ตอนที่ 164 ข้าเป็นใคร
หมอกเบาบาง ภาพความทรงจำแล่นผ่านประดุจสายน้ำ พริบตาเดียวภาพความทรงจำคุ้นเคยเหล่านั้นก็ขยับแสงอยู่ตรงหน้า ความทรงจำในช่วงเวลานี้เป็นสิ่งล้ำค่ามากที่สุด เพราะมันเกิดในช่วงเวลาแห่งความเป็นและความตาย เป็นแสงสว่างระหว่างการยึดวิญญาณและถูกยึดวิญญาณ
จิตสำนึกของซูหมิงพร่ามัว ทว่าเขายังคงมองตรงหน้า เขาอยากทราบว่าความทรงจำที่หายไปส่วนนั้นคืออะไรกันแน่…
ขณะกลืนกินจิตสำนึก หานคงมองความทรงจำของซูหมิงเช่นกัน เปลี่ยนร่างกายของซูหมิงให้เป็นร่างแยกของตัวเอง
ภายในความทรงจำ ซูหมิงเห็นภาพซ้ำอีกครั้ง นั่นคือตั้งแต่เหยียบเข้ามาที่นี่จนกระทั่งย้อนกลับไปเมื่อสี่ปีก่อน ตอนนั้นเป็นยามค่ำคืนฝนตก มีเสียงฟ้าร้องดังสนั่น รอยแยกยักษ์ปรากฏทำให้ฟ้าดินแปรเปลี่ยน สายฟ้าหยุดนิ่ง เม็ดฝนหยุดชะงัก
“ตอนนี้แหละ!” จิตสำนึกซูหมิงสั่นไหว พลังของเหอเฟิงทำให้เขาเห็นเพียงเท่านี้ ไม่อาจต้านแรงดูดน่าสะพรึงจากหินลึกลับในร่างกายเขาได้ เลยต้องล้มเลิกไป
แต่ยามนี้เปลี่ยนเป็นหานคง ด้วยแก่นวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าเหอเฟิง ซูหมิงหวังว่ามันจะต่างกัน!
“หืม! กายวิญญาณเจ้ามีอะไรบางอย่าง! นี่มันอะไร!” หานคงพลันกล่าว น้ำเสียงตะลึงและสงสัย กระทั่งแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวและเหลือเชื่อ
“นี่มัน…เป็นไปไม่ได้…”
ในช่วงที่หานคงกล่าว หมอกเบื้องหน้าซูหมิงเลือนหาย ภาพความทรงจำพลันเปลี่ยน ในครั้งนี้ย้อนไปก่อนรอยแยกในค่ำคืนฝนตก
เขาเห็นความมืดมิดไร้พรมแดน ที่น่าแปลกคือแม้เป็นความมืดมิด ซูหมิงก็ยังสัมผัสได้ว่าภายในความมืดมีร่างกายลอยอยู่
ร่างกายดังกล่าวแน่นิ่งหลับตา ซูหมิงเกิดความรู้สึกคุ้นเคยกับตัวบุคคลนั้น เขาทราบดีว่านั่นก็คือตัวเขาเอง
“ในที่สุด…ข้าก็เห็นถึงตรงนี้…ช่วงเวลานี้ข้าหลับใหล ดังนั้นก็เลยไม่มีความทรงจำ…อย่างนี้ไม่ถือว่าเสียความทรงจำ!” ซูหมิงกล่าวพึมพำเบาๆ
ภาพเหมือนแข็งค้างอยู่นาน เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ซูหมิงเกิดลางสังหรณ์ร้าย เขาดูเครียดยิ่งนักราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง
“ความทรงจำหยุดนานขนาดนี้…ผ่านไปกี่ปีกันแน่…”
“สมควรตาย เจ้าสิ่งนี้มันอะไรกัน เจ้าให้ข้ายึดวิญญาณ แต่ข้าจะทำได้อย่างไร!” หานคงกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตะลึง ดังกังวานในจิตสำนึกของซูหมิง หานคงในยามนี้กำลังหดตัวอย่างรวดเร็วในระดับสายตา เหมือนกับว่าในร่างกายเขามีหลุมดำกำลังดูดทุกสิ่ง
ซูหมิงไม่สนใจ เขากำลังมองภาพในหมอกด้วยความสับสน มองความมืดมิดเงียบสงบ นึกไม่ออกว่าในนั้นผ่านกาลเวลามากี่ปี และไม่รู้ด้วยว่าผ่านไปนานเท่าไร
ในช่วงที่น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของหานคงแผ่วเบาลง ความมืดมิดตรงหน้าซูหมิงเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งแรก!
