Skip to content

สู่วิถีอสุรา 176

ตอนที่ 176 จิ่วอิง

สตรีผู้นี้ดวงตากลมโต กะพริบเป็นประกายงดงาม ในนั้นแฝงไว้ด้วยความงามอย่างเป็นธรรมชาติ เพียงพอจะทำให้คนมองต้องจิตใจสั่นไหว

“ไม่มีอะไร มีคนแตะของของข้าก็เท่านั้น ทว่าเขาเอาไปมิได้หรอก” ชายหนุ่มเสื้อคลุมดำยิ้มบาง ไม่มองขอบฟ้าอีก แต่วางตัวหมากในมือลง

………

ณ เมืองเขาหาน ข้างปากทางออกชั้นสอง พวกหนานเทียนกำลังมองเต่าดำแบกภูเขาบนท้องฟ้า แต่ละคนล้วนมีสีหน้าจริงจัง ทั้งยังมีความหวาดกลัวซ่อนอยู่ยิ่งกว่า พวกเขาได้ยินเสียงเมื่อครู่ ได้เห็นภาพหมอกคุ้มกันยอดเขาผู่เชียงพังทลายกับตาท่ามกลางเสียงนั้น

“สหายเหลิ่ง คำถามของเจ้าเมื่อครู่ ตอนนี้ได้คำตอบรึยัง…” ผ่านไปนาน หนานเทียนสูดลมหายใจเข้าลึก กล่าวเรียบๆ

เหลิ่งอิ้นเงียบงัน เขาพยักหน้ารับ

“ตอนนั้นซือหม่าซิ่นมาเมืองเขาหานก็เพื่อระฆังเขาหาน…หลังจากสังเกตระฆังเขาหานอยู่หลายวัน เขาก็เคาะเพียงสามครั้ง ดังนั้นต่อให้มีคนได้ยิน ไม่นานก็ลืมเลือน น้อยคนนักจะทราบว่าเขาเคยเคาะระฆังนี้” เสวียนหลุนกล่าวด้วยเสียงแหบอยู่ด้านข้าง

“เคาะระฆังสามครั้ง…ตอนนั้นข้าอยู่กับจ้าวเผ่าเหยียนฉือ เคยเห็นมากับตา” เคอจิ่วซือกล่าวพึมพำเสียงเบา

“เสียงระฆังครั้งแรก ท่านซือหม่ารวมสิบสองเสียงเข้าด้วยกัน ไม่ว่าฟังอย่างไรก็เป็นเสียงเดียว แต่คนที่เห็นกับตามิใช่อย่างนั้น…ตอนนั้นก็มีสัตว์แห่งภูเขาหานปรากฏตัวเหมือนกัน

ทว่ายังไม่ทันรวมตัวสมบูรณ์ก็ถูกเสียงระฆังครั้งที่สองของท่านซือหม่าทำลาย เต่าดำแบกภูเขาก็เช่นกัน ยังไม่ทันก่อร่างสมบูรณ์ก็สลายเพราะเสียงระฆังครั้งที่สาม

ส่วนเสียงระฆังครั้งที่สาม…ท่านซือหม่ากระอักโลหิต แต่ไม่มีสัตว์ร้ายปรากฏ หลังจากนั้นไม่กี่วันเขาก็จากไป”

นัยน์ตาเหลิ่งอิ้นฉายแววประหลาดใจ มองไปทางประตูหินไม่ไกลนัก ภายในดวงตามีความฮึกเหิมเล็กน้อย

“เว้นแต่เจ้าคิดจะบุกโซ่เขาหาน มิเช่นนั้นแล้วอย่าไปลองจะดีกว่า วัตถุนี้สามชนเผ่าทราบดีว่าเป็นสมบัติล้ำค่า…ทว่ามันเป็นของท่านซือหม่าเพียงผู้เดียว” หนานเทียนมองเหลิ่งอิ้นแวบหนึ่งพร้อมกล่าวอย่างสงบนิ่ง

เหลิ่งอิ้นเงียบขรึม ความฮึกเหิมในแววตาค่อยๆ หายไป

ซูหมิงยืนอยู่หน้าระฆังเขาหาน เขามองระฆังนี้ ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เขาตื่นตะลึง และทำให้เขาคาดเดาถึงของสิ่งนี้ในมุมใหม่!

‘ระฆังเขาหานจะต้องเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน! เรื่องนี้แม้แต่เหอเฟิงอาจยังไม่รู้ ทว่ามันอยู่ตรงนี้มานานหลายปี กลับไม่มีใครมาเอามันไป นี่มิใช่เรื่องธรรมดาแล้ว!

