ตอนที่ 205 เจ้าเลือก
ซูหมิงมิได้กลับเมืองเขาหานในทันที
แต่เปลี่ยนทิศทางไปยังสี่ตำแหน่งตามที่เหอเฟิงบอก เมื่อได้เห็นเหรียญหินที่เหอเฟิงซ่อนเอาไว้ในถ้ำทั้งสี่แล้วก็อดตื่นตะลึงมิได้
เหรียญหินในถ้ำทั้งสี่ของเหอเฟิงรวมกันแล้วมีจำนวนมาก มากกว่าที่เขามีในถุงเก็บวัตถุตอนนี้ เมื่อเห็นเหรียญหินเหล่านี้ซูหมิงจึงไม่เกรงใจ สะบัดแขนเสื้อนำทั้งหมดใส่เข้าไปในถุงเก็บวัตถุแล้วหมุนตัวจากไป
เหอเฟิงรออยู่ครู่หนึ่ง เห็นซูหมิงยังคงห้อเหยียดไปทางเมืองเขาหาน ไม่ได้สอบถามเขาเหมือนอย่างที่เขาคิดไว้ จึงตะลึงงันไปชั่วครู่
เหอเฟิงรออีกพักหนึ่งจนอดใจไม่ไหวถึงออกปาก
“นายท่าน เหอะๆ เหรียญหินพวกนี้ใช้ได้หรือไม่”
“ไม่เลว” ซูหมิงตอบอย่างสงบนิ่ง
“ได้รับใช้นายท่าน ทำให้นายท่านพอใจถือเป็นเกียรติใหญ่หลวงที่สุดของข้าน้อยแล้ว นายท่านคิดว่าไม่เลวก็ถือว่าใช้ได้ จากนี้ไปหากขาดเงินนายท่านโปรดวางใจ ด้วยความสามารถของข้า จะต้องหาเงินก้อนโตมาให้นายท่านได้อย่างแน่นอน” เหอเฟิงโยงหัวข้อสนทนาไปทางแผนการของเขาอย่างระมัดระวัง
“ดี!” ซูหมิงตอบอย่างตรงไปตรงมานัก กล่าวเพียงคำเดียวแล้วมิกล่าวอีก ขณะพุ่งทะยาน ระยะทางก็ใกล้เมืองเขาหานมากขึ้นเรื่อยๆ
เหอเฟิงรู้สึกเป็นกังวลยิ่งนัก ลังเลครู่หนึ่งจึงรีบกล่าวต่อ
“นายท่าน ข้าน้อยใช้เวลาแค่ไม่กี่ปีก็หาเหรียญหินมาได้ขนาดนี้ มิใช่ว่าข้าน้อยโอ้อวดอันใด ข้าน้อยชำนาญการซื้อขายเรื่องพวกนี้ยิ่งนัก จริงๆ แล้ววิธีการซื้อขายแลกเปลี่ยนของนายท่านก่อนหน้านี้ไม่ถูกต้อง ข้าน้อยชำนาญกับเรื่องพวกนี้มาก…”
“อ้อ?” ซูหมิงยิ้มมุมปากบางๆ เขามองออกแต่แรกแล้วว่าเหอเฟิงเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง มิเช่นนั้นไม่มีทางมอบของขวัญชิ้นใหญ่ขนาดนี้ให้กับเขาแน่
เมื่อได้ยินคำตอบกลับของซูหมิง เหอเฟิงพลันฮึกเหิม รีบใช้โอกาสนี้กล่าวถึงข้อดีของตัวเอง
“มิใช่ว่าข้าน้อยโอ้อวดแต่เป็นเรื่องจริง นายท่าน ข้ามีพรสวรรค์ในการค้าขาย รู้จักการต่อราคา จริงๆ แล้วมันก็คือการต่อสู้กันขนาดย่อมทางสติปัญญา เรื่องนี้พวกนี้ง่ายดายสำหรับข้าน้อยยิ่งนัก
เหรียญหินพวกนี้ก็ได้มาเช่นนี้ ในเมืองเขาหานข้าน้อยมีฐานะไม่ด้อยไปกว่านายท่าน ถือว่าค่อนข้างมีชื่อเสียง นายท่าน ข้าน้อยมิได้โอ้อวด หากท่านให้ข้าน้อยดูแลเรื่องการเงิน ข้าน้อยจะต้องสร้างกำไรมหาศาลอย่างแน่นอน ท่านอยากได้อะไรก็บอก ประเดี๋ยวข้าน้อยจะไปคุยให้ มิใช่ว่าข้าน้อยโอ้อวด…”
เหอเฟิงยิ่งกล่าวยิ่งตื่นเต้น กระทั่งเล่าเรื่องผลของศึกอันรุ่งโรจน์หลายครั้งเมื่อหลายปีก่อน เพียงแต่พอกล่าวถึงเรื่องพวกนี้ เขามักจะพูดอยู่ประโยคหนึ่งซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