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เริ่มต้นด้วยประโยคเรียบๆ น้ำเสียงแหบพร่า!
“เพราะเหตุใด” ในช่วงที่ได้ยินประโยคดังกล่าว จิตสำนึกของซูหมิงสั่นสะท้านแทบแหลกสลาย ความสับสนในแววตาแทนที่ด้วยความตื่นตะลึง น้ำเสียงคุ้นเคยนั้นเป็นของเขาเอง!
“ข้าพูดประโยคนี้ตั้งแต่เมื่อไร…” ขณะกล่าวพึมพำ เขาเห็นภาพความทรงจำที่ยากจะลืมเลือนที่สุดในชีวิต
ในภาพนั้น เขาเห็นตัวเขาเอง!
เขาเห็นตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางความมืด สองแขนสองขาและศีรษะมีสายโซ่ขนาดยักษ์เชื่อมผ่านร่างกาย ถูกแขวนอยู่ในความว่างเปล่า ส่วนสายโซ่ห้าเส้นยืดยาวไร้พรมแดน ไม่รู้ว่าไปถึงที่แห่งใด
เขาเห็นตัวเองกำลังหลับตา แม้ถูกแขวน แม้บนตัวเต็มไปด้วยโลหิต แต่กลับไม่มีสีหน้าทนกับความเจ็บปวด
“เขา…..คือข้าหรือ…” จิตสำนึกซูหมิงสั่นสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาสังเกตเห็นว่าตัวเขาที่ถูกแขวนด้วยสายโซ่ บนใบหน้าไม่มีรอยแผลเป็นจากตอนภูเขาทมิฬ…
เขาเห็นตัวเองถูกแขวนอยู่กับความว่างเปล่า เบื้องหน้ามีศีรษะยักษ์ขนาดใหญ่เท่ากับตัวเองหนึ่งร้อยคน เส้นผมสีแดง สีหน้าเคร่งขรึมดูเหี้ยมโหด หูทั้งสองข้างมีตุ้มหูกระดูกงู บนหน้าผากมีสัญลักษณ์สายฟ้า กระทั่งบนใบหน้ามีลวดลายจำนวนมากราวกับเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ พร้อมแผ่กลิ่นอายพลังของเผ่าหมาน
ศีรษะยักษ์ลืมตาขึ้น แม้ดวงตามืดสลัว แม้สิ้นไปแล้ว ทว่าในช่วงที่ซูหมิงเห็นศีรษะ กลับเกิดความรู้สึกราวกับเห็นฟ้าดินถล่มทลาย มันเป็นแรงกดดันที่ไม่อาจบรรยายได้
ไม่ว่าใครเมื่ออยู่ต่อหน้าล้วนต้องก้มลงกราบไหว้ขณะตัวสั่นเทา
แต่ถึงอย่างไรมันก็ตายไปแล้ว กระบี่สีแดงน่าสะพรึงทะลวงผ่านกลางศีรษะ ทะลุกระดูก เผยให้เห็นกระบี่ครึ่งท่อนกว่าที่ด้านล่าง
ขณะเดียวกัน ซูหมิงยังเห็นตะปูสีแดงมากกว่าเก้าตัวตอกแน่นลงบนศีรษะนี้
ซูหมิงตะลึงมองศีรษะ มองตัวเองถูกแขวนด้วยสายโซ่อยู่ด้านหน้ามัน เขามองตามสายตาของตัวเอง พบว่าบนด้ามกระบี่ของศีรษะมีเงาคนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่
เงาคนสวมเสื้อตัวใหญ่ มองไม่เห็นใบหน้า ทว่าในช่วงที่ซูหมิงเห็นเขา จิตสำนึกเหมือนถูกแช่แข็งกลายเป็นตึงเครียดและหวาดกลัว
“มันเป็นโชคชะตา เจ้าไม่อาจปฏิเสธ” น้ำเสียงเย็นชาดังแว่วมาไกลๆ กึกก้องอยู่ในความว่างเปล่าไม่เลือนหาย ประดุจผู้คุมกฎมาเยือน ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดทำผิดกฎล้วนต้องถูกลงทัณฑ์