มีเพียงคำอธิบายเดียวนั่นคือมันมีจิตวิญญาณ เว้นแต่จะได้รับการยอมรับจากมัน มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางเอามันไปได้…หานชางจื่อเคยบอกว่าตอนนั้นซือหม่าซิ่นมาเมืองเขาหาน ไม่รู้ว่าเขาพบความลับของระฆังนี้หรือไม่…’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย ยามนี้เสียงเมื่อครู่ยังคงดังก้องในความคิดเขา

‘จิ่ว…’ เสียงของระฆังสองครั้งประสานกับเสียงร้องเต่าดำแบกภูเขา กลายเป็นคำๆ นี้ เหมือนกับมีความลับยิ่งใหญ่โอบล้อมความคิดของซูหมิง ทำให้ดวงตาของเขาเปล่งประกายมากขึ้นทุกที

ทันใดนั้น บนยอดเขาผู่เชียงที่หมอกสลายไปกว่าครึ่งมีสายรุ้งลากยาวลงมาอีกเส้น ในสายรุ้งเป็นชายชรา สีหน้าดูเคารพยิ่งนัก ขั้นพลังของเขาคือชำระล้าง ขณะห้อเหยียดลงมา เขาไม่กล้ายืนอยู่กลางอากาศ แต่อยู่บนพื้นห่างจากซูหมิงสิบกว่าจั้ง ก่อนประสานมือคารวะ

“ในนามของจ้าวหมาน ข้าขอมอบตราให้กับท่าน เรื่องก่อนหน้านี้โปรดอย่าถือสา” ขณะชายชรากล่าว เขาวางตราไว้บนพื้น จากนั้นถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนหมุนตัวจากไปทั้งสีหน้าซับซ้อน

ซูหมิงไม่ได้มองตราบนพื้น แต่ยังคงมองระฆังเขาหาน ดวงตาเป็นประกายวูบวาบ เขามองออกว่าจำนวนเสียงของระฆังมิใช่สิ่งที่เป็นตัวกำหนดการยอมรับจากมัน

‘จุดสำคัญของมันคือ…’ แววตาซูหมิงดูขบคิด เขาพอเข้าใจบ้างเล็กน้อย ทว่าก็ยังคลุมเครือบางส่วน

“ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าลองเลย” ขณะซูหมิงกำลังครุ่นคิด พลันมีลำแสงวูบวาบจากประตูหินทางเข้าชั้นสอง คนสี่คนเดินออกมา!

การปรากฏตัวของคนทั้งสี่ ทำให้กลุ่มคนที่กำลังเงียบสงัดพลันส่งเสียงดังฮือฮาอีกครั้ง

“หนานเทียน เสวียนหลุน เคอจิ่วซือ และยังมีเหลิ่งอิ้น นอกจากอวิ๋นจั้งแล้ว ผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างในเมืองเขาหานปรากฏตัวทั้งหมด!”

“เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นพวกเขาทั้งสี่คนพร้อมกัน!”

“เขาคือท่านเหลิ่งอิ้น ก่อนหน้านี้แค่เคยได้ยินชื่อ วันนี้ได้เห็นกับตา ช่างสมคำล่ำลือจริงๆ จุดที่เขายืนอยู่ ต่อให้เป็นหินหลอมเหลวร้อนระอุก็จะกลายเป็นหนาวเยือกในชั่วพริบตา”

ซูหมิงหันกลับไปมองคนทั้งสี่ที่เดินออกมาจากประตูหิน มุมปากใต้เสื้อคลุมดำยกขึ้นยิ้มเล็กน้อย เขาเคยพบกับหนานเทียนและเสวียนหลุนมาก่อน

คนที่กล่าวก่อนหน้านี้ก็คือหนานเทียน

เขามองคนสวมเสื้อคลุมดำปกปิดใบหน้า อีกฝ่ายก้มหน้าลง ทำให้เขามองไม่เห็นรูปลักษณ์ แต่ก็รู้สึกเหมือนว่าเคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน

“คำพูดของเจ้าเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร?” ซูหมิงไม่ยอมเผยตัวตนตอนนี้ นี่ไม่ตรงตามแผนการเข้าสำนักเหมันต์สวรรค์ของเขา จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“ไม่มีอะไร ก็แค่เตือนเท่านั้น เจ้าของระฆังใบนี้คงไม่ปลาบปลื้มนัก”

