อนแอยิ่งนัก” ซูหมิงกล่าวพึมพำ มองเห็นความหวาดกลัวในความโกรธแค้นของโฉ่วนู่
“ข้าเข้าใจแล้วจริงๆ ทราบแล้วถึงจิตใจของพวกเขา” ซูหมิงพิงผนังหินด้านข้าง มองเหนือผนังตรงปลายทางพลางยิ้มขมขื่น
“ข้ามักจะเย็นชาเพื่อให้ตัวเองสงบ นี่เป็นสิ่งที่ข้าขาด เป็นสิ่งที่ข้าปรารถนา….ข้าไม่อยากนึกถึงภาพในชนเผ่า จึงใช้ความเย็นชาเพื่อปิดบัง ทว่าแท้จริงแล้วนั่นเป็นความทรงจำที่เปราะบางที่สุดในใจข้า
บางทีข้าอาจเสียความทรงจำบางส่วนไปแล้วจริงๆ…ในภาพที่ข้าเห็นบนเส้นทางโลหิต ดวงตาและคำพูดสุดท้ายพวกนั้น เหตุใดถึงทำให้ข้าตึงเครียด สนใจ และหวาดกลัวนัก…บางทีนี่อาจเป็นส่วนลึกในใจที่ข้าไม่อยากให้ใครพบ….เหมือนกับความหวาดกลัวของเสวียนหลุนและความอ่อนแอของโฉ่วนู่”
“เช่นนั้นสิ่งที่ข้าต้องการมากที่สุดคืออะไร…” ซูหมิงถามตัวเอง ทว่าไม่นานก็ได้คำตอบ เพราะในช่วงที่กล่าว สายตาและคำพูดประโยคนั้นพลันผุดขึ้นในความคิด
‘เจ้าทำให้ข้า…ผิดหวังมาก…’
“ที่แท้นี่ต่างหากคือตัวตนแท้จริงของข้า…เช่นนั้นข้าอยากรู้ว่าสายตาคู่นั้นเป็นของใคร…เหตุใดถึงกล่าวเช่นนั้น…และยังมีความทรงจำที่หายไปของข้า มันคืออะไร
กระทั่ง…หากข้าเสียความทรงจำบางส่วนไปจริงๆ เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีคนมาแก้ไขความทรงจำของข้า…ข้าอยากรู้ว่ามีหรือไม่…..” ซูหมิงหลับตาลง รู้สึกเจ็บปวดในจิตใจและหวาดกลัว สิ่งที่เขากลัวคือภาพความทรงจำของภูเขาทมิฬ จะมีคนมาแก้ไขมันหรือไม่ จะหายไปบางส่วนหรือไม่ กระทั่งมันเป็นของปลอมหรือไม่…
เขาเดินผ่านเส้นทางโลหิตสายนี้แล้วเกิดความรู้สึกเหมือนถูกชะล้าง เหมือนถูกเปลี่ยนแปลงและยกระดับขึ้น ความรู้สึกเช่นนี้ยังคงเลือนราง ทว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ
เวลาผ่านไป ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไร ตงฟางหวายังคงหัวเราะไม่หยุด แต่หลังจากชะงักเหม่อลอยไปชั่วครู่ เขานั่งลงข้างซูหมิงอย่างเงียบๆ ก้มหน้าลง สีหน้าสับสน
โฉ่วนู่ก็หยุดแผดเสียงคำรามเช่นกัน สีหน้าโกรธแค้นหายไปกลายเป็นความว่างเปล่า เขานั่งลงอยู่ด้านข้าง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
หนานเทียนตัวสั่นเทา ค่อยๆ ลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววสับสน ผ่านไปนานความสับสนจึงเลือนหายและแทนที่ด้วยความตื่นกลัว เขาสูดลมหายใจเข้าลึก พลันมองไปทางซูหมิง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นขั้นชำระล้าง ยามนี้เมื่อกลับมาเป็นปกติจึงยังคงจำเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้เล็กน้อย
ในความทรงจำของเขา เขารู้สึกเหมือนว่าในกลุ่มคนเหล่านี้ ซูหมิงดูแปลกไปจากตัวเขา ราวกับซูหมิงยืนอย่างสงบนิ่งมองเขาอยู่ตรงหน้า ตัวเขาในตอนนั้นไม่มีแรงต่อต้านแม้แต่น้อย
หนานเทียนใจสั่น เขาไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ เขาอยากให้ทุกอย่างเป็นเพียงภาพลวงตาของตน ทว่าช่วงที่เขามองซูหมิงก็เห็นอีกฝ่ายลืมตาขึ้น เห็นสายตาที่มองมาทางเขาอย่างสงบนิ่ง ทำให้เขาตัวสั่นเทา
‘เขาเปลี่ยนไปแล้ว…’ หนานเทียนหายใจกระชั้นถี่ เขาบอกไม่ถูกว่าซูหมิงเปลี่ยนไปอย่างไร แต่มันเป็นความรู้สึกที่เด่นชัด ซูหมิงในยามนี้น่ากลัวยิ่งนัก!