“มิใช่ว่าข้าน้อยโอ้อวด…นายท่าน…”
“…มิใช่ว่าข้าน้อย…โอ้อวดกับท่านจริงๆ …”
ได้ยินคำพูดเหล่านี้ของเหอเฟิง ซูหมิงยังคงยิ้ม เขาพลันรู้สึกได้ว่าเหอเฟิงในตอนนี้อาจเป็นตัวตนของเขาจริงๆ เหอเฟิงกล่าวแต่มิใช่ว่าโอ้อวดตลอดทาง จนเมื่อท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เมืองเขาหานก็ปรากฏอยู่ในสายตาของซูหมิง
ซูหมิงมองเมืองเขาหาน รอยยิ้มค่อยๆ หุบลง เขาหยิบหน้ากากดำจากอกเสื้อมาสวมไว้บนหน้ากลายเป็นโม่ซู เขาไม่ได้มุ่งหน้าไปทางเมืองเขาหานในทันที แต่เลือกไปทางยอดเขาบูรพาสงบ
ยอดเขาบูรพาสงบในยามโพล้เพล้สูงตระหง่านเหมือนเดิม เพียงแต่ในสายตาของซูหมิงยามนี้กลับต่างออกไป
ครั้งแรกที่เขามายอดเขาแห่งนี้เกิดความเครียดเล็กน้อย ส่วนครั้งที่สองแม้กล่าวว่าไม่ตึงเครียด ทว่าก็ไม่ได้บุกเข้าไปโดยง่าย ส่วนครั้งที่สามตอนนี้ เขายืนตรงตีนเขาบูรพาสงบ แม้เทียบกับภูเขาลูกนี้แล้วตัวเขาจะเล็กราวกับมดก็ตาม แต่ในความรู้สึกเขา ยอดเขาลูกนี้เหยียบขึ้นไปได้
ไม่มีการกล่าวเรียกใดๆ เขาเดินขึ้นบันไดตรงตีนเขา ช่วงที่เท้าเหยียบลงภูเขาพลันสั่นสะเทือน แรงกดดันพลันถาโถมลงมา แรงกดดันนี้ไม่มีจิตวิญญาณ เห็นได้ชัดว่ามาจากอาคมคุ้มกันเขาบูรพาสงบเพื่อกันคนนอกเข้ามาในช่วงปิดยอดเขา
ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง แรงกดดันถาโถมเข้ามาทันใด กลับเหมือนชนกับกำแพงไร้รูปห่างจากตรงหน้าเขาสิบจั้ง มันพลันหยุดชะงักกลายเป็นเสียงโครมคราม ไม่อาจเข้ามาได้แม้แต่น้อย
ซูหมิงสวมหน้ากากเดินขึ้นไปทีละก้าว
จนเมื่อเดินมาได้สิบก้าวก็มีเสียงลากยาวมา พบว่ามีคนหลายสิบคนห้อเหยียดลงมาจากยอดเขา พวกเขาล้วนมีสีหน้าเคารพ หยุดห่างจากซูหมิงอยู่ไกลมากก่อนประสานมือคารวะ
“ยินดีต้อนรับท่านโม่เจีย…”
ซูหมิงพยักหน้าเล็กน้อยและเดินต่อไป เขาเดินไม่เร็วมาก แต่ทุกก้าวกลับข้ามไปสิบกว่าขั้น มุ่งหน้าไปทางยอดเขา
เวลานี้มีเงาร่างคนอีกสิบกว่าคนทะยานเข้ามา คนนำหน้าคือฟางเซินจ้าวเผ่าบูรพาสงบ ด้านหลังเขาเป็นผู้แข็งแกร่งเผ่าบูรพาสงบ หลังจากปรากฏตัวมาทีละคน ต่างประสานมือคารวะซูหมิงด้วยสีหน้านอบน้อมและซับซ้อน
“ยินดีต้อนรับท่านโม่เจีย”
ฟางเซินสาวเท้าไวๆ มาหยุดห่างจากตรงหน้าซูหมิงสิบกว่าจั้ง สีหน้าฮึกเหิม ประสานมือคารวะ
“ฟางเซินจ้าวเผ่าบูรพาสงบ คารวะท่าน”
ซูหมิงชะงักฝีเท้ามองฟางเซิน แล้วจึงกล่าวเรียบๆ
“จ้าวเผ่าไม่ต้องทำเช่นนี้ ข้าแซ่โม่มานี่ก็เพื่อทำตามสัญญาในตอนนั้น พาข้าไปพบฟางมู่”
“ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือเต็มที่!” ฟางเซินประสานมือคารวะซูหมิงอีกครั้ง ช่วงที่เงยหน้าขึ้นมองดวงตาของซูหมิง ยากจะปกปิดความตื่นตะลึงและเคารพ เขามองโม่ซูตรงหน้า ในความคิดผุดภาพที่ได้คบค้าสมาคมกันก่อนหน้านี้
“เชิญ เรื่องของบุตรชายไม่มีปัญหา เชิญท่านเข้าหอบูรพาสงบเพื่อรับการเคารพของพวกเราเผ่าบูรพาสงบก่อน…จ้าวหมานกำลังเตรียมตัว อีกประเดี๋ยวจะมาต้อนรับด้วยตัวเอง”
“ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น” ขณะกล่าวซูหมิงพลันแผ่ขยายเคล็ดวิชาตราประทับ หลังจากเขาทะลวงสู่ขั้นชำระล้างก็เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาตราประทับมากขึ้น ภายใต้การแผ่ขยายปกคลุมยอดเขาไปมากกว่าครึ่ง ทำให้เขาพบตำแหน่งของฟางมู่ทันที
ซูหมิงเดินหน้า ทั้งตัวลอยขึ้นกลายเป็นสายรุ้งยาวตรงไปทางตำแหน่งของฟางมู่ที่กลางยอดเขา ฟางเซินรีบสั่งงานผู้ติดตามข้างกาย ก่อนตามไปติดๆ
กลางยอดเขาบูรพาสงบ นอกเรือนหินธรรมดาแห่งหนึ่ง หานชางจื่อกำลังนั่งขมวดคิ้ว สีหน้าห่อเหี่ยว นางในตอนนี้เหมาะกับชุดคลุมสีฟ้าทั้งตัวนาง มองดูงดงามไปอีกแบบ
เสียงลากยาวตรงเข้ามา หานชางจื่อราวกับตกใจตื่นจึงคลายคิ้วงาม เมื่อนางเห็นเงาร่างของซูหมิงที่สวมหน้ากากในสายรุ้งบนท้องฟ้า นัยน์ตาพลันเปล่งประกาย
สายรุ้งลากยาวลงมา จากนั้นค่อยๆ หายไปกลายเป็นซูหมิง เขามองหานชางจื่อก่อนพยักหน้าให้
“ชางหลันคารวะสหายโม่” หานชางจื่อยืนขึ้นกล่าวเบาๆ น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความยินดีระคนแปลกใจ
“ฟางมู่เป็นอย่างไรบ้าง” ซูหมิงมองหานชางจื่อแวบหนึ่ง ก่อนมองเข้าไปในเรือนด้านหลังนาง
“ไม่ค่อยดีเท่าไร…” หานชางจื่อลังเลครู่หนึ่ง จึงกล่าวเสียงเบา
“ซือหม่าซิ่นกระตุ้นเมล็ดพันธุ์หมานในร่างกายของมู่เอ๋อร์ก่อนเวลา หลังจากเขาไปมู่เอ๋อร์ก็หมดสติมาตลอด….ตามที่ข้าเข้าใจในเคล็ดวิชาของซือหม่าซิ่น พลังชีวิตของมู่เอ๋อร์ถูกขัดไว้อยู่…” หานชางจื่อกล่าวเสียงเบา สีหน้าเจ็บปวดใจ
“เรื่องนี้ข้าต้องรับผิดชอบ” ซูหมิงเงียบไปชั่วครู่ กล่าวเรียบๆ
“ท่านไม่ต้องรับผิดชอบหรอก ไม่ช้าก็เร็วมันต้องเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว”
ด้านหลังซูหมิงมีเสียงของฟางเซินดังเข้ามา เขาเดินมาทีละก้าวทั้งสีหน้าซึมเศร้า
“อันที่จริง ข้ารู้ตั้งนานแล้วว่ามู่เอ๋อร์มิได้บาดเจ็บ แต่ถูก…ซือหม่าซิ่นปลูกเมล็ดพันธุ์หมาน…ตอนนั้นได้พบท่านโม่ ข้าเองก็ไม่ได้คาดหวังมากนัก เพียงแต่อยากให้คนอื่นคิดว่าข้ายังไม่รู้ก็เท่านั้น เรื่องนี้ต้องขออภัยท่านด้วย” ฟางเซินถอนหายใจยาว เขาคารวะซูหมิงอีกครั้ง