“ตี้…..ตี้เทียน…” เสียงสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวของหานคงดังก้องใน จิตสำนึก
ซูหมิง เขาแบ่งพลังแก่นวิญญาณมาต่อต้านกับแรงดึงดูดรุนแรงในร่างกายซูหมิงมากกว่าครึ่งแล้ว พลังแก่นวิญญาณส่วนน้อยที่เหลืออยู่คือทุกอย่างที่ซูหมิงเห็น
ช่วงที่เห็นศีรษะยักษ์เขาก็เริ่มหวาดกลัว พอเห็นเงาคนบนด้ามกระบี่ของศีรษะและได้ยินเสียงพูด ความหวาดกลัวกลายเป็นเหมือนฝันร้ายของเขา ทำให้เขาหวาดกลัวถึงขีดสุด
“ข้าปฏิเสธ” ซูหมิงเห็นตัวเองที่ถูกแขวนด้วยโซ่ลืมตาขึ้น ดวงตาสงบนิ่งจนน่ากลัว ภายใต้ดวงตา บนใบหน้ามีเส้นเลือดหนึ่งเส้น มันปรากฏอย่างรวดเร็ว นั่นคือรอยแผลเป็นที่เขาปล่อยเอาไว้…และเป็นของฝากจากภูเขาทมิฬ
“เจ้าทำให้ข้า…ผิดหวังมาก…ทว่าเจ้าปฏิเสธการตัดสินใจของข้าไม่ได้” บนด้ามกระบี่ของศีรษะยักษ์ เงาคนเงยหน้าขึ้น ใบหน้ายังคงเลือนราง แต่ดวงตาของเขาเป็นดวงตาเย็นชาไร้เมตตาคู่นั้น
ในช่วงที่ซูหมิงเห็นดวงตาคู่นั้นก็เกิดเสียงระเบิดในจิตสำนึกของเขา รู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกฉีกร่างกาย ทำให้ทุกอย่างที่เขาเห็นพลันแตกกระจายเป็นเศษจำนวนมาก
“ตี้เทียน เจ้าหลอกข้า! เจ้าหลอกข้า…..ข้า…..” ขณะเดียวกัน เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังก้อง มันเป็นเสียงของหานคง น้ำเสียงเบาลงอย่างรวดเร็ว จนท้ายที่สุดแทบหายไปราวกับหมอกควัน
ทุกอย่างหายไปแล้ว เกิดเสียงโครมครามดังต่อเนื่องในความคิดของซูหมิง เหมือนกับสายฟ้านับล้านเส้นผ่าลงไม่หยุดหย่อน ทำให้ทุกอย่างที่เขาเห็นมลายหาย หมอกเบื้องหน้ากลับมาหนาแน่นอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มีเพียงสายตาคู่นั้นราวกับมองทะลุหมอกแห่งความทรงจำตรงมาที่เขา
“เจ้าทำให้ข้า…ผิดหวังมาก…”
ซูหมิงพลันตกตะลึง ลืมตาขึ้น เหงื่ออาบชโลมไปทั้งตัว มีโลหิตไหลมาจากมุมปาก กระทั่งไม่อาจทนรับไหว พ่นโลหิตออกมากองโต
แม้แต่หน้ากากของเขายังถูกแรงปะทะจากโลหิตจนตกไปด้านข้าง เผยให้เห็นใบหน้าสับสนและขาวซีด
ใต้ดวงตาบนใบหน้าเขา รอยแผลเป็นของฝากจากภูเขาทมิฬเป็นสีแดงขึ้น
ซูหมิงออกมาจากโลกใบนั้น ลมหายใจกระชั้นถี่ หอบหายใจแรง ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย สองมือยันพื้นขณะตัวสั่นเทา
“นี่คือส่วนหนึ่งในความทรงจำที่หายไปของข้า…” ผ่านไปนาน ซูหมิงเช็ดคราบโลหิตตรงมุมปาก มองถ้ำหุบเขามืดมิดรอบตัว พลางกล่าวพึมพำเบาๆ
“ข้าถูกลบความทรงจำไปบางส่วนจริงๆ …คนที่ลบความทรงจำข้าจะใช่ตี้เทียนที่หานคงพูดถึงหรือไม่!”