หนานเทียนพิจารณาซูหมิงอย่างละเอียดแวบหนึ่ง ขมวดคิ้วพลางกล่าวเรียบๆ

ซูหมิงเงียบไปชั่วครู่ ใช้มือขวาคว้าอากาศ ตราของเผ่าผู่เชียงบนพื้นลอยเข้ามาอยู่ในมือเขา ยามนี้เขาได้รับตราของสามชนเผ่าครบแล้ว มีคุณสมบัติในการขึ้นสู่ยอดภูเขาหาน และเลือกบุกโซ่เขาหานของสามชนเผ่า

หนานเทียนยิ้มบางๆ ถอยหลังไปครึ่งก้าวเพื่อเปิดเส้นทางเข้าประตูหิน พวกเคอจิ่วซือก็เช่นกัน

ซูหมิงมองประตูหินบานนั้น เขาทราบว่าหากเดินผ่านประตูบานนี้ไปก็จะขึ้นชั้นสอง และตรงสู่ยอดเขาโดยไร้อุปสรรคขวางกั้น ทว่า…แววตาซูหมิงขยับประกาย มองที่ระฆังเขาหาน

“มีเจ้าของ…แล้วแย่งมิได้รึ!” ซูหมิงกล่าวพึมพำ เขาขยับร่างกายกระโดดขึ้น จากนั้นยกเท้าขวาหมุนตัวเตะใส่ระฆังเขาหาน!

แก๊ง…

แก๊ง…

แก๊ง…

การกระทำของซูหมิงทำให้หนานเทียนหรี่ตาลงเพ่งมอง ดวงตาของเคอจิ่วซือและเหลิ่งอิ้นด้านข้างเปล่งประกาย มีเพียงเสวียนหลุนที่จ้องซูหมิงเขม็ง ราวกับมองออกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“เสียงระฆังดังอีกครั้งแล้ว! ยี่สิบสอง ยี่สิบสาม ยี่สิบสี่…”

“เขาต้องเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างอย่างแน่นอน ทว่าแปลกนัก เสียงระฆังครั้งนี้เหมือนไม่มีความรู้สึกสะเทือนจิตใจเหมือนครั้งก่อน”

“ยี่สิบห้า ยี่สิบหก ยี่สิบเจ็ด…เขาจะเคาะไปอีกเท่าไรกันแน่ แรงสะท้อนกลับรุนแรงยิ่งนัก!” กลุ่มคนส่งเสียงฮือฮา ส่วนใหญ่เริ่มถอยหลัง ระลอกคลื่นแผ่ขยายเป็นวงกว้างหลายชั้นโดยมีซูหมิงและระฆังโบราณเป็นศูนย์กลาง ทำให้แผ่นดินเมืองเขาหานสั่นสะเทือน ทั้งยังทำให้ผู้นำบนยอดเขาสามชนเผ่าล้วนเพ่งสายตามองลงไป

ซูหมิงลอยอยู่กลางอากาศ ช่วงที่กำลังร่วงลงไป เขาพลันเงยหน้าขึ้น ราวกับพบเจอความรู้สึกลึกลับบางอย่าง ก่อนกำหมัดขวาแล้วปล่อยหมัดใส่ระฆังโบราณ

วินาทีที่หมัดกระทบลง มีแรงสะท้อนกลับน่าสะพรึงกระแทกใส่ตัวเขา โลหิตไหลจากมุมปาก ร่างกายตกลงสู่พื้น กระเด็นถอยหลังต่อเนื่องราวแปดก้าว ก่อนกระอักโลหิตกองโต

แก๊ง!

เสียงระฆังดังเป็นครั้งที่ยี่สิบแปด เสียงของมันเกินกว่าก่อนหน้านี้ กระทั่งยังมากกว่าเสียงประสานที่ทำลายหมอกคุ้มกันภูเขาของเผ่าผู่เชียง กลายเป็นเสียงซึ่งแทนที่ทุกสิ่งของฟ้าดินในยามนี้

ทุกคนที่ได้ยินล้วนตื่นตะลึง ตัวสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ไม่ว่าขั้นพลังใดล้วนมีเสียงนี้ดังเด่นชัดในความคิดไปชั่วพริบตา!

เสียงดังกล่าวทำให้เต่าดำแบกภูเขาบนท้องฟ้าแหงนหน้าแผดเสียงร้อง ทั้งตัวมันพลันแหลกสลาย ไม่ใช่เพียงร่าง แต่รวมถึงภูเขาบนหลังของมันด้วย!

