ตอนที่ 180 ความลับโซ่เขาหาน
เวลาผ่านไปครึ่งวัน ยามนี้เป็นเวลาบ่าย เดิมทีแสงตะวันอ่อนนุ่มควรจะสาดส่องจนร้อนระอุ ทว่ากลับถูกเมฆดำหนาปกคลุมจนมิด ฝนยังคงตกหนัก ลมพายุโหมกระหน่ำเป็นลูกคลื่นพัดผ่านเทือกเขา
แม้พายุฝนยังคงอยู่ ทว่าไม่อาจขวางสายตาของผู้คนในเมืองเขาหาน พวกเขาสวมเสื้อกันฝนใส่งอบคลุมศีรษะ มองซูหมิงบนโซ่เหล็กแกว่งไกวท่ามกลางลมพายุตลอดเวลา!
แม้ลมพายุรุนแรง สายฝนเหมือนน้ำตก แต่กลับไม่ส่งผลกระทบต่อพวกเขา คนที่เคาะระฆังเขาหานได้ยี่สิบกว่าครั้ง เดินผ่านเสาหินห้าต้นล้วนพังทลาย และขณะนี้กำลังเดินอยู่บนโซ่ส่วนที่หก บุคคลนี้ เหตุการณ์ครั้งนี้ หากกล่าวว่าพันปีพบเห็นได้ครั้งหนึ่งคงเกินจริงไปหน่อย แต่ถ้าเป็นหลายร้อยปีพบเห็นได้ครั้งหนึ่งก็ไม่เพียงพอจะพรรณนา
“โซ่เหล็กส่วนที่หก เจ้าดูจังหวะก้าวเขาช้าลงแล้ว โซ่ส่วนนี้จะต้องมีบางอย่างแปลกไปอย่างแน่นอน!”
“น่าเสียดายผู้พิชิตโซ่เขาหานไม่มีใครกล่าวถึงความลับของมัน คนที่ไม่ผ่านส่วนใหญ่ก็ตายตก ต่อให้โชคดีไม่ตาย ก็เงียบไม่ยอมพูดอะไรเลย…นี่ยิ่งทำให้คนสงสัยว่าเหตุใดโซ่เขาหานจึงยากนัก”
“หืม เขาหยุดแล้ว!”
เสียงสนทนาดังอื้ออึง ทุกสายตาจับจ้องซูหมิงผ่านม่านฝน แม้แต่พวกหนานเทียนยังมองไปด้วยสีหน้าจริงจัง ดวงตาเป็นประกาย
บนโซ่เหล็กแกว่งไกว ซูหมิงหยุดเดิน แต่นั่งขัดสมาธิบนโซ่เขาหานแทน ร่างกายเขาเหมือนติดกับโซ่เส้นนี้ แกว่งไกวตามไปมา ลมหายใจกระชั้นถี่ ดวงตามันวาวจ้องโซ่เหล็ก โซ่เหล็กเส้นนี้ถูกสายฝนชะล้าง กระทั่งมีบางแห่งมองเห็นคราบสนิม เห็นได้ชัดว่าอยู่มานานเหมือนกับคำเล่าขาน
‘สิ่งที่ทำให้เกิดแรงกดดันของกระแสกาลเวลามิได้มาจากโลกใบนี้ ไม่ใช่เผ่าผู่เชียง และไม่ใช่เสาหินที่ข้าเพิ่งทำลายไปเหล่านั้น…แต่เป็นโซ่เหล็กเส้นนี้!’ เดินมาถึงตรงนี้ ความรู้สึกถึงแรงกดดันของกระแสกาลเวลาเด่นชัดมากขึ้น ซูหมิงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังชีวิตของเขาเหมือนจะถูกโซ่เหล็กสูบเข้าไปทีละนิด การสูบกลืนไม่เร็วมาก ทว่ายิ่งเดินหน้า ความเร็วจะยิ่งเพิ่มขึ้น
ยามนี้ซูหมิงยังคงต้านทานไหว ถึงอย่างไรเขาก็มีเส้นเลือดเก้าร้อยเจ็ดสิบเก้าเส้น เส้นเลือดไหลเวียนโลหิตไปทั้งตัว มอบพลังโลหิตมหาศาลให้แก่ร่างกายเขา การโคจรพลังโลหิตก็เป็นส่วนหนึ่งของพลังชีวิต สามารถเติมเต็มส่วนที่ถูกสูบกินไป
ทว่า…ซูหมิงมองโซ่เหล็กยาวเหยียดตรงหน้า
‘ตอนนี้ข้าเดินได้แค่ส่วนที่หก ทางข้างหน้ายังอีกไกล…นี่มันโซ่บ้าอะไรกันแน่! เหตุใดมันถึงมีพลังน่าสะพรึงเช่นนี้…มันสูบพลังชีวิตแล้วอย่างไร!’ ซูหมิงนั่งขัดสมาธิลง นั่นก็เพราะโซ่เหล็กตรงหน้าเขาบางจุดมีสนิมเขรอะชัดเจน สายฝนชะล้างผ่าน กระทั่งมีสนิมหลุดร่วงไปบ้างเล็กน้อย
ข้างหูได้ยินเสียงสายลมพัดผ่าน กระทบร่างกาย สายฝนโหมกระหน่ำ ทั้งยังมีฟ้าผ่าลงมาอย่างต่อเนื่อง บ้างเป็นประกายสายฟ้าวูบวาบ ด้านล่างซูหมิงเป็นเหวลึกมองไม่เห็นก้น สายฝนตกลงไปในเหวลึก ในช่วงที่ก้มหน้ามอง ภาพที่เห็นเหมือนกับลูกศรนับหมื่นถูกยิงออกไปพร้อมกัน
ซูหมิงปรับลมหายใจจนเป็นปกติ ก่อนใช้มือขวากดไปบนโซ่เหล็กบริเวณสนิมเขรอะตรงหน้า ในช่วงที่นิ้วของเขาสัมผัสกับคราบสนิม ใบหน้าเขาค่อยๆ ขาวซีด นิ้วชี้มือขวาเป็นสีขาวอย่างรวดเร็ว มิใช่ว่าโลหิตเขาถูกสูบกิน แต่เป็นพลังชีวิตจากอวัยวะในร่างกายที่ถูกกระตุ้นด้วยการโคจรโลหิตต่างหากที่ค่อยๆ ถูกสูบไป
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ซูหมิงนั่งอยู่นาน มือขวายังคงวางอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้พลังชีวิตถูกสูบไปอย่างอิสระ ไม่นานผู้คนในเมืองเขาหานเริ่มสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ แต่พวกเขาก็ไม่ทราบสาเหตุ ได้แต่คาดเดาเท่านั้น
“หรือว่าเขาจะหมดแรง? นี่ผ่านไปหนึ่งก้านธูปแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าจะยืนขึ้นเลย”
“ดูท่าโซ่ส่วนที่หกจะเป็นสุดทางของเขาแล้ว น่าเสียดาย…น่าเสียดาย……”
“บุกถึงส่วนที่หกก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว ถึงอย่างไรโซ่เขาหานจะมาเทียบกับระฆังโบราณมิได้ การบุกโซ่เขาหานมีอันตรายถึงชีวิตอยู่ ข้าเดาว่าตอนนี้เขากำลังลังเลอยู่ว่าจะเดินต่อดีหรือไม่…….”
“เขามีทางถอยด้วยหรือ? เขาทำลายเสาหินด้านหลังหมดแล้ว จะกลับก็คงยาก…..”
เสียงสนทนาดังขึ้นท่ามกลางพายุฝน การกระทำของซูหมิงเป็นที่ดึงดูดสายตาและจิตใจของผู้คนจำนวนมาก
“บางทีเขาอาจไม่คิดจะยอมแพ้ตั้งแต่ทำลายเสาหินต้นแรกแล้ว….” หนานเทียนมองซูหมิงบนโซ่เหล็กพลางกล่าวพึมพำกับตัวเอง
ผ่านไปอีกชั่วครู่ ดวงตาซูหมิงพลันเป็นประกาย ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น จ้องโซ่เหล็กบริเวณนั้น หรี่ตาลงช้าๆ
‘เป็นอย่างที่ข้าคิดเอาไว้จริงๆ โซ่เส้นนี้สูบพลังชีวิตก็เพื่อฟื้นฟูตัวเอง’ ในสายตาซูหมิง ตรงส่วนสนิมเขรอะ ยามนี้ฟื้นฟูกลับมา อีกทั้งยังมีบางจุดกลับมามันวาวดังเดิม!
‘โซ่เขาหานสร้างโดยบรรพบุรุษเขาหาน…เขาเป็นคนจากต่างแดน มาแดนหมานและสร้างเผ่าเขาหาน ก็พอเข้าใจได้ว่าเพื่อสร้างแหล่งพักพิงให้ตัวเอง ทว่า เหตุใดเขาถึงสร้างโซ่เขาหาน! เป้าหมายที่แท้จริงของเขาคืออะไร…โซ่เขาหานนี้เป็นเขาที่สร้างขึ้นเองหรือว่าเจอในแดนหมาน บางที…อาจเป็นของที่เขานำติดตัวมา…’
ซูหมิงเคยพบหานคง กระทั่งกล่าวได้ว่าการตายของหานคงเกี่ยวกับเขาโดยตรง จะบอกว่าหานคงตายในมือเขาคงไม่โอ้อวดเกินไป และด้วยเหตุนี้ซูหมิงจึงคิดเชื่อมโยงถึงการคาดเดาที่หลายคนมองข้าม
การหยุดชะงักของเขา คนที่สนใจมิได้มีเพียงผู้คนในเขาหานและพวกหนานเทียนเท่านั้น แม้แต่สามชนเผ่าก็ด้วย บนยอดเขาเหยียนฉือ หญิงชรามองอยู่ไกลๆ ขมวดคิ้ว
“เขาแย่งระฆังเขาหานกับซือหม่าซิ่นได้ หากบอกว่ามาได้แค่โซ่ส่วนหก ข้าคงไม่เชื่อ” เหยียนหลวนข้างกายกล่าวเบาๆ
“เขากำลังไตร่ตรองโซ่เส้นนั้นอยู่ เหมือนตอนนั้นที่พวกเราเคยไตร่ตรองถึงปัญหานี้” หญิงชราเงียบไปครู่หนึ่ง นางกล่าวเรียบๆ
ณ ยอดเขาบูรพาสงบ พวกจ้าวหมานกำลังนั่งขัดสมาธิ ขณะกำลังสับสนกับการกระทำของซูหมิง เงาหานชางจื่อปรากฏตรงขั้นบันไดภูเขาด้านข้าง นางเดินเข้ามาโดยไม่สนใจผู้อื่น แต่ยืนอยู่ตรงขอบภูเขา มองเมืองเขาหานไกลๆ ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
ยอดเขาผู่เชียงยังคงเงียบสงัด ทุกสายตามองไปทางซูหมิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ไกลๆ ในแววตาเหล่านั้นมีความเคร่งขรึมและสงสัย
‘เขากำลังทำอะไร?’ นี่เป็นความคิดของเกือบทุกคนตรงนี้
‘โซ่เขาหานคืออะไรกันแน่…’ ซูหมิงก้มหน้ามองความมืดมิดในเหวลึกเบื้องล่าง มันดูเหมือนกับปากสัตว์ป่าขนาดใหญ่กำลังรอกลืนกินคนที่ตกลงไป
ก้นเหวลึก ซูหมิงทราบว่ามันคือที่ไหน และเพราะรู้ เขาจึงเกิดความสงสัย
ผ่านไปนาน ซูหมิงค่อยๆ ยันกายขึ้น แล้วมุ่งหน้าเดินต่อไปทางเสาหินต้นที่หก ในช่วงที่เขาเคลื่อนไหว พลันเกิดเสียงดังเกรียวกราวในเมืองเขาหาน ทุกคนมองซูหมิงตลอดเวลา เมื่อเห็นซูหมิงเคลื่อนไหวจึงเกิดเป็นเสียงสนทนาดังขึ้น
“เขายืนแล้ว!”
“รอตั้งนานในที่สุดก็เดินต่อ ทว่าข้าแปลกใจนัก เหตุใดเมื่อครู่เขาถึงหยุด?”
ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกเดินต่อไปทีละก้าว จังหวะก้าวของเขาช้าลงมาก ทุกก้าวแม้ยังคงเหยียบบนโซ่เหล็ก ทว่าทุกครั้งที่สัมผัสกับโซ่เหล็ก พลังชีวิตในร่างกายจะถูกสูบ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกไม่สบายตัวและเริ่มอ่อนแรงลง
ในความคิดเขา นี่มิใช่การเดินอยู่บนโซ่เขาหานแล้ว แต่เป็นการเดินอยู่ในกาลเวลาและชีวิตของมนุษย์ ทุกก้าวล้วนเหมือนชีวิตคนหนึ่งส่วน ความรู้สึกนี้คนอื่นยากจะเข้าใจ มีแต่ต้องอยู่ในกระแสกาลเวลาเองเท่านั้น โซ่เขาหานเส้นนี้ ทำให้กาลเวลาลดน้อยลง ทำให้ความเศร้าโศกมาถึงก่อนล่วงหน้า
ยามโพล้เพล้ ชั้นเมฆยังคงอยู่ ทว่าสายฝนกลับลดน้อยลงไปมาก มิใช่ลมพายุฝนคลั่งอีก แต่มีความอบอุ่นของยามบ่าย ในที่สุดซูหมิงก็เดินมาถึงปลายโซ่ส่วนที่หก ห่างจากตรงหน้าเขาไปสิบจั้งคือเสาต้นที่หก
ซูหมิงในยามนี้ใบหน้าขาวซีด แม้โคจรพลังโลหิตเพื่อกระตุ้นพลังชีวิตตลอดเวลาก็ตาม แต่ระหว่างทาง แรงสูบพลังชีวิตรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ไม่มีความสมดุล เขารู้สึกได้ว่าโซ่เส้นนี้เหมือนกับกำลังคำรามอย่างตื่นเต้น และสูบพลังชีวิตของเขาเพื่อมาเสริมพลังตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ระยะห่างเพียงสิบจั้ง ซูหมิงใช้เวลาหนึ่งก้านธูปจนค่อยๆ เดินผ่านไป ในช่วงที่เขาเหยียบบนเสาหินต้นที่หก เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วนั่งขัดสมาธิลง มองโซ่ส่วนที่เจ็ดแปดและเก้าตรงหน้า มองยอดเขาผู่เชียงเชื่อมกับโซ่ส่วนที่เก้า
ทางเส้นนี้ดูเหมือนใกล้ ทว่าเขากลับรู้สึกว่ามันไกลยิ่งนัก อีกสามส่วนหลังจากนี้เขาพอจินตนาการระดับความยากของมันได้ คงมากกว่าก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน
“ข้ารู้สึกคุ้นกับโซ่พวกนี้…” ซูหมิงหลับตากล่าวพึมพำ เขากดความรู้สึกนี้ไว้ในก้นบึ้งหัวใจตลอด จนกระทั่งหลังจากคำถามและการคาดเดาต่างๆ ทยอยกันออกมาและเชื่อมโยงไปถึงหานคง มันก็ผุดขึ้นในความคิดเขาหลายต่อหลายครั้ง
ในช่วงที่ซูหมิงเหยียบบนเสาต้นที่หก ชาวเมืองเขาหานพลันเกิดระลอกคลื่นฮือฮา
“เสาหินต้นที่หกเป็นจุดเริ่มต้นของโซ่ส่วนที่เจ็ด!”
“เขาจะเดินจนครบโซ่ส่วนที่เจ็ดเลยหรือไม่…”
“ข้าว่าก็ไม่แน่ เขาเหนื่อยล้ากับโซ่ส่วนที่หกแล้ว เกรงว่าคงเดินไม่ครบโซ่ส่วนที่เจ็ด…”
“ตามที่ข้ารู้มา ก่อนหน้านี้มีผู้บุกโซ่เขาหานบางส่วนล้มเหลวตรงโซ่ส่วนที่เจ็ด…ส่วนนี้เหมือนว่าจะแตกต่างกับส่วนอื่นๆ ก่อนหน้านี้!”
ในช่วงที่เสียงสนทนาดังสนั่น ซูหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิจนกระทั่งฟ้ามืดลง ดวงจันทร์ปรากฏเลือนรางกลางชั้นเมฆ เขาพลันลืมตาขึ้น
“ค่ำคืนดวงจันทร์มาแล้ว…” ซูหมิงกล่าวพึมพำ