ความน่ากลัวมิใช่ขั้นพลังและกลอุบาย เป็นเพียงสายตา ในยามที่หนานเทียนมองไป ภายในดวงตาของซูหมิงแฝงไว้ด้วยความเหนือกว่าบางอย่าง มันมิใช่สิ่งที่จงใจสร้างขึ้น แต่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีคนมองเขาเพียงแวบเดียว แต่กลับทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น เกิดความรู้สึกหวาดหวั่นจนพูดไม่ออก
“มีอะไรรึ?” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา
“ปะ….เปล่า….” เป็นครั้งแรกที่หนานเทียนดูลนลานกับคำพูดของซูหมิง เขารีบกล่าวตอบ
ซูหมิงไม่กล่าว เพียงหลับตาลง
เสวียนหลุนมองซูหมิงด้วยความสับสน เขาได้สติกลับมาพร้อมกับหนานเทียน และเกิดความรู้สึกคล้ายกันอย่างที่สุด รู้สึกว่าในช่วงที่เขาตกอยู่ในสภาพนั้น ซูหมิงยืนมองเขาอย่างสงบนิ่ง
กระทั่งเมื่อครู่สายตาที่ซูหมิงมองหนานเทียน เขาเห็นแล้วจิตใจก็สั่นไหว ลมหายใจกระชั้นถี่เช่นเดียวกัน ทว่าเขายังต่างกับหนานเทียนเล็กน้อย เขาคิดว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจากสภาวะหลังจากได้สติกลับมาเมื่อครู่ มิใช่เพราะซูหมิง แต่เป็นเพราะตัวเขาเอง
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เสวียนหลุนก็ยังคงเลือกเงียบขรึม นั่งขัดสมาธิลงไม่กล่าวสิ่งใด
เวลาค่อยๆ ผ่านไป หนึ่งชั่วยาม สองชั่วยาม…
ปลายทางแห่งนี้ยังคงเงียบสงบ ตงฟางหวากับโฉ่วนู่กลับคืนสู่สภาพเดิม เพียงแต่ความทรงจำประดุจความฝัน ยังคงอยู่ในความคิดไม่เลือนหาย
จนกระทั่งหลายชั่วยามผ่านไป ทันใดนั้นเส้นทางแห่งนี้พลันสั่นสะเทือน มีเสียงระเบิดดังมาไกลจากด้านบน ฝุ่นกระจายตกลงมา เหมือนทางเส้นนี้ใกล้จะถล่มลง
ทุกคนแนบชิดอยู่ข้างผนังหินปลายทาง ยามนี้แสงอ่อนขยับวูบวาบเด่นชัด ราวกับเกิดความไม่เสถียรอย่างรุนแรง เหมือนจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ
เหตุการณ์กะทันหันเช่นนี้ทำให้เสวียนหลุนตื่นตะลึง เพ่งสมาธิมองไป หนานเทียนข้างกายก็มองผนังด้วยสีหน้าจริงจังเช่นเดียวกัน ในใจเกิดความปรารถนา
ผนังหินแห่งนี้เป็นประตูบานหนึ่งที่เชื่อมไปยังแดนนั่งฌานละสังขารหรือที่ปิดด่านฝึกพลังของบรรพบุรุษเขาหาน ประตูบานนี้อยู่มานานหลายร้อยปี ยังไม่เคยเปิดมาก่อน
ผนึกขวางกั้นคนนอกไม่ให้เข้าไป ทว่ายามนี้ด้วยแผนการครั้งใหญ่ของเผ่าเหยียนฉือ ไม่รู้ว่าใช้วิธีการแบบใด ชัดเจนว่าลองทำลายผนึกสำเร็จและเข้าไปในสุสานบรรพบุรุษเขาหานได้
เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเบื้องบน แสงอ่อนบนผนังหินเด่นชัดมากขึ้น ส่องสะท้อนใบหน้าของทุกคน บ้างมืดบ้างสว่าง
โฉ่วนู่ ตงฟางหวา เสวียนหลุน หนานเทียน ทุกคนมองประตูหิน รอคอยวินาทีที่เผ่าเหยียนฉือด้านนอกทำลายผนึก จากนั้นผนึกในที่แห่งนี้ก็จะอ่อนกำลังลงไปด้วย
มีเพียงซูหมิงที่ยังคงหลับตา มิใช่ว่าเขาไม่อยากลืมตา แต่ยามนี้ในความคิดเขามีเสียงแหบพร่าดังก้องขึ้นอีกครั้ง
‘มา…มา…ข้ารอเจ้า…..มานานมาก…’
‘ซู่มิ่ง…’