“เขาเป็นใคร มาจากไหน แล้วเกี่ยวอะไรกับข้า…..”
“ในความทรงจำที่หายไป สิ่งที่ข้าปฏิเสธคืออะไร…”
“และยังมีศีรษะนั่น เห็นได้ชัดว่าเป็นของชาวเผ่าหมาน เขาเป็นใคร…” ซูหมิงตัวสั่นเทา เขานึกถึงคำพูดของหนานเทียนที่ว่า เทพหมานรุ่นสองถูกตัดศีรษะ
“เพียงแค่ศีรษะกลับทำให้ข้าเกิดความรู้สึกเหมือนมองเห็นท้องฟ้า…หรือว่าศีรษะนั้นจะเป็นของเทพหมานรุ่นสอง!”
“ตี้เทียน…ตี้เทียน…เสียงร้องโหยหวนก่อนตายของหานคงบอกว่าตี้เทียนหลอกเขา…ตี้เทียนเป็นใครกันแน่…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ สีหน้าสับสนเหมือนดังกระแสน้ำปกคลุมเขาจนมิด
“ข้า…เป็นใคร…..ซู่มิ่งหรือซูหมิง” ซูหมิงพลันเงยหน้า เขาไม่ได้แผดเสียงตะโกน แต่กล่าวพึมพำกับตัวเอง
“ข้าเป็นใคร…” ซูหมิงฝืนยิ้มปวดร้าว เขากำลังหลงทางเหมือนกับสัตว์ป่าที่กำลังบาดเจ็บอยู่เพียงลำพัง เหมือนคนความจำเสื่อมไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นตรงหน้า เหมือนต้นไม้เติบใหญ่ลืมวงปีของตัวเอง…เหมือนกับน้ำกลางฝ่ามือที่หายไปได้ตลอดเวลา
ซูหมิงทรุดเข่าลงกับพื้นราวกับสูญเสียตัวเอง เดิมทีเขาคิดว่าจะได้คำตอบ ทว่าภายในคำตอบกลับมีความสับสนที่ลึกยิ่งกว่า
“นี่คือโชคชะตาหรือ…เหมือนกับก้อนเส้นผมที่ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีปลายทาง…” ซูหมิงหลับตา เขายังไม่เข้าใจ ยังไม่ยอมจากไป และยอมนั่งเงียบๆ อยู่ในนี้เพื่อหาคำตอบ
เขาในยามนี้ไม่สนใจการตายของหานคง
เศษของแก่นวิญญาณของอีกฝ่าย นอกจากส่วนที่ถูกแผ่นหินลึกลับในกายวิญญาณสูบกินไปเล็กน้อยแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่กลายเป็นผลึกโอบล้อมอยู่รอบกายวิญญาณในความคิดเขา ค่อยๆ ถูกสูบเข้าไปทีละน้อย
เขาไม่สนใจกระดูกหมานของขั้นพลังวิญญาณหมานจากในตัวหานคง เพราะการตายของหานคง มันจึงค่อยๆ หลอมรวมกับร่างกายซูหมิง ทำให้โลหิตในร่างกายเขาโคจรด้วยความเร็วน่าสะพรึง…
เหมือนกับที่หานคงบอกไว้ก่อนหน้านี้ หากเจ้าไม่ตาย นั่นก็เป็นวาสนา!