เสียงระเบิดพลันดังสนั่นประสานกับเสียงระฆัง ผู้คนจึงแยกไม่ออกว่าเสียงระฆังเป็นเสียงจริงหรือว่าเต็มไปด้วยเสียงที่ปรากฏขึ้นพร้อมกันจนแยกไม่ออก เสียงเหล่านี้ประสานเข้าด้วยกัน ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี เสียงคลุมเครือเหมือนแว่วมาจากกาลเวลาที่ห่างไกลดังขึ้นอีกครั้ง!

“จิ่ว…อิง…” [ 1 ]

ท่ามกลางฟ้าดินมีเพียงเสียงเดียว ขณะมันดังกังวาน ล่องลอย และแผ่ขยาย ทุกคนที่ได้ยินล้วนมีสีหน้าเหม่อลอยราวกับขาดสติ เหมือนกับว่าในยามนี้สติของพวกเขาถูกเสียงดังกล่าวสูบกิน

เหยียนหลวนเป็นเช่นนี้ จ้าวหมานบูรพาสงบก็เป็นเช่นนี้ ทุกคนล้วนเป็นเช่นเดียวกัน!

ความรู้สึกของซูหมิงชัดเจนที่สุด มีเสียงโครมครามดังในความคิดเขาจนขาวโพลน ก่อนพบว่าในหัวเขามีระฆังยักษ์ลอยขึ้น ระฆังนี้ก็คือระฆังเขาหาน!

เสียงระฆังเข้ามาแทนที่เสียงระเบิด ดังกังวานในความคิดซูหมิง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรกว่าเขาจะค่อยๆ ได้สติกลับมา ยามที่ได้สติเขาก็ยังคงได้ยินเสียงระฆังที่กึกก้อง และพบว่าทุกคนรอบตัวเขาล้วนยืนเหม่อลอย

ซูหมิงหายใจกระชั้นถี่ เขาเหมือนเกิดความรู้สึกบางอย่าง จึงพลันแหงนหน้ามองท้องฟ้า ยามนี้พบว่ามีเงาสัตว์ร้ายตัวหนึ่งปรากฏในสายตาของเขาอย่างชัดเจน!

มันเป็นสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ ลักษณะของมันยังคงเลือนราง แต่เห็นได้ชัดว่ามีเก้าศีรษะ แต่ละศีรษะของมันแตกต่างกัน เหมือนมังกร เหมือนงู ทั้งยังเหมือนใบหน้าคน ดูพิลึกยิ่งนัก ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก เขาพบว่าบนศีรษะทั้งเก้าของมันมีหกศีรษะกำลังหลับตาอยู่ เปิดดวงตาเพียงสามศีรษะ!

ศีรษะที่ลืมตาทั้งสาม ในนั้นมีหนึ่งศีรษะกำลังมองตัวเขาอย่างอ่อนโยน ภายในดวงตาสองข้าง ซูหมิงเห็นชัดว่ามีเงาของตัวเองอยู่

ทว่าอีกสองศีรษะกลับกำลังมองเขาด้วยทีท่ายโสเย็นชา ในดวงตาของพวกมัน ซูหมิงเห็นเงาคนใบหน้าหล่อเหลาสวมเสื้อคลุมดำ!

ขณะเดียวกัน ใต้ภูเขาเจ็ดสีห่างจากเมืองเขาหานไปไกลโข ชายรูปงามสวมเสื้อคลุมดำวางหมากสีขาวในมือลง

“พี่ใหญ่ซือหม่า ท่านแพ้กระดานนี้แน่” เด็กสาวหัวเราะอย่างมีความสุขและประหลาดใจ เสียงหัวเราะราวกับเสียงกระดิ่งเงิน เสนาะหูยิ่งนัก นางรีบวางหมากสีดำในมือลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ

“แพ้อย่างนั้นหรือ…” ชายเสื้อคลุมดำยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มของเขาอ่อนโยนยิ่งนัก ทว่าเด็กสาวกลับมองไม่เห็นความเย็นชาในแววตา เสียงพึมพำของเขา เด็กสาวก็ไม่ได้ยิน

“มันก็ไม่แน่หรอก”

…………………………

[ 1 ] จิ่วอิง แปลตรงตัวคือเก้าทารก หมายถึงสัตว์ในตำนานของจีนโบราณ มีเสียงร้องเหมือนเด็กทารก มีเก้าหัว สามารถพ่นน้ำพ่นไฟได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!