ตอนที่ 202 ที่แท้เป็นข้าที่กำลังถอนหายใจ
“เด็กผู้นี้สัมผัสถึงลายหมานที่สองได้จริงๆ !” ท่ามกลางหิมะลอยล่องบนท้องฟ้า ชายชราสูดลมหายใจเข้าลึก สายตาที่มองแผ่นดินมีแววเฝ้ารอคอย
“ลายหมานเส้นแรกเป็นลวดลายฟ้า เส้นที่สองเป็นหิมะ หิมะตกจากท้องฟ้ากลับคืนแผ่นดิน มันอยู่ระหว่างฟ้าและดิน ลวดลายนี้…หายากยิ่งนัก!”
“ลายของเผ่าหมานเชื่อมต่อกับกายและวิญญาณ หากไม่บรรจงสร้างเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่ก็ล้วนธรรมดา ลายหมานแรกของเด็กคนนี้คือดวงจันทร์ ดวงจันทร์นั้นมิใช่น้ำแข็งแต่เป็นเพลิง เห็นได้ชัดว่าจันทร์เพลิงส่งผลต่อชีวิตเขาอย่างมาก! ฉะนั้นในวาระแห่งการชำระล้าง เขาถึงได้เกิดปฏิกิริยาเช่นนี้…และปรากฏจันทร์เพลิง
ส่วนหิมะโปรยปรายที่น่าจะเป็นลายหมานที่สอง….นี่มิใช่ว่าจะปรากฏออกมาเองได้ ในนั้น…..ในนั้น…ยังมีอีกความรู้สึกหนึ่ง…”
ชายชรากล่าวพึมพำ นัยน์ตาพลันเป็นประกาย มองเงาสองคนวูบวาบท่ามกลางหิมะ มองพวกเขากำลังจูงมือกันราวเดินอยู่ท่ามกลางลมพายุหิมะชั่วนิรันดร์
“เพราะโชคจึงเกิดลายดวงจันทร์ เพราะรักจึงเกิดลายหิมะ…เด็กคนนี้ตรงกับความต้องการของข้า หากเป็นศิษย์ของข้า…จะเป็นโชคของข้าเทียนเสียจื่อ และเป็นวาสนาของเขา!” ชายชราสูดลมหายใจเข้าลึก ยกมือขวากดตรงระหว่างคิ้ว สีหน้าเคร่งขรึมอย่างยิ่ง
“วิชาพันบรรพกาลสร้างหนึ่งผสานอยู่ในความคิดชำระล้างของเขามิได้อีกแล้ว ช่างเถอะ เขามีค่าพอให้ข้าปลดพันธนาการตัวเอง!” ชายชรากล่าวพึมพำเบาๆ นิ้วชี้มือขวาที่กดอยู่ตรงระหว่างคิ้ว ก่อนพลันขยับแสงสีคราม แสงนั้นครอบคลุมรอบตัวเขา ทำให้ทะเลโลหิตด้านหลังกลายเป็นทะเลโลหิตครามในชั่วพริบตา แม้แต่รูปปั้นหินภายในยังเปล่งแสงสีครามน่าอัศจรรย์
ท่ามกลางแสงสีคราม เกล็ดหิมะโปรยรอบตัวถูกย้อมสีไปไม่น้อย ชายชราพลันยกมือขวาชี้ไปทางผืนแผ่นดิน
“อักขระหมานโบราณ พันสามร้อยบรรพกาลสร้างหนึ่ง! เขอ (คาง) ซาน (วัว) เต้า (ต้นไม้)!” ชายชราคำรามเสียงต่ำ กล่าวจบฟ้าดินสั่นสะเทือนเหมือนมีภาพมายาฟ้าดินปรากฏ ทำให้ภายในขอบเขตหลายร้อยลี้ราวกับเกิดเงาซ้อนทับบิดเบี้ยว
พลังมหาศาลปล่อยมาจากตัวชายชรา บนใบหน้าเขาปรากฏเป็นรูปสัญลักษณ์พิลึก มันเป็นภาพประหลาดสามอย่าง!
ภาพที่หนึ่งวาดอยู่ใต้คางของเขา เป็นแผ่นเหมือนกระดองเต่าที่เต็มไปด้วยแสงคราม
ภาพที่สองเป็นศีรษะวัวเพศผู้สองเขา ปรากฏอยู่ตรงระหว่างคิ้วของชายชรา
ภาพที่สามเป็นต้นไม้แก่แห้งเหี่ยว พาดบนใบหน้าของชายชรา ทำให้ใบหน้าของเขาดูน่าสะพรึงกลัว
ภายในทุกภาพล้วนมีกระบี่เล่มหนึ่งเสียบทะลุ ตัวกระบี่สามเล่มเป็นสีอ่อนทึบ ทว่าตอนนี้กลับมีเล่มหนึ่งเปล่งแสงสีครามสุกสกาว
ภายในถ้ำภูเขาที่ถูกหิมะปกคลุมจนหนา ซูหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิ รอบตัวเขามีน้ำแข็งค้างเกาะเป็นแผ่น อีกทั้งโดยรอบยังมีผลึกน้ำแข็งแผ่ขยายเป็นชั้น เขานั่งอย่างสงบนิ่ง มีเพียงสีหน้าเหงาและโดดเดี่ยว
โลกที่ซูหมิงเห็นเวลานี้หายไปพร้อมกับทะเลสาบ แทนที่ด้วยกระจกน้ำแข็งบานยักษ์ เขายืนอยู่หน้ากระจกมองเงาของตัวเองที่สะท้อนจากด้านใน ขณะกำลังมองเขาได้ยินเสียงเรียกแผ่วเบา มันราวกับม้วนวิญญาณของเขาขึ้น ทำให้จิตสำนึกของเขาค่อยๆ หลอมรวมเข้าไปในกระจก….
ช่วงที่เขาได้สติกลับมา สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือแดนหิมะอ้างว้าง โดยรอบขมุกขมัวให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับซูหมิง มันต่างจากดวงจันทร์กลางทะเลสาบที่เห็นก่อนหน้านี้ เขาเห็นตัวเขาราวกับมิได้อยู่ในโลกมายาของกระจก แต่เป็นของจริง
ท่ามกลางหิมะ ซูหมิงเดินหน้าอย่างสุขุมด้วยความสับสน หิมะตกหนักปกคลุมทั่วผืนฟ้า ทำให้เขามองไม่เห็นดาราในยามค่ำคืน เห็นเพียงม่านหิมะที่แทบจะเชื่อมหากันตรงหน้าบดบังทัศนวิสัย
ซูหมิงมองหิมะแล้วเดินอย่างเงียบๆ เขาเริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงช่วงที่เสียงหัวเราะน่ารักปานกระดิ่งเงินดังแว่วมาไกลๆ เขาพลันเงยหน้ามองไปทางที่มาของเสียง
“นี่มัน….” ซูหมิงจิตใจสั่นไหว เขาพลันกระทืบเท้าลงพื้น ขณะน้ำหิมะกระเซ็นรอบตัว เขาลอยขึ้นกลางอากาศ ท่ามกลางลมพายุหิมะเขาเห็นเมืองขนาดไม่ใหญ่นักอยู่ไกลๆ เหมือนกับสัตว์ร้ายกำลังนอนหมอบจำศีลอยู่ในค่ำคืนมืดมิด…
“ร่องลม….เมืองหินโคลน….”
ด้านหลังเมืองซูหมิงเห็นระลอกคลื่นไร้รูปจำนวนมากแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ภายในระลอกคลื่นมีภูเขาถูกผนึกอยู่ลูกหนึ่ง เห็นถึงตรงนี้ตัวเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง ค่อยๆ หมุนตัวกลับมองไปอีกทาง
ตรงนั้นเป็นป่าทึบ ด้วยความสูงระดับนี้เขาเห็นด้านหลังป่าทึบอ้างว้างรางๆ ว่ามีภูเขาสูงเป็นห้ายอดเขาประดุจนิ้วมืออยู่ลูกหนึ่ง!
“ภูเขาทมิฬ….”
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไร จนกระทั่งเสียงหัวเราะปานกระดิ่งเงินดังขึ้นอีกครั้งและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ซูหมิงจึงได้สติกลับมา บนใบหน้าของเขามีคราบน้ำตาสองสายตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ
“นี่ข้ากลับบ้านแล้วหรือ….” ซูหมิงก้มหน้าลงด้วยความขมขื่น มองแอ่งน้ำหิมะบนพื้น มีเด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข
ด้านหลังของเด็กสาว ซูหมิงเห็นเด็กหนุ่มทึ่มทื่อคนหนึ่งกำลังไล่ตามอย่างไม่ยอมแพ้ ใบหน้าของเขามีความสุข เสียงหัวเราะดังก้องดูไม่มีสิ่งใดต้องเป็นกังวล จนกระทั่งเด็กหนุ่มตามทันและเล่นกับเด็กสาวบนพื้นหิมะ….
ซูหมิงมองทุกอย่างเงียบๆ เขาเห็นความไร้เดียงสาของเด็กหนุ่ม เห็นความไร้กังวลของเด็กหนุ่ม เห็นนัยน์ตาเป็นประกายของเด็กหนุ่มและใบหน้าที่ไม่มีรอยแผลเป็น
เขามองเด็กสาวคนนั้นเช่นกัน เด็กสาวที่เต็มไปด้วยความงามอย่างเป็นธรรมชาติ ดวงตาโตเป็นประกายฉับพลันแฝงไว้ด้วยความฝันชวนหลงใหล
“ความฝันหรือ…” ซูหมิงเจ็บปวดหัวใจ เขาค่อยๆ ลอยลงสู่พื้นยืนอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่ม มองคนคุ้นเคยนั่งลงบนพื้นหิมะ จับมือกันและพูดประโยคที่คุ้นชิน
เขามองเห็นพวกเขา ทว่าพวกเขา มองไม่เห็นเขา
“ซูหมิง เจ้าว่าสิบปีหลังจากนี้พวกเราจะเป็นอย่างไร…ยังจะมีความสุขแบบนี้หรือไม่…”
“ยังโกรธอยู่อีกหรือ?”
“อย่าโกรธเลยนะ”
“ข้าไม่ได้โกรธ”
“สิบปีหลังจากนี้พวกเราจะต้องมีความสุขเช่นนี้อย่างแน่นอน…อีกทั้งตอนนั้น ขั้นพลังของข้าจะต้องสูงมากแน่!”
“เมื่อวานท่านปู่คุยกับข้าว่า จากนี้ไปข้าจะอยู่ในเผ่าร่องลม เป็นเหมือนกับเยี่ยวั่ง จ้าวหมานเผ่าร่องลมจะช่วยบ่มเพาะ…..บางทีสิบปีหลังจากนี้ ข้าอาจเฉียดใกล้ขั้นชำระล้างก็ได้”
ซูหมิงได้ฟังความฝันของเด็กหนุ่ม เขานั่งลงอย่างเงียบๆ ข้างเด็กสาว มองเด็กสาวแววตาอ่อนโยน จนกระทั่งผ่านไปนานเด็กหนุ่มจึงยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข เด็กสาวที่อยู่บนหลังของเด็กหนุ่มก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย ก่อนทั้งสองคนจากไป
“เจ้าทึ่ม…..” เด็กสาวกล่าวเบาๆ ตอนนั้นซูหมิงได้ยินไม่ชัด ทว่าตอนนี้เขาอยู่ข้างๆ เลยได้ยิน
เขาเหมือนควบคุมร่างกายตัวเองมิได้ ตามเด็กหนุ่มคนนั้นมาจนถึงเมืองหินโคลนของเผ่าร่องลม เขายืนอยู่บนถนนมองเด็กสาวปัดหิมะบนตัวให้เด็กหนุ่ม มองรอยยิ้มขวยเขินบนใบหน้าของเด็กสาว
“ซูหมิง…เจ็ดวันหลังจากนี้ สำหรับข้าแล้วมันเป็นวันที่สำคัญที่สุด…ทุกปีในวันนั้นจะเป็นวันที่ข้าอยู่กับท่านยาย….ปีนี้ ข้าหวังว่าจะได้อยู่กับเจ้า…..ได้หรือไม่”
“นี่เป็นคำสัญญานะ….”
ช่วงที่ซูหมิงได้ยินคำพูดเหล่านี้ความเจ็บปวดในใจของเขาทะยานถึงขีดสุด ใบหน้าขาวซีด โซเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว เขากุมหน้าอกตัวเองด้วยความขมขื่น กดลึงลงไปราวกับอยากหยุดหัวใจที่กำลังเต้นแรงไม่ให้เจ็บปวดอีก
เขายืนเงียบอยู่ตรงนั้น สีหน้าซับซ้อน ความซับซ้อนนี้ดูเศร้าโศกอย่างเห็นได้ชัด
“อืม สัญญา เจ็ดวันหลังจากนี้ ไม่ว่าข้าอยู่ไหน ไม่ว่าข้ากำลังทำอะไร ข้าจะไปหาเจ้าอย่างแน่นอน…” ซูหมิงพึมพำกล่าวออกมาพร้อมกับเด็กหนุ่ม คำพูดเหมือนกันทุกประการ ทว่าความหมายของสองประโยคนี้กลับมีช่วงเวลาที่ต่างกัน
ขณะพึมพำ ซูหมิงมองเด็กสาวใบหน้าแดงระเรื่อวิ่งกลับเข้าไปในเรือนพักเผ่ามังกรทมิฬด้วยความเขินอาย เขามองเด็กหนุ่มใบหน้ามีความสุขยิ้มแหยๆ เดินไปอีกทาง
เสียงหัวเราะของซูหมิงท้ายที่สุดก็ไร้เสียง กลายเป็นการถอนหายใจ ภายในภาพตอนนั้นโอบล้อมระหว่างฟ้าดิน ท่ามกลางกาลเวลา ไม่ทราบว่าใครกำลังถอนหายใจ…
“ที่แท้เป็นข้าเองที่กำลังถอนหายใจ…” ซูหมิงเงยหน้ามองท้องฟ้าหลับตาลง
ช่วงที่ลืมตาอีกครั้งเขาไม่อยู่ในโลกกระจกอีก แต่ออกมายืนอยู่นอกกระจกน้ำแข็ง ภายในกระจกเวลานี้ปรากฏดอกไม้สีขาวดอกหนึ่ง มันราวกับหิมะสีขาวแอบแฝงด้วยวิญญาณ
เสียงเรียกพึมพำดังมาจากกระจกราวกับว่าทุกอย่างที่ซูหมิงเห็นเมื่อครู่เป็นเพียงภาพมายา ด้านหลังดอกไม้ในกระจกยังมีเงาคนเลือนราง เวลานี้เงาคนเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ซูหมิงพบว่าเขาเป็นบุรุษเส้นผมขาวทั้งศีรษะ
ในตัวบุรุษเต็มไปด้วยความหนาวเยือก เส้นผมขาวปลิวไสว บนใบหน้าไม่มีรอยแผลเป็น ลักษณะหน้าตาเหมือนกับซูหมิงยิ่งนัก เขากำลังมองซูหมิงจากในกระจกด้วยความเย็นชา
ตรงระหว่างคิ้วเขามีตราสัญลักษณ์เกล็ดหิมะ สวมเสื้อคลุมขาว ในช่วงที่สายตาเย็นชาประสานสายตากับซูหมิง เขามองเห็นถึงความไร้ปราณี
“เพราะไม่มีความรักจึงไม่มีหัวใจ เพราะไม่มีหัวใจจึงกลายเป็นน้ำแข็ง…เมื่อกลายเป็นน้ำแข็งจึงเปลี่ยนโลกให้เป็นน้ำแข็ง…เพราะไร้ความรัก ไร้หัวใจ และกลายเป็นน้ำแข็ง จึงค้นพบวิถีทาง!
นำความรักของเจ้าใส่ไว้ในกระจกแล้วหันหลังกลับไป….” เสียงเรียกวูบวาบไปมา แยกไม่ออกว่าเป็นความรู้สึกหรือได้ยินจริงๆ บุรุษชุดขาวยังคงมองซูหมิงด้วยความเย็นชาราวกับรอการตัดสินใจของเขา