ซูหมิงไม่มองฟางเซินแต่เดินเข้าไปในเรือนพักด้านหลังหานชางจื่อ ในช่วงที่ผลักประตูเข้าไป ไอหนาวเยือกกระทบใบหน้า แผ่ขยายไปราวสิบกว่าจั้ง จุดที่มันผ่านจะมีน้ำแข็งบางๆ เกาะบนพื้น
ประตูเปิดออกเผยให้เห็นทุกอย่างภายในอย่างชัดเจน ห้องนี้ไม่ใหญ่มาก ทว่ายามนี้ภายในกลับมีไอหนาวปกคลุม โดยรอบมีชั้นน้ำแข็ง
บนเตียงหินมีเด็กหนุ่มนอนอยู่
เด็กหนุ่มนอนแน่นิ่ง ใบหน้าเป็นสีดำอมม่วง ทั้งตัวมีเกล็ดหิมะเกาะอยู่จำนวนมากราวกับศพแช่แข็ง
ซูหมิงเงียบไปชั่วครู่ก่อนเดินเข้าไปในเรือน ขณะเดินเข้าไปมีสายฟ้าลักษณะโค้งสีครามหลายเส้นเคลื่อนรอบตัวเขา ไหลมาตามขาทั้งสองข้าง ลงสู่พื้นดิน จากนั้นก็ไหลเวียนไปบนชั้นหิมะโดยรอบจนเกิดเป็นเสียงกึกๆ ดังก้อง ชั้นหิมะพลันเกิดรอยร้าว
โดยเฉพาะใต้เท้าของซูหมิง จากการเดินผ่านของเขา ชั้นหิมะด้านหลังแตกกระจายเผยให้เห็นแผ่นดิน ยามซูหมิงเดินมายืนอยู่ข้างฟางมู่ สายฟ้าจากในร่างกายเขาเคลื่อนออกมาจำนวนมาก ราวกับถูกสายฟ้าโอบล้อมเอาไว้
เขามองฟางมู่ที่หมดสติใกล้สิ้นใจ พลันยกมือขวาขึ้น ในมือขวาของเขามีสายฟ้าเปรี้ยงปร้างรวมตัวกัน ท้ายที่สุดมือของเขาจึงกลายเป็นสายฟ้าขนาดใหญ่ ขณะกำลังจะกดไปตรงกลางระหว่างคิ้วของฟางมู่
“ท่านช้าก่อน…” น้ำเสียงชราแหบพร่าดังขึ้น นอกเรือนพักมีสายรุ้งสายหนึ่งลากยาวเข้ามา หลังจากลงสู่พื้นก็กลายเป็นชายชราคนหนึ่ง เขาคือจ้าวหมานบูรพาสงบ
เขาสาวเท้าเข้ามาไวๆ ผ่านหน้าฟางเซินที่มีสีหน้าต่อสู้ดิ้นรน ขณะกำลังจะเหยียบเข้าเรือนพักของฟางมู่ ซูหมิงหันกลับไปมองชายชราด้วยความเย็นชา
ด้วยสายตาของซูหมิง จ้าวหมานบูรพาสงบใจสั่น แรงกดดันและภัยอันตรายถาโถม ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นทันที เท้าที่ยกขึ้นพลันหยุดชะงักยืนอยู่นอกเรือน เขามิกล้าก้าวเดินต่อ แต่คารวะซูหมิงแทน
“จ้าวหมานบูรพาสงบคารวะนายท่าน”
“นายท่าน ได้โปรดเห็นแก่ไมตรีจิตที่เราบูรพาสงบไม่เคยหยาบคายต่อท่านด้วยเถิด…ปล่อยเผ่าบูรพาสงบของเราไป…ข้าจะซาบซึ้งในบุญคุณอย่างหาที่เปรียบมิได้” จ้าวหมานบูรพาสงบมีสีหน้าขมขื่น คารวะค้างอยู่อย่างนั้น
“เหตุใดกล่าวเช่นนี้” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ
“หากท่านรักษาเด็กคนนี้ บูรพาสงบของเราก็ต้องล่วงเกินท่านซือหม่า หากท่านซือหม่าเกิดโทสะ เผ่าเรามิอาจแบกรับภาระไหว…เดิมทีฟางมู่เด็กคนนี้ไม่ผิด เขาผิดก็ผิดที่ไม่ควรเกิดมาในบูรพาสงบ…” ชายชรากล่าวเสียงค่อย
“ฟางมู่เป็นบุตรของเจ้า เจ้าเป็นคนเลือก” ซูหมิงขบคิดชั่วครู่ เขามองฟางมู่ ทว่าคำพูดกลับกล่าวกับฟางเซิน
ฟางเซินตัวสั่นเทา สีหน้าต่อต้านดิ้นรนมากขึ